บทที่ 131: วันแรกของเปิดเทอม

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 131: วันแรกของเปิดเทอม

เมื่อพบว่าไม่มีอะไรที่ต้องทำอีกแล้ว ฉินเย่จึงหยิบเศษตราเจ้านรกออกมากำไว้ในมือและเตรียมที่จะจากไป ทว่าทันใดนั้น ซูตงเซวี่ยก็เอ่ยออกมาเสียงเบา “นายท่าน ช้าก่อน”

“มีอะไร?”

ซูตงเซวี่ยมองคนตรงหน้าอยากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง การเปลี่ยนแปลงของนางในฐานะของยมทูตทำให้ร่างของนางมีร่างกายที่จับต้องได้ วินาทีที่นางกัดริมฝีปากสีแดงเหมือนลูกเชอร์รี่ของตัวเองอย่างเขินอาย ทำให้หัวใจของวิญญาณทั้งเจ็ดเต้นแรงขึ้นทันที ไม่กี่วินาทีต่อมา นางจึงสูดหายใจเข้าลึก ๆ และเอ่ยว่า “หากพูดด้วยความสัตย์จริง….ตัวข้าเองก็ตื่นมาเป็นเวลานานมากแล้ว”

สายตาของฉินเย่หรี่ตาลงมองเล็กน้อย เด็กหนุ่มเข้าใจทันทีว่าคนตรงหน้ากำลังพูดถึงการตื่นขึ้นของตัวเองในร่างของซงเจียฝาง

“ข้าได้เห็นทุกสิ่งที่หลี่เจียนคังทำลงไปด้วยตาของตัวเอง…ในครั้งที่ข้ายังมีชีวิต เคยมียมทูตด้วย นั่นอาจจะเป็นช่วงแรกของการล่มสลายของนรก และเพราะว่าข้ารับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา…ข้าจึงรู้ดีว่าวันหนึ่ง หลี่เจียนคังจะต้องถูกสวรรค์ลงโทษ”

นางหลับตาลง และขนตาของนางก็สั่นไหวเล็กน้อย “ด้วยเหตุนี้…ข้าจึงพยายามหาวิธีมากมายที่จะใช้เตือนสติเขา น่าเสียดายที่วิญญาณของข้าเพิ่งตื่นขึ้นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น และวิญญาณของซงเจียงฝางก็ยังควบคุมร่างของเขาอยู่ นั่นจึงเป็นเหตุให้ข้าไม่สามารถเตือนเขาไปมากกว่านี้ได้”

“โอ้?” ฉินเย่เลิกคิ้วขึ้น เขาไม่ได้สนใจรายละเอียดพวกนี้เท่าไหร่นัก

แต่ซูตงเซวี่ยยังคงหมายมั่น นางดึงเสื้อคลุมของตัวเองยมทูตของตนเองออกทีละน้อย จากนั้น ก่อนที่ทุกคนจะทันได้ตอบสนองกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน พลังหยินก็ระเบิดออกมาจากร่างของนาง จากนั้น…เมื่อเสื้อคลุมสีดำตกลงกับพื้น แมวดำตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในจุดที่หญิงสาวเคยยืนอยู่เมื่อครู่นี้!

“เจ้าเป็น…” ฉินเย่มึนงงเป็นอย่างมาก “ผู้ฝึกตนปีศาจอย่างนั้นหรือ?”

อาร์ทิสบอกว่าทุกวันนี้ผู้ฝึกตนปีศาจเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก ๆ ไม่ใช่หรือ? เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองกำลังเจอกลุ่มคนดังกล่าวอยู่จริง ๆ!

“ถูกต้องแล้ว…” แมวดำตรงหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงของมนุษย์ขณะที่เลียอุ้งเท้าของตนเอง

“นายท่าน ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะหลอกลวงท่านแต่อย่างใด ชีวิตของผู้ฝึกตนปีศาจนั้นเป็นสิ่งที่น่าเศร้า แหล่งที่อยู่อาศัยของพวกเราที่อยู่ลึกเข้าไปในบริเวณภูเขาและป่านั้นถูกบุกรุกอยู่ตลอดเวลา มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนร่างของตนเองได้ และส่วนใหญ่ของผู้ที่ทำได้ก็มันจะแสดงลักษณะปีศาจที่เปิดเผยตัวตนของพวกเขาออกมาทันทีอยู่ดี”

“แม้ว่าจะตายไปแล้ว พวกเราก็ไม่ได้ทักษะที่มีค่าพวกนั้นมายังนรก ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ยินผู้อาวุโสของกลุ่มเราบอกว่าพวกเราส่วนใหญ่ล้วนจบลงด้วยการทำการแสดงที่สวนสัตว์เฟิงตูเหมือนกับสัตว์ในคณะละครสัตว์…มะ มันไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจท่าน…ข้าเพียงแต่ไม่สามารถจินตนาการถึงภาพที่ต้องทนใช้ชีวิตเยี่ยงสัตว์ และอาศัยอยู่ในกรงของสวนสัตว์ได้จริง ๆ….”

ฉินเย่หลับตาลง

ในที่สุดความลึกลับที่อยู่ในเหตุการณ์ของตระกูลหลี่ก็ได้รับการคลี่คลายแล้ว

แมวดำตัวนั้นตัวตนที่แท้จริงเป็นใคร?

