ลมหายใจอุ่นๆ รดใบหน้าของซ่งชูอี นางยื่นมือผลักหน้าของหมาป่าตัวนั้นให้ไกลจากตัวเล็กน้อย
ซ่งชูอียังไม่ทันจะยินดี หางตาก็เหลือบไปเห็นเหล่าทหารง้างลูกศรอยู่บนสายธนูแล้ว คำรามอย่างรวดเร็ว “อย่ายิง นี่คือสัตว์เลี้ยงที่ข้าเลี้ยงไว้”
ทุกคนอึ้งไปสักพัก เมื่อเห็นว่าหมาป่าหิมะตัวนั้นเพียงแค่หยอกเล่นกับซ่งชูอีและมิได้มีท่าทางจะโจมตีจริงๆ จึงลดธนูลงอย่างลังเล
ซ่งชูอีถอนหายใจโล่งอก ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงควบม้าดังขึ้น นางหันไปมองก็เห็นม้าสีดำตัวหนึ่งควบมาอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายฝนปรอย มีชายคนหนึ่งในเครื่องแต่งกายสีดำนั่งอยู่บนหลังม้า
ม้าพุ่งมาถึงหน้าประตูจวนรวดเร็วปานธนู มันยกกีบขึ้นอย่างดุเดือด ร้องฮี้เสียงหนึ่ง แล้วหยุดลงกะทันหัน
คนที่อยู่บนม้าพลิกตัวลงมา ยืนอยู่นอกรั้วบ้าน เขามีสองขาที่ตรงยาว ไหล่กว้างเอวคอด ดวงหน้าหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง คิ้วยาวคู่หนึ่งเฉียงเข้าขมับ แววตาดุจดวงดาวเยือกเย็น เขาก็คือเจ้าอี่โหลว
ซ่งชูอีลุกขึ้นยืน พูดกับทหารอารักขา “ปล่อยเขาเข้ามา”
ช่วงพลบค่ำของต้นฤดูใบไม้ผลิยังคงหนาวอยู่เล็กน้อย เจ้าอี่โหลวพ่นหมอกวงใหญ่ออกมา เมื่อเห็นใบหน้าของซ่งชูอีที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ไป๋เริ่นหนีออกมา ข้าจึงมาตามมันกลับไป”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่เห็นทหารอารักขาเล่า?” ซ่งชูอียืนอยู่บนเฉลียง เอามือสอดไว้ในแขนเสื้อเอ่ยยิ้มมองเขา
ถึงอย่างไรก็เป็นถึงจวินแห่งรัฐ หากออกมาไล่ตามหมาป่าตัวหนึ่งจริง ก็ต้องพาทหารอารักขาจำนวนมากมาด้วย เพียงเจ้าอี่โหลวหนึ่งคนและม้าหนึ่งตัว มันเป็นปกติวิสัยขององค์จวินแห่งรัฐที่ไหนเล่า
เจ้าอี่โหลวขวยเขินเล็กน้อย คิ้วยิ่งขมวดกันแน่นกว่าเดิม “ข้าเต็มใจที่จะมาตามลำพัง เจ้ายุ่งอะไรด้วย!”
“ไม่ยุ่งกับเจ้าดอก ตอนนี้ก็พบไป๋เริ่นของเจ้าแล้ว กลับไปได้แล้ว” ซ่งชูอีเอ่ยพร้อมยิ้มเย้ยอย่างไร้ความเมตตา
เจ้าอี่โหลวเดินตรงไปที่ใต้เฉลียง “ข้าต้องการหลบฝน”
ซ่งชูอียิ้ม ประสานมือกับหมิ่นฉือ “ขออภัยด้วย ข้าน้อยจำเป็นต้องต้อนรับแขก วันหน้าค่อยเดินหมากกันเถิด”
หมิ่นฉือมองสำรวจเจ้าอี่โหลวครู่หนึ่ง พยักหน้า “ตามสบาย”
ในตำแหน่งองค์จวินแห่งรัฐ แม้นจะเป็นเพียงตำแหน่งที่ถูกสวมหัวโขน สำหรับเจ้าอี่โหลวแล้ว การที่ได้กินอิ่มมีเสื้อผ้าใส่ก็นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากจะจินตนาการแล้ว เขาบอกว่าจะเชิดก็ปล่อยให้เชิดไป ถึงอย่างไรก็ยังเป็นสิ่งที่สง่างามยิ่ง
ครั้นกลับมาถึงห้อง ซ่งชูอีก็หาเสื้อผ้ามาให้เจ้าอี่โหลว ให้เขาไปอาบน้ำผลัดผ้า
ไป๋เริ่นที่มิได้เจอซ่งชูอีนานแล้วกลิ้งตัวไปมาออดอ้อนอยู่ข้างนาง ซ่งชูอีเอื้อมมือลูบๆ ท้องของมัน หัวเราะเอ่ย “เจ้ายิ่งอ้วนพีขึ้นทุกที จะต้องเดินไม่ไหวเข้าสักวันหนึ่งแน่”
ไป๋เริ่นแสยะปากกว้างด้วยอย่างมีความสุข นอนแผ่หน้าท้องให้นางเกา
หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ เจ้าอี่โหลวอยู่ในชุดแขนกว้างธรรมดา ผมที่เปียกชื้นปล่อยสยายอยู่ด้านหลัง ปลายผมในบางจุดยังคงมีน้ำหยดอยู่ ดูดีมีเสน่ห์อย่างน่าทึ่ง
ซ่งชูอีจ้องเขาเขม็ง “ไม่เจอเพียงไม่กี่วัน เจ้าตัวสูงขึ้นมาก อีกทั้งยังกำยำไม่น้อย”
เจ้าอี่โหลวมองนางด้วยสีหน้านิ่งเฉย รู้สึกว่านี่เป็นคำพูดไร้สาระ เขากำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต ทุกวันกินแต่เนื้อจะไม่ให้รูปร่างสูงใหญ่กำยำได้เยี่ยงไร!
ซ่งชูอีรินน้ำร้อนแก้วหนึ่งให้เขา เอ่ยถาม “เจ้าหนีออกมาได้เยี่ยงไร”
พระราชวังรัฐเจ้าจะต้องมีการคุ้มกันอย่างหนาแน่น แม้นเหล่าตระกูลผู้มีอำนาจจะไม่สนใจองค์จวินหุ่นเชิดเช่น
เจ้าอี่โหลว ทว่าก็คงไม่สะเพร่าถึงขนาดให้เขาหลบหนีออกมาเพียงลำพัง
“กงซุนเหยี่ยนช่วยข้า” เจ้าอี่โหลวจิบชาคำหนึ่ง นิ่งไปสักพักก่อนเอ่ยว่า “เขาหนีออกมากับข้า”
ซ่งชูอีประหลาดใจ “กงซุนเหยี่ยน? เหตุใดเขาจึงต้องการหนีออกไปจากรัฐเจ้า?”
“เห็นว่าไม่พอใจความรุนแรงขององค์ชายฟ่าน” เจ้าอี่โหลวกล่าว
ซ่งชูอีพยักหน้า ลอบพิจารณาอยู่ในใจว่านี่ไม่น่าใช่สาเหตุที่แท้จริง หากกงซุนเหยี่ยนต้องการจะที่ออกไปจากรัฐเจ้า ก็สามารถเดินออกไปได้อย่างเปิดเผย หลบๆ ซ่อนๆ เช่นนี้ยิ่งจะทำให้ผู้คนเกิดความสงสัย อย่างไรก็ดีในเมื่อตอนนี้เจ้าอี่โหลวออกมาจากรัฐเจ้าแล้ว ต่อให้รัฐเจ้าล่มสลายจริงก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับนาง ฉะนั้นถ้าหากมีเวลาสู้กังวลสถานการณ์ของตนเองตรงหน้ายังจะดีกว่า
“ต่อไปเจ้าวางแผนไว้เยี่ยงไร?” ซ่งชูอีถาม
เจ้าอี่โหลวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ในเมื่อไป๋เริ่นต้องการอยู่กับเจ้า ข้าก็จะฝืนใจเดินทางกับเจ้าก็แล้วกัน”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าอนาคตของข้านั้นไม่แน่นอน อาจจะตายก็ได้?” ซ่งชูอีถาม
“ชีวิตของข้ามีวันใดที่ไม่ล่อแหลมบ้าง?” เจ้าอี่โหลวถามกลับ
“จะว่าไปก็ถูก” แม้นซ่งชูอีจะกล่าวเช่นนี้ ทว่านางเข้าใจว่าการเลือกที่จะละทิ้งตำแหน่งจวินนั้นจำเป็นต้องมีการตัดสินใจที่ใจกว้างเพียงใด ฉะนั้นจึงได้แต่ปล่อยให้เจ้าอี่โหลวเด็กหนุ่มผู้ดื้อรั้นคนนี้ปากแข็งต่อไป
ฝนตกตลอดทั้งคืน วันรุ่งขึ้นแสงอาทิตย์ก็ส่องแสงสว่างไสว แต่ต้องอยู่ต่ออีกหนึ่งวันเนื่องจากต้องรอให้ถนนแห้ง เส้นทางที่จะไปต้าเหลียงนั้นนับว่าไม่ไกลนักจึงสามารถไปถึงที่หมายได้อย่างราบรื่นโดยไม่หยุดพัก
ช่วงหลายวันมานี้ นครผูหยางกลับอยู่ในความวุ่นวาย ข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับหมิ่นฉือแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ในสองสามวันนี้อุปนิสัยและศีลธรรมของเขาก็ถูกตั้งคำถามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ข่าวนี้ได้เข้าไปถึงพระราชวังเว่ยผ่านช่องทางสอดแนมแล้ว
ทันทีที่มาถึงต้าเหลียง ซ่งชูอีกับหมิ่นฉือก็ถูกนำทางไปถึงจวนที่พักที่หรูหราที่สุดในรัฐเว่ยทันทีเพื่อรอเข้าเฝ้าเว่ยอ๋อง
เมื่อก่อนสถานที่ที่ซ่งชูอีเคยอาศัยอยู่ในผูหยาง แม้นจะอยู่ติดชายแดนฉินและเว่ย ทว่านางไม่เคยเห็นเว่ยอ๋องมาก่อน
ซ่งชูอีมีความอยากรู้อยากเห็นในชายชราอันธพาลทางการเมืองผู้นี้จากก้นบึ้งของหัวใจ เพียงแต่ไร้วาสนาพานพบ ครั้งนี้ นางต้องถือโอกาสถวายความเคารพอย่างดีจึงจะถูก
รออยู่ในจวนที่พักหนึ่งวันเต็ม เข้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ก็มีขันทีในวังมาเชิญตัวไป
ในฐานะที่รัฐเว่ยเป็นพยัคฆ์ที่เพิ่งจะเสื่อมถอย นครใหญ่หลายแห่งจึงยากที่จะเทียบเท่าความเจริญรุ่งเรืองของนครหลวงและพระราชวังอันโอ่อ่าของมันได้
พระตำหนักในพระราชวังเว่ยมีความยาวครอบคุลมต่อเนื่องถึงสี่สิบลี้ สันหลังคาสูง ซุ้มบัวรูปแบบโต๋วก่ง[1] เฉลียงทอดตัวยาวดุจเข็มขัด และมีศาลาจำนวนนับไม่ถ้วน
ซ่งชูอีกับหมิ่นฉือมุ่งหน้าตรงไปยังท้องพระโรงพร้อมมองไปข้างหน้าอย่างมั่นคงตลอดทาง ทั้งสองแอบรู้สึกประหลาดใจ ต่างฝ่ายต่างราวกับว่ามองไม่เห็นสถาปัตยกรรมอันโออ่าทั้งสองข้างทางเลย
ซ่งชูอีเคยมีชีวิตอยู่มาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่สนใจสิ่งก่อสร้างอันยิ่งใหญ่เช่นนี้นับเป็นเรื่องปกติ ทว่าหมิ่นฉือที่อายุยังน้อยแต่กลับรักษาท่าทีสงบนิ่งเช่นนี้ไว้ได้ ทำให้ซ่งชูอีต้องประเมินเขาใหม่อีกครั้ง
“ท่านหวยจิน ท่านจื๋อห่วนมาถึงแล้ว!” เสียงเล็กแหลมของขันทีท่านหนึ่งตะโกนขึ้น
ทั้งสองคนหยุดฝีเท้าอยู่หน้าท้องพระโรงหลัก รอให้ขันทีอีกท่านหนึ่งนำทาง ก่อนก้าวขึ้นบันไดอย่างใจเย็น
ภายในท้องพระโรงมีทั้งเว่ยอ๋องและบรรดาขุนนาง ขณะที่ทั้งสองคนเดินเข้าไปพร้อมกัน ทุกสายตาก็หันขวับไปมอง ทว่ากลับเห็นเพียงเด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า!
หมิ่นฉือมีอายุมากกว่าเล็กน้อย ด้วยหน้าตาในตอนนี้ก็นับว่าเด็กมากแล้ว ทว่าซ่งชูอียิ่งเด็กกว่า
บัณฑิตวัยเยาว์เยี่ยงพวกเขาสามารถมีความคิดเห็นในทางปฏิบัติได้เช่นนี้ก็นับว่าไม่เลวมากแล้ว อย่างไรก็ดีใครจะไปคิดว่าบุคคลที่ปลุกระดมความขัดแย้งระหว่างรัฐจะอ่อนเยาว์ได้ถึงเพียงนี้!
“กระหม่อมซ่งหวยจิน ถวายบังคมเว่ยอ๋อง”
“กระหม่อมหมิ่นจื๋อห่วน ถวายบังคมเว่ยอ๋อง”
ทั้งสองคนกล่าวตามๆ กัน
บนพระที่นั่งหลัก ชายชราในชุดสีน้ำตาลเข้มที่มีศีรษะขาวโพลนมองสำรวจพวกเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ในขณะเดียวกัน ซ่งชูอีก็มองสำรวจเว่ยอ๋องด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ผิวหนังหย่อนคล้อยบนใบหน้าของเว่ยอ๋องทำให้ยากที่จะบ่งบอกลักษณะดั้งเดิมของเขา มีเพียงดวงตาดุจเสือดาวคู่นั้นซึ่งดูสดใสเป็นพิเศษ
………………
[1] โต๋วก่งโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสิ่งปลูกสร้างหรือสถาปัตยกรรมจีนโบราณ เป็นวัฒนธรรมที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่ในยุคสมัยจ้านกั๋ว