บทที่ 130: การประชุมครั้งแรกของอุตสาหกรรมการก่อสร้างแห่งยมโลก (2)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 130: การประชุมครั้งแรกของอุตสาหกรรมการก่อสร้างแห่งยมโลก (2)

ทุกคนเพียงคิดอยู่ในใจไม่คิดจะพูดอะไรออกมา

เมื่อพิจารณาทุกอย่างแล้ว แก่นแท้ของอุตสาหกรรมการก่อสร้างก็เพียงแค่ยึดตามแบบและการดำเนินการทุกอย่างออกมาตรงตามนั้นเท่านั้น หากปราศจากแบบแปลนและอุปกรณ์ มันก็แทบไม่มีสิ่งใดให้ต้องพูดถึง

และยิ่งไม่จำเป็นจะต้องพูดคุยเรื่องฝ่ายขายเลยด้วยซ้ำ พวกเขาเป็นเหมือนกับบริษัทในเครือที่มีหน้าที่ในการทำตามคำสั่งของบริษัทหลัก….

ดังนั้น หากพวกเขาต้องการจะสร้างความประทับใจให้กับจ้าวแห่งนรก พวกเขาก็ต้องคิดจากมุมมองอีกมุมหนึ่งแทน

“ระบบระบายน้ำ” ซุนอันช่านเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน

“ก่อนหน้านี้ฝนตกค่อนข้างหนัก หากเราต้องการจะสร้างเมือง ระบบบำบัดน้ำเสียงก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถขาดได้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราได้เห็นข่าวเกี่ยวกับเมืองที่จมอยู่ใต้น้ำหรือกลายเป็นเกาะในทะเลอยู่ทุก ๆ หน้าร้อน ผมคิดว่ามันจะเป็นการดีกว่าหากเราทำทุกอย่างโดยระมัดระวังและสร้างระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาตั้งแต่แรก”

สิ่งที่เขาพูดออกมานั้นกระตุ้นความคิดของคนทั้งหมดได้ทันที จ้าวกวงเหลียงจึงรีบเอ่ยสมทบขึ้นมาว่า “ทั้งหมดนี่เป็นส่วนหนึ่งของการวางผังเมือง ผู้ที่มีความสามารถในการวางผังเมืองพวกนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสภา [1] ท่านสามารถหาตัวแทนพวกนี้ในเมืองหลวงของมณฑลหรือเทศบาลได้เช่นกัน นายท่าน ท่านคิดว่าตัวเองจะสามารถ….”

ฉินเย่พยักหน้า “ข้าจะลองหาดู แต่พวกเราไม่สามารถรออยู่เฉย ๆ ได้ พวกเจ้าทุกคนต่างเป็นหัวกะทิของอุตสาหกรรมการก่อสร้าง อย่างน้อยพวกเจ้าก็ช่วยคิดอะไรออกมาสักนิดไม่ได้เลยหรือ?”

หลี่ชวนอี่จึงเอ่ยขึ้นว่า “หากพูดกันโดยทั่วไปแล้ว การวางผังเมืองนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก ผมได้ลองสำรวจดูคร่าว ๆ แล้ว ในยมโลกนั้นไม่ได้มีภูเขาสูงเลยสักลูก ดังนั้นเราสามารถออกแบบมันตามเมืองหรงเฉิงก็ได้ ด้วยการมีประตูนรกเป็นแกนกลาง เราสามารถสร้างระบบการทำงานและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ บริเวณรอบ ๆ ของมันได้เช่นกัน”

“แต่นี่ก็ยังต้องอาศัยความช่วยเหลือจากนักสำรวจอยู่ดี ตอนนี้ยมโลกนั้นมีขนาดใหญ่เพียงใด? และสัดส่วนของขนาดประตูนั้นมีความสัมพันธ์กับมวลที่ดินทั้งหมดอย่างไร? มีพื้นที่มากน้อยเพียงพอที่เราจะสามารถใช้ในการสร้างอาคารได้? เราจะใช้พื้นที่ทั้งหมดเลยหรือไม่? หรือเราควรสร้างชุมชนที่อยู่อาศัยไว้บริเวณใด? แล้วเรายังต้องจัดสรรพื้นที่บางส่วนไว้สำหรับสวนสาธารณะหรือเปล่า?….”

“พวกเราจำเป็นจะต้องมีสถาปนิกมืออาชีพ” หูเฟิงเอ่ยสรุป “ท่านจะต้องตัดสินใจให้ได้เสียก่อนว่าท่านต้องการให้ตึกอาคารทั้งหมดอยู่ในรูปแบบใด และพวกเขาจึงจะสามารถออกแบบภาพขึ้นมาได้…นายท่าน ด้วยความเคารพอย่างสูง พวกเราทุกคนในที่นี้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของท่านในเรื่องนี้ได้”

ฉินเย่เข้าใจเช่นกัน

สิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือรวบรวมผู้มีที่ความสามารถทางเทคนิคเสียก่อน แล้วหลังจากนั้นเขาจึงจะสามารถใช้ความเชี่ยวชาญของผู้บริหารงานเหล่านี้ได้

“ข้าเข้าใจ เช่นนั้นข้าจะติดต่อกับสถาบันออกแบบและร่างแบบอาคารออกมาโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้พวกอุปกรณ์ก่อสร้างทั้งหมดน่าจะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้ คอยดูให้ดี” ฉินเย่รู้สึกได้ถึงอาการปวดหัวที่กำลังกำเริบขึ้นมาของเขา เด็กหนุ่มนวดขมับของตนเองและลุกขึ้นยืน “มีเรื่องอื่นที่จะต้องหารือกันอีกหรือไม่? หากไม่มี เราจะสรุปการประชุมกันเลย”

ทันทีที่เขาลุกขึ้น ดวงวิญญาณที่อยู่ภายในห้องต่างหันมามองหน้ากันไปมา อาจกล่าวได้ว่าจิตใจของพวกเขาในเวลานี้แทบจะรู้สึกเหมือนเป็นคนเดียวกันแล้ว เฉียนเทียนอี้เป็นคนแรกที่ยืนขึ้น “นายท่าน ก่อนหน้านี้…ท่านบอกว่านี่คือโอกาสที่ดีที่สุดในการรวบรวมและจัดตั้งอุตสาหกรรมการก่อสร้างแห่งยมโลกอย่างเป็นทางการใช่หรือไม่?”

ฉินเย่เป็นคนฉลาด ริมฝีปากของเขายกยิ้มขึ้นทันทีที่ได้ยินคำของอีกฝ่าย

นรกเองก็มีสังคมและชุมชนเช่นกัน

ไม่มีวิญญาณตนใดในที่นี้ที่ไม่อยากจะรักษาเส้นทางสำหรับอนาคตของตนเองเอาไว้

วิญญาณทั้งหมดเองก็ฉลาดอย่างไม่น่าเชื่อเช่นกัน สิ่งที่พวกเขาทำในตอนนี้นั้นไม่ต่างจากการส่งรายชื่อเลยสักนิด บนหน้าของพวกเขาเหมือนเขียนว่า ข้าต้องการติดตามท่าน

ขณะที่ฉินเย่เดินเข้าไปใกล้เหล่าวิญญาณตรงหน้า อีกฝ่ายต่างก็สอบสนองต่อการมองของเขาอย่างประหม่า

และหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินเย่ก็เอ่ยขึ้นว่า “นี่เป็นตั๋วเพียงเที่ยวเดียว ตั้งแต่พวกเจ้าขึ้นมาบนเรือของข้า พวกเจ้าก็ไม่มีทางหันหลังกลับได้อีกแล้ว”

อึก!…เสียงกลืนน้ำลายดังขึ้นให้ได้ยินเป็นทอด ๆ จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็พยักหน้ารัว ๆ

ฉินเย่ยิ้มบาง “พวกเรากำลังแล่นไปสู่ระเบียบแห่งโลกใหม่ หรือไม่…ก็พยายามโดยเสียเปล่า ไม่มีใครสามารถลงจากเรือกลางคัน ด้วยสภาพที่สิ้นไร้ไม้ตอกของนรกในตอนนี้ พวกเจ้าเต็มใจที่จะเดินทางไปพร้อมกับข้าหรือไม่?”

ความพูดดังกล่าวนั้นมีความหมายที่ลึกซึ้ง วิญญาณทั้งเจ็ดไม่ได้ตอบรับภายในทันที ฉินเย่เองก็ไม่ได้เร่งเอาคำตอบจากพวกเขาเช่นกัน ภายในห้องโถงถูกปกคลุมด้วยความเงียบที่น่าอึดอัดอีกครั้ง

หลังจากผ่านไปหลายนาที หูเฟิงก็กัดฟันแน่นและเอ่ยขึ้นมา “นายท่าน พวกเราทุกคนในที่นี้ไม่ใช่เด็กไร้เดียงสา พวกเราเข้าใจถึงข้อเท็จจริงพวกนี้ดี มิตรยามยากย่อมเป็นมิตรแท้ มันอาจจะเป็นเรื่องง่ายที่จะซ่อนดอกไม้ไว้ในผ้าปัก แต่มันเป็นเรื่องยากที่จะซ่อนก้องถ่านไว้ในหิมะ”

ซ่งหมิงเอ่ยเสริมด้วยคำพูดที่ลึกซึ้งไม่แพ้กัน “ถูกต้องแล้ว นรกแห่งเดิมได้ล่มสลายไป และท่านก็เป็นเพียงผู้เดียวที่ยังเหลืออยู่ในนรกแห่งใหม่นี้ แต่แม้ว่านรกจะอยู่ในซากปรักหักพัง ผมก็ไม่ขอเชื่อว่ามันจะหายไปอย่างสมบูรณ์ ท่านเองก็เคยพูดเอาไว้ว่าพวกเราจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป หากเราไม่คว้าโอกาสนี้เอาไว้ แล้วในภายภาคหน้า พวกเราจะทำอย่างไร?”

“ใช่แล้ว…พวกเรายังมีเส้นทางอีกยาวไกลที่รออยู่เบื้องหน้า…หลังความตาย และเราเองก็ต้องการมีเป้าหมายเป็นของตัวเองเช่นกัน การได้รับโอกาสที่จะทำในสิ่งที่เราเคยทำมาในครั้งที่ยังมีชีวิตเองก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายเลยสักนิด”

จ้าวกวงเหลียงลุกขึ้นและโค้งคำนับอย่างเคารพ “มีผู้คนมากมายที่เข้าสู่อุตสาหกรรมการก่อสร้างก็เพียงเพื่อที่พวกเขาจะสามารถหาเลี้ยงชีพของตัวเองได้ แต่พวกเราส่วนใหญ่ที่ดำรงตำแหน่งของผู้บริหาร…นั้นเลือกที่จะอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ก็เพราะว่ามันเป็นความหลงใหลของตัวเองด้วยเช่นกัน”

“หากท่านลองคิดดู…นรกแห่งใหม่ รวมถึงเมืองเฟิงตูใหม่เอี่ยมที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยสองมือของเรา ในเมื่อพวกเราไม่สามารถทิ้งมรดกอะไรไว้ได้ในตอนที่ยังมีชีวิต เหตุใดเราไม่สลักชื่อของตัวเองไว้ในพงศาวดารของนรกแทนล่ะ?”

ทุกสายตาจับจ้องไปที่ร่างของฉินเย่อย่างคาดหวัง หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ 20 นาทีเต็ม ฉินเย่ก็พยักหน้าในที่สุด

มันไม่ใช่เพราะความเชื่อมั่นของกลุ่มคนตรงหน้า แต่มัน…เป็นเพราะว่าเขาจำเป็นจะต้องจับทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการสร้างนรกขึ้นมาใหม่เอาไว้อย่างแน่นหนา

เช่นเดียวกันกับแผ่นดินจีน บริษัทก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดและมีอำนาจมากที่สุดในจีนคือบริษัทใด?

บริษัทก่อสร้างชุ่นด๋า? กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ฟางหยวน?

ไม่ใช่

มันยังมีสถานประกอบการอันเป็นที่รู้จักกันในนามบริษัทรับเหมาก่อสร้างแห่งประเทศจีนที่มีอำนาจและอิทธิพลมากกว่าที่อื่น ๆ อยู่!

ในเวลานี้นรกยังคงอยู่ในสภาพที่ยุ่งเหยิง ความหวังอันริบหรี่เพียงอย่างเดียวก็คือทุกคนต้องร่วมมือกันแต่โดยดี

เขายังจะสามารถหวังอะไรได้อีก?

“ดี” ในที่สุดฉินเย่ก็เอ่ยออกมาอย่างตัดสินใจ “จดเพิ่มเข้าไปด้วยว่า ในวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 2019 บริษัทก่อสร้างแห่งยมโลกได้ถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ สำนักงานใหญ่ชั่วคราวตั้งอยู่ที่ยมโลกแห่งที่สองซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเป่าอัน หรือเรียกว่านรกแห่งเมืองเป่าอันก็ได้”

ผู้จดบันทึกจดมันด้วยความกระตือรือร้น ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มรู้สึกเหมือนอยู่ในการประชุมที่สุดยอดเสียที

ฉินเย่เอ่ยต่อว่า “บริษัทก่อสร้างแห่งยมโลกสามารถเรียกโดยย่อได้ว่าบริษัทก่อสร้างหยิน”

“มันจะต้องมีแผนกก่อสร้างเจ็ดแผนกที่ถูกตั้งขึ้นภายใต้บริษัทหลักนี้ หูเฟิงจะเป็นหัวหน้าแผนกที่ 1 แผนกที่ 2 เป็นเฉียนเทียนอี้ แผนกที่ 3 ซ่งหมิง แผนกที่ 4 จ้าวกวงเหลียง แผนกที่ 5 หลี่ชวนอี่…แผนกทั้งหมดนี้ไม่ได้มีการจัดอันดับตามลำดับใด ๆ”

“ทุกท่าน” ฉินเย่วางมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะและมองไปรอบ ๆ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม “นี่เป็นเพียงการประชุมทั้งแรกของอุตสาหกรรมการก่อสร้างของเราเท่านั้น”

“พวกเจ้าอาจจะคิดว่ามันน่าตลก หรือทุกอย่างมันยังขาดตกบกพร่องเกินไป แต่จงจำไว้ พวกเรายังมีเวลาอีกนานแสนนานไม่รู้จบที่รอเราอยู่ อีกร้อยปีหลังจากนี้ หรืออาจจะหลายร้อยปีหลังจากนี้ พวกเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานการก่อตั้งของเมืองขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยสองมือของตัวเอง นรกจะกลับสู่ความรุ่งเรืองดั่งเช่นในอดีต! ด้วยคำพิพากษาจากนรก เหล่าวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น คำพูดพวกนี้จะเป็นที่หวาดกลัวให้กับจิตใจของภูตผีทุกตน!”

ฉินเย่ยืดตัวตรงและกวาดสายตาไปยังคนทั้งหมดที่บัดนี้มีประกายตื่นเต้นฉายชัดในแววตา “อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งหัวหน้าแผนกของพวกคุณไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยหิน พวกเจ้าอาจจะถูกลดตำแหน่งลงหากทำผลงานได้ไม่ดี งานแรกของพวกเจ้าก็คือรักษาตำแหน่งของตัวเองจากเหล่าวิญญาณตนอื่นที่อยู่ด้านนอก ข้าจะแจกแจงรายละเอียดของรางวัลและบทลงโทษทั้งหมดพร้อมกับจัดตั้งกระทรวงเกี่ยวกับกฎหมาย หน่วยงานที่ปรึกษา และกระทรวงอื่น ๆ ในภายหลัง”

เด็กหนุ่มลุกขึ้นเพื่อจะเดินออกจากห้องทันทีที่เอ่ยจบ ทว่าทันใดนั้นเขาก็หันกลับไปมองคนทั้งหมดราวกับนึกเรื่องสำคัญบางอย่างได้ “อ้อ! แล้วก็…”

เขาส่งยิ้มบาง ๆ ให้ทุกคน “พวกเจ้าทุกคนต่างก็เคยเป็นผู้บริหารระดับกลางที่ได้รับเงินเดือนเกือบครึ่งล้านหยวนมาก่อน และมีคนนับร้อยที่อยู่ใต้การดูแลสินะ พวกเจ้าแน่ใจจริง ๆ หรือว่าตัวเองจะไม่เป็นไรที่จะต้องมาตอบคำถามเด็กวัยรุ่นอย่างข้า?”

โดยที่ไม่รอคำตอบ เขาหัวเราะออกมาเสียงดังก่อนจะกลายร่างเป็นกลุ่มก้อนพายุและจากไป

หัวหน้าแผนกทั้งเจ็ดต่างมองหน้ากันไปมา หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง จ้าวกวงเหลียงก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา “ประโยคสุดท้ายของนายท่านเมื่อครู่นี้…ไม่เจ็บปวดเกินไปหน่อยเหรอ?”

“นั่นสิ…” ซุนอันช่านพึมพำ “นี้คงจะเป็นคำเตือนที่บอกให้พวกเราสนใจเฉพาะงานที่อยู่ในมือ และอย่าหลงไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็น…คุณเองก็น่าจะเห็นความสามารถของเขาแล้วนี่”

“หากพูดกันตามตรง เขาไม่จำเป็นจะต้องทำอย่างนั้นเลยสักนิด” หูเฟิงส่ายศีรษะไปมาด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น

“ไม่ว่าพวกเราจะเคยมีอำนาจมากเพียงใด แต่ทุกอย่างก็เป็นอดีตไปแล้ว นรกเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของเราทุกคนที่นี่ นอกจากนี้ คุณเชื่อจริง ๆ เหรอว่ารูปลักษณ์ที่เขาแสดงให้เห็นในตอนนี้เป็นร่างที่แท้จริงของเขา?”

คนทั้งหมดตัวสั่นอย่างพร้อมเพรียงกันเมื่อนึกถึงร่างยมทูตของฉินเย่ก่อนหน้านี้

ฉินเย่ไม่ได้สนใจเลยว่าชายทั้งเจ็ดจะคิดเกี่ยวกับตนว่าอย่างไร แม้ว่าเขาจะไม่เคยใช้การปกครองโดยความเมตตามาก่อน แต่มันก็ไม่สายเกินไปที่จะเริ่มเรียนรู้แล้ว

ในเวลานี้ เขากลับมาถึงที่บริเวณเท้าของรูปปั้นของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ เขาโค้งคำนับให้กับรูปปั้นก่อนหนึ่งครั้ง และหยิบบันทึกนรกออกมา

เขากำลังจะเขียนชื่อของยมเทพลงบนบันทึกนรกเป็นครั้งแรก!

นี่คือการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คนที่สองของนรก!

พรึบ…ทันทีที่บันทึกนรกปรากฏขึ้น มันก็พลิกเปิดหน้ากระดาษลอยอยู่เบื้องหน้าของฉินเย่ราวกับมีบางอย่างที่ถือมันไว้

ในตอนนี้ มันมีเพียงรายชื่อเดียวเท่านั้น

ชื่อ: ฉินเย่ (ชื่อเล่น – โก่วต้าน)

สถานที่เกิด: หมู่บ้านเนินเขาหลิวเอ๋อ แม่น้ำกาจือ เมืองถังอัน นครฉิงกวง

สมาชิกในครอบครัว: ปู่ (เสียชีวิต) บิดา-มารดา (เสียชีวิต)

เกิด: 1 ตุลาคม 1938

อาชีพ: นักล่าวิญญาณ – แต้มสะสมปัจจุบัน: 260 แต้มกุศล จำนวนแต้มที่ต้องใช้สำหรับการเลื่อนขึ้นสู่ขั้นยมทูตขาวดำ: 260/2,000 แต้มกุศล

ฉินเย่สูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติของตัวเอง จากนั้นจึงยื่นมือออกไปในอากาศและทันใดนั้น พู่กันจุ่มหมึกก็ปรากฏขึ้นในมือ ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม เขาเขียนชื่อของใครคนหนึ่งลงไปบนหน้ากระดาษ

ซูตงเซวี่ย

ซูตงเซวี่ยยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้าทางเข้าของประตูนรก ในขณะที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น ทันทีที่ฉินเย่เขียนชื่อของนางลงไป ร่างของหญิงสาวก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรงและรีบหันไปมองยังโถงด้านหลังด้วยสายตาเหลือเชื่อ

นางมองเห็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ที่บริเวณเท้าของรูปปั้นพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ มือข้างหนึ่งถือพู่กันจีน ในขณะที่มืออีกข้างถือสมุดเล่มหนึ่ง ทว่าร่างนั้นกลับดูใหญ่โตและสง่าผ่าเผยราวกับเทือกเขาทั้งลูก

ขณะที่มองในห้วงอารมณ์ดังกล่าว นางลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินตรงไปที่ฉินเย่อย่างรวดเร็ว ความตื่นเต้นที่รุนแรงส่งผลให้แต่ละย่างก้าวที่เดินนั้นเกิดการสะดุดขึ้น หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากของตนเอง น้ำสีใสรินไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างขณะกัดปากของตัวเองอย่างแรง

ฉินเย่นั้นกำลังจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า จากนั้นทันทีที่เขาเขียนชื่อของซูตงเซวี่ยเสร็จ สมุดที่ดูธรรมดาตรงหน้าก็เปล่งแสงสีทองออกมาจนปกคลุมไปทั่วทั้งโถงทางเดิน!

ฟึ่บ…

เปลวไฟนรกสีเขียวที่น่าขนลุกนั้น ลุกโชนอย่างรุนแรงในทุกจุดที่แสงสีทองส่องผ่าน สภาพแวดล้อมที่ดูมืดมนก่อนหน้านี้ถูกปกคลุมไปด้วยประกายแสงสีทองบริสุทธิ์ที่เหมือนกับรัศมีของพระพุทธรูป แม้แต่รูปสลักที่น่าหวาดกลัวที่อยู่ทั้งสองฝั่งของทางเดินเองก็ดูอ่อนลงจากผลของแสงสีทองนี้

แก๊ง….เสียงระฆังดังกึกก้อง ทันใดนั้น ซูตงเซวี่ย ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของฉินเย่คุกเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้นและค้อมตัวลงเพื่อคำนับฉินเย่ ในขณะเดียวกัน พลังหยินที่อยู่รอบตัวของนางก็กระจายตัวออกและปกคลุมร่างของนางอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่กี่วินาที หญิงสาวก็ถูกปกคลุมไปด้วยลูกบอลพลังหยินที่หนาแน่นและมีรัศมีวงกลมยาวไปไกลกว่าสองเมตร

หัวหน้าแผนกทั้งเจ็ดคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องโถงประชุม ต่างอ้าปากค้างทันทีเมื่อเห็นภาพดังกล่าว และไม่มีใครกล้าเดินเข้าไปใกล้ภาพที่น่าตกตะลึงนี้เลยแม้แต่ก้าวเดียว

5 วินาทีผ่านไป 10 วินาทีผ่านไป…30 นาทีผ่านไป ลูกบอลพลังหยินก็ระเบิดออก เผยให้เห็นซูตงเซวี่ย ผู้ที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาของข้างปิดสนิท ร่างของหญิงสาวสั่นระริกเล็กน้อย

นางไม่ได้อยู่ในชุดกี่เพ้าเหมือนอย่างตอนแรกอีกต่อไป

กลับกัน นางสวมชุดเครื่องคลุมสีดำขนาดพอดีตัวควบคู่ไปกับหมวกทรงจีนลายฉลุสีดำ พัดสีทองผูกไว้กับเข็มขัดของนางด้วยเชือกสีแดงห้อยลงมาจากบริเวณเอว พร้อมกับป้ายที่ถูกห้อยอยู่ด้านข้าง ซึ่งถูกสลักด้วยตัวอักษรสองตัวว่า ยมเทพ

ในวินาทีนั้น รายชื่อที่สองก็ปรากฏขึ้นบนบันทึกนรก

ชื่อ: ซูตงเซวี่ย

สถานที่เกิด: หมู่บ้านจือซัง เขตชางซุ่ย เมืองเฟิงหยวน มณฑลอันฮุ่ย

สมาชิกในครอบครัว: ไม่มี

เกิน: 8 พฤศจิกายน 1930

อาชีพ: ยมเทพ (เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง)

ซูตงเซวี่ยลืมตาขึ้น นางยังคงดูเหมือนกับก่อนหน้านี้ แต่มันมีบางอย่างที่แตกต่างออกไป

อาจกล่าวได้ว่า….นางเพิ่งผ่านการเปลี่ยนแปลงบางอย่างมา

และมันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเสียด้วย

“นายท่าน…” ไม่สามารถปกปิดความดีใจในอกได้อีกต่อไป นางปาดน้ำตาแห่งความสุขขณะที่คุกเข่าคำนับฉินเย่และเอ่ยเสียงดังว่า “ข้า…ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีวันที่ข้าจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นยมทูต…”

“ข้าได้เสียชีวิตมานานเกือบร้อยปี…แต่ข้า…ข้ากลับไม่สามารถเข้ามายังนครวิญญาณหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของระบบได้….นายท่าน คำพูดไม่สามารถอธิบายความรู้สึกขอบคุณของข้าที่มีต่อท่านได้ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ทุกคำพูดของท่านจะถือเป็นคำสั่งของข้า แม้ว่าท่านจะต้องการให้ข้ากำบังคมมีดหรือลุยไฟก็ตาม!”

สิ้นสุดเสียงพูด นางก็โค้งคำนับฉินเย่อีกสามครั้ง

ฉินเย่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

เขาไม่คิดมาก่อนว่าวิญญาณตรงหน้าจะดีใจที่ได้เป็นยมทูต ตอนนี้ปฏิกิริยาของนางมากเสียยิ่งกว่า คนที่รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางในโลกมนุษย์เสียอีก!

“นายท่าน…เกิดสิ่งใดขึ้นกัน?” ชายทั้งเจ็ดค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้และถามอย่างสงสัย

“ไม่มีอะไร” ฉินเย่กล่าว “ก็แค่การแต่งตั้งยมทูตเท่านั้น ตอนนี้นางมีพลังที่จะสามารถเดินทางไปในแดนมนุษย์ ปกครอง และจัดการดวงวิญญาณอื่น ๆ ได้แล้ว ในฐานะของยมทูต นางสามารถเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ว่าการมณฑล ผู้ว่าราชการเมือง และผู้ว่าการนครได้ โดยทั่วไปแล้ว นี่ก็เป็นข้อมูลที่บ่งบอกถึงความสำเร็จในการก่อตั้งและขยายใหญ่ของอาณาจักรของเรา”

“ตั้งใจทำหน้าที่ของตนให้ดี และความสำเร็จของเจ้าก็อาจจะไม่น้อยไปกว่านาง”

เดินทางไปยังแดนมนุษย์!

ทำดังกล่าวทำให้ดวงตาของวิญญาณทั้งเจ็ดแดงก่ำ พวกเขารีบโค้งคำนับฉินเย่ทันที “นายท่านโปรดวางใจ พวกเราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!!”

[1] หมายถึงหน่วยงานที่มีอำนาจและการบริหารสูงสุด