หลี่เจียนคังบอกว่ามี แต่ชายผมบลอนด์กลับยืนยันว่ามันไม่มี ครู่หนึ่ง แม้แต่ฉินเย่เองก็เริ่มสงสัยว่ามันเป็นเพียงจินตนาการของหลี่เจียนคังเองหรือเปล่า แต่สุดท้ายแล้ว แมวดำตัวนั้นกลับมีอยู่จริง ๆ แต่เพียงชายผมบลอนด์คนนั้นมองไม่เห็นเท่านั้น

“ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี” เขาห่อหุ้มเศษตราเจ้านรกด้วยพลังหยินของตนเอง และร่างของเด็กหนุ่มก็ค่อย ๆ จางหายไป “ไม่มีสวนสัตว์ในนรกแห่งใหม่นี้ แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้ฝึกตนปีศาจ ตราบใดที่เจ้ายังสามารถปฏิบัติงานได้เหมือนเดิมเป็นพอ”

ซูตงเซวี่ยยังคงโค้งคำนับเด็กหนุ่มอย่างสุดซึ้ง คงอยู่ในท่วงท่าของการหมอบกราบเป็นระยะเวลาหนึ่ง แม้ว่าร่างของฉินเย่จะหายไปจากสายตาแล้วก็ตาม

……………………………..

หลายนาทีต่อมา ฉินเย่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในหอพักของมหาวิทยาลัยอันฮุ่ย

“เหนื่อยชะมัด….” เขาทิ้งตัวลงกับเตียง รู้สึกเหนื่อยเป็นที่สุด มันเหมือนกับว่าเขามีหลายบุคลิกอยู่ในร่างเดียว บนโลกมนุษย์ เขาคือ S9527 ผู้มีความสุขและรื่นเริง แต่ในนรก เขาคือจ้าวนรกผู้ที่เป็นกลางและเที่ยงธรรม

เขาไม่อยากจะลงรายละเอียดอะไรอีกแล้ว เขาเพิ่งข้ามสะพานไปได้ เพราะฉะนั้นเขาพอแล้วสำหรับคืนนี้

เช้าวันต่อมา ฉินเย่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ และการแจ้งเตือนมากมาย

“ครับ?” เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและรับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

การรบกวนการนอนหลับของเขาถือเป็นความผิดร้ายแรง!

“น้องชาย ใช่ ผมหมายถึงคุณนั่นแหละ น้องชาย” น้ำเสียงทุ้มต่ำของหลินฮั่นเจือไปด้วยตวามโกรธเคือง “รบกวนคุณช่วยดูเวลาหน่อยได้ไหมว่านี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว?”

ฉินเย่มองดูหน้าจอโทรศัพท์ของตนทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “9 โมง ทำไม? อ้อ! คุณช่วยแวะเอาอาหารเช้ามาให้ผมตอนขากลับได้หรือเปล่า? เดี๋ยวผมจะโอนเงินค่าอาหารให้ทีหลัง”

เกิดความเงียบที่น่าอึดอัดขึ้นประมาณสองวินาที ก่อนที่หลินฮั่นจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “พิธีเปิดการสอนเมื่อเช้านี้ถูกจัดขึ้นโดยศาสตราจารย์เทาจากสาขาศิลปกรรม……”

ฉินเย่เด้งตัวออกจากเตียงอย่างรวดเร็วราวกับถูกเข็มทิ่ม จากนั้นก็นั่งลงบนเตียงอีกครั้ง “อย่าบอกนะว่าเขากำลังรอผมอยู่? เขาไม่เคยเจอผมมาก่อนเลยไม่ใช่เหรอ?”

หลินฮั่นเพียงตอบกลับมาว่า “ไม่ เขาเพียงแค่เรียกชื่อเท่านั้น”

“อ๋อ”

“และผมก็ตอบกลับแทนคุณแล้ว”

ฉินเย่รู้สึกราวกับว่าเขากำลังจมลึกลงไปในอ้อมกอดของเตียงนอน หนังตาของเขาเริ่มหนักและใกล้จะปิดลงเต็มแก่ “แล้ว?”

นักศึกษามหาวิทยาลัยไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขาเคยเรียนมหาลัยมาก่อน จนกว่าพวกเขาจะโดดเรียนสักครั้งหรือสองครั้ง!

อย่างดีที่สุด เขาก็แค่ต้องทำงานหนักขึ้นในอนาคตเพื่อตามคนอื่นให้ทัน! ทำไมอีกฝ่ายต้องจริงจังกับเรื่องแบบนี้ด้วย?

หลินฮั่นยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไร้วิญญาณว่า “แต่เทพแห่งความตายโจวกำลังนั่งฟังอยู่ที่ด้านหลังของห้องบรรยาย”

ฉินเย่รีบวางสายทันที ล้างหน้า บ้วนปากและวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว เขาได้ยินเสียงต่อสู้ของเกมคิงออฟกลอรี่ และเสียงชุดสเตอริโอราคาถูกดังมาตามโถงทางเดิน แต่เด็กหนุ่มก็ไม่คิดที่จะสังเกตความเคลื่อนไหวในวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยอันฮุ่ยเลยสักนิด เขาพุ่งตัวออกจากตึกและมุ่งตรงไปที่ห้องบรรยายราวกับไคสะที่ใช้สกิลสัญชาตญาณนักฆ่า [1]

และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่เขาตระหนักได้ว่าตัวเองไม่ได้หยิบหนังสือเรียนมาด้วย!

“คุณนั่งอยู่ตรงไหน?” สิบนาทีต่อมา ฉินเย่อ้าปากหอบขณะที่ส่งข้อความเสียงลงไปในวีแชท ตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังยืนเอาหลังพิงผนังด้านนอกของห้องบรรยายอยู่

“ข้าง ๆ ประตูหลังของห้องบรรยาย….” หลินฮั่นเว้นช่วงเอาไว้ราวกับต้องการจะพูดอะไรมากกว่านี้

“ผมล่ะรักเพื่อนร่วมทีมที่มองการณ์ไกลอย่างคุณจริง ๆ! เปิดประตูