บทที่ 113 คอยดูข้าโค่นรัฐของท่าน

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ภายในเรือนรับรอง ท่านหมอกำลังรักษาบาดแผลให้กับจี๋อวี่อยู่ในห้อง ซ่งชูอีกับจี้ฮ่วนนั่งรออยู่ใต้เฉลียง

“เจ้าคิดจะอยู่ในรัฐเว่ย์ต่อหรือ?” ซ่งชูอีถามจี้ฮ่วน

“หากนายพลจี๋ไป ข้าก็จะไป” จี้ฮ่วนกล่าว

“เขาจะไปแน่” ซ่งชูอีเอ่ย

จี๋อวี่เกิดที่เว่ย์และเติบโตที่เว่ย์ บรรพบุรุษก็เป็นชาวเว่ย์ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่ารัฐเว่ย์จะตกต่ำเพียงใด เขาก็จะไม่จากไปไหน อย่างไรก็ดีเกรงว่าเรื่องนี้เพียงพอที่จะทำให้เขาตัดขาดความจงรักภักดีนี้ได้ เขายินยอมที่จะตายในสนามรบเพื่อรัฐเว่ย์ ทว่าไม่ยินยอมที่จะตายอย่างน่าสมเพศด้วยน้ำมือของคนบ้านเดียวกันเยี่ยงนี้อย่างแน่นอน

เรื่องนี้มิใช่เรื่องดีสำหรับจี้ฮ่วนเลย

“ท่าน” ท่านหมอออกมา

ซ่งชูอีลุกขึ้นยืน เอ่ยถาม “บาดแผลของเขาเป็นเยี่ยงไรบ้าง?”

ท่านหมอก็ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นบนเวทีของถนนตะวันออกในวันนี้ ในใจชื่นชมซ่งชูอีเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้การตอบคำถามจึงนอบน้อมเป็นพิเศษ “เรียนท่าน บาดแผลเช่นนี้หากเป็นคนทั่วไปเกรงใจคงทนไม่ได้แล้ว ทว่าร่างกายนายพลจี๋กำยำแข็งแรง ไร้ซึ่งความกังวลในชีวิต เพียงแต่เท้าขาดไปสามนิ้ว ภายภาคหน้าอาจมีอุปสรรคในการเดินอยู่บ้าง”

“จะพิการหรือ?” ซ่งชูอีขมวดคิ้ว

ท่านหมอรีบกล่าว “หากคนทั่วไปขาดสามนิ้วกะทันหัน ขาก็อาจยืนได้ไม่มั่นคงนัก ขอเพียงตั้งใจฝึกฝน หลังจากค่อยๆ คุ้นชินก็จะดีขึ้น แม้นจะส่งผลกระทบอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับพิกลพิการ”

“ลำบากท่านแล้ว” ซ่งชูอีกล่าว

หลังจากส่งท่านหมอ ซ่งชูอีกำลังจะกลับไปดูอาการจี๋อวี่ก็กลับได้ยินจี้ฮ่วนพูดขึ้น “ท่าน หมิ่นจื๋อห่วนขอรับ”

ความประทับใจที่จี้ฮ่วนมีต่อหมิ่นฉือยิ่งน้อยลงทุกที ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มเรียกเพียงชื่อของเขา

ซ่งชูอีหันมองหมิ่นฉืออย่างเฉยเมย จากนั้นก็ก้าวเท้าเข้าไปในห้อง

“ซ่งหวยจิน” หมิ่นฉือร้องเรียก

ก้าวเดินของซ่งชูอีหยุดชะงัก หมุนตัวรวบแขนเสื้อ รอยยิ้มจางๆ ผุดอยู่บนใบหน้า “ไม่ทราบว่าท่านหมิ่นฉือมีเรื่องใดชี้แนะ?”

“ไม่มี” หมิ่นฉือจ้องนางพร้อมกับเอ่ย “เป็นอะไรไปเล่า ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ชนะ จะไม่อนุญาตให้ผู้แพ้มาคารวะเชียวหรือ?”

หมิ่นฉือยังคงใส่ชุดแขนกว้างสีควันบุหรี่ตัวนั้น หน้าตายิ่งเหมือนหมิ่นฉือในตอนนั้นมากขึ้นทุกที คิ้วดุจดาบ ดวงตาดุจดวงดาว บุคลิกสง่างาม สีหน้าของซ่งชูอีมืดมนลงครู่หนึ่ง รอยยิ้มที่มุมปากกลับยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ “ชนะ? ในความเห็นของข้ายังไม่ชนะ”

เงียบงัน

“ข้าน้อยยุ่งมาก หากท่านหมิ่นไม่มีธุระใดแล้ว ข้าน้อยขอตัว” ซ่งชูอีพยักหน้าน้อยๆ

หมิ่นฉือมองดูนางเข้าห้องไป แล้วก็จากไปเช่นกัน แม้นการโต้ตอบของซ่งชูอีคราวนี้มิได้มีพลังมาก แต่กลับเหมือนกระแสน้ำขึ้นซึ่งทำให้แผนของเขาล้มเหลวอย่างรวดเร็ว ซ่งชูอีมีชัยชนะด้านการใช้ข่าวลือให้เป็นประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด

เขาสืบอย่างลับๆ ว่าข่าวที่ไม่เอื้อต่อเขานั้นมาจากรัฐฉีจริงๆ และมิได้มีผู้ใดปล่อยข่าวในผูหยาง เขาเคยสืบซ่งชูอีก็พบว่าข้างกายนางไม่มีผู้ใดที่สามารถใช้งานได้ หากคำนวณจากเวลาแล้ว ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่นางจะมาปล่อยข่าวในรัฐฉีด้วยตัวเอง แสดงว่านางได้วางแผนล่วงหน้าถึงขั้นนี้เชียวหรือ?!

ภายในห้อง ซ่งชูอีนั่งลงบนเตียง ครั้นเห็นจี๋อวี่ลืมตาก็เอ่ยขึ้น “ท่านหมอบอกว่ามิได้เป็นกระไรมาก เพียงแต่สามนิ้วของท่านนั้นไร้ทางรักษาแล้ว”

“นำทัพพออกศึก ขาขาดแขนขาดนับว่าเป็นเรื่องปกติ นับประสาอะไรกับเพียงสามนิ้วเท่านั้น” เสียงของจี๋อวี่แหบแห้ง

ซ่งชูอีพยักหน้า จากนั้นก็กล่าวว่า “ใช้โอกาสตอนนี้ คิดให้ดีว่าจะไปที่ใดเถิด”

จี๋อวี่เงียบงัน ชั่วชีวิตนี้เขาไม่เคยคิดที่จะจากรัฐเว่ย์ไปเลย

ทุกคนด้วยมีหลักการในการเป็นมนุษย์ของตนเอง จี๋อวี่ไม่มีความทะเยอทะยานสูงส่งแต่แสวงหาความภักดี หากในที่สุดแล้วเขายังตัดสินใจที่จะอยู่ในรัฐเว่ย์ ซ่งชูอีก็จะไม่บีบบังคับเขา

ภายใต้การยืนกรานของซ่งชูอี ราชทูตแห่งรัฐเว่ยจึงอยู่ที่รัฐเว่ย์ต่อเป็นเวลาเจ็ดวัน รอจนบาดแผลส่วนใหญ่บนตัวของจี๋อวี่ตกสะเก็ดแล้วจึงจะเคลื่อนทัพออกเดินทาง

จากผูหยางจนถึงต้าเหลียงนั้นใช้เวลาหกถึงเจ็ดวันก็เพียงพอ ซ่งชูอีคิดว่าหากต้องการหลบหนีระหว่างทางนับเป็นเรื่องยากเย็นยิ่งและมิใช่การเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาดด้วย ถึงอย่างไรบัดนี้เว่ยอ๋องมิได้มีจุดประสงค์ที่จะสังหารนาง ก็ปล่อยให้จี๋อวี่รักษาบาดแผลให้หายจะดีกว่า

กองทหารเดินทางออกจาผูหยาง เคลื่อนตัวไม่ช้าไม่เร็วอยู่บนถนนหลวง

ราชทูตรัฐเว่ยร้อนใจมาก ทว่ากลับเดินทางอย่างมั่นคงตามคำขอของซ่งชูอี ถ้าหากบาดแผลของจี๋อวี่ปริออกแม้แต่นิดเดียว ถึงตอนนั้นเป็นตายร้ายดีเยี่ยงไรนางก็จะไม่จำนนต่อเว่ย

อย่างไรก็ดีถ้าหากกระทำตามที่นางขอ ถึงตอนนั้นนางไม่เพียงจำนนต่อรัฐเว่ย ทว่ายังจะยกความดีความชอบในการเกลี้ยกล่อมให้นางเข้าสู่รัฐเว่ยทั้งหมดให้แก่เขา นี่คือสิ่งยั่วยวนชิ้นใหญ่ทีเดียว! สามารถนำคนเก่งกลับมาได้สองคน ไม่แน่ว่า

ฝ่าบาทจะดีพระทัยจนประทานเลื่อนขั้นให้เขา ฉะนั้นเมื่อราชทูตเว่ยได้ยินความต้องการของนางแล้วจึงเดินทางช้าลงเล็กน้อย

ลมพัดแรงขึ้นและดูเหมือนฝนใกล้จะตกแล้ว ทหารอารักขาเข้ามาใกล้รถม้าของซ่งชูอีพร้อมเอ่ยขึ้น “ท่านซ่ง ฟ้ามืดแล้ว ฝนใกล้จะตกแล้ว หากยังไม่เร่งการเดินทางอีก พวกเราอาจจะติดอยู่ในสายฝนได้”

ภายในรถเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเสียงเกียจคร้านเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “เช่นนั้นก็หยุดอยู่ในสายฝนสักครู่ประไร ข้านับนิ้วคำนวณดูแล้ว ฝนนี้จะไม่ตกถึงสามวันสามคืนดอก”

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาซ่งชูอีไม่เคยไว้ใจการนับนิ้วคำนวณของตัวเอง ทว่ามีคำกล่าวหนึ่งที่ว่า “ฝนแห่งวสันตฤดูมีค่าดุจน้ำมัน” ถ้าหากฝนในฤดูใบไม้ผลิตกสามวันสามคืน เช่นนั้นก็ไม่เรียกว่ามีค่าดุจน้ำมันแล้ว

“ปู้วั่งถูกขังอยู่ในบ้าน ถ้าหากเขารู้ว่าท่านจากไปแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงจะถล่มแม้แต่หลังคาของจวนหลงกู่เป็นแน่” จี๋อวี่

กล่าว

ซ่งชูอีวางสมุดไผ่ลง ชำเลืองมองเขา “ตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บ ท่านก็พูดมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”

เมื่อก่อนจี่อวี่ไม่กล่าววาจาไร้สาระเช่นนี้ เขาเป็นคนที่พูดน้อยต่อยหนักเสมอมา

“ก็จริง ทั่วร่างกายของเขามีเพียงปากเท่านั้นที่ขยับได้” ซ่งชูอีม้วนเก็บสมุดไผ่ โน้มตัวไปข้างหน้า “ปู้วั่งมิใช่เด็กอมมือแล้ว อีกทั้งข้ายังเคยขัดเกลาอารมณ์โกรธของเขาระยะหนึ่ง ไม่วู่วามเช่นนั้นดอก”

จี๋อวี่มิได้ฟังคำพูดของนาง ได้แต่จมอยู่ในความคิด ราวกับว่าตั้งแต่ที่ซ่งชูอีปรากฏตัวต่อหน้าเขาและกล่าววาจาเปี่ยมคุณธรรมยิ่งใหญ่ที่ถนนฝั่งตะวันออกแล้ว เพียงชั่วพริบตาเดียวอคติที่เขามีต่อนางก็ไม่สามารถเรียกว่าอคติได้อีกต่อไป

ความเร็วของรถม้าเร็วกว่าเมื่อครู่มาก เนื่องจากยังมั่นคงอยู่ ซ่งชูอีจึงมิได้หาเรื่องเอาความ

ในที่สุดก็มาถึงจวนหลังหนึ่งก่อนที่ฝนจะตก หลังจากปักหลักเรียบร้อย ทุกคนต่างถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก

จวนหลังนี้เรียบง่ายและติดดินมาก ไม่มีแม้แต่ลานหน้าบ้านด้วยซ้ำ มีเพียงบ้านไม้หกถึงเจ็ดหลัง หลังบ้านมีคอกม้า ด้านหน้ามีเพียงรั้วไม้ไผ่ที่วางระเกะระกะ

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ซ่งชูอีหยิบพัดออกมา คุกเข่าบนเฉลียงเพื่อเฝ้าเตาเผายา ส่วนหมิ่นฉือนั่งมองกระดานหมากตามลำพังที่เฉลียงฝั่งตรงข้าม

“ท่านซ่ง เดินหมากกันสักตาไหม?” หมิ่นฉือเอ่ยถาม

ซ่งชูอีเห็นว่าไฟในเตาอ่อนลงแล้ว ก็รีบพัดวี “มีกติกาเยี่ยงไร?”

“ใช้รัฐเป็นตัวหมาก” หมิ่นฉือกล่าว

ซ่งชูอีโยนพัดไปอีกทาง ลุกขึ้นยืนพร้อมตะโกนเรียก “หนิงยา! ดูเตาด้วย”

สิ้นวาจาก็เดินไปยังฝั่งตรงข้าม นั่งลงฝั่งหมากสีดำ

หมิ่นฉือเอ่ยขึ้น “ข้าเลือกรัฐฉี”

“เจ้า” ซ่งชูอีกล่าว

“ท่านซ่งอาจจะอยากเปลี่ยนรัฐ ได้ยินว่าช่วงนี้รัฐเจ้าเพิ่งเปลี่ยนจวินองค์ใหม่ อำนาจภายในยังไม่เสถียร มิใช่ตัวเลือกที่ดีนักนะ” หมิ่นฉือยิ้มเอ่ย

ซ่งชูอีสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ “ท่านก็คอยดูข้าต้านทานคลื่นอันบ้าคลั่ง แล้วโค่นต้าฉีของท่านเถิด”

นางเพิ่งจะกล่าวจบ ก็เห็นเงาสีขาวพุ่งผ่านไปปานสายฟ้า เหล่าทหารยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง เงาสีขาวนั้นก็ทำให้ซ่งชูอีล้มลงไปกับพื้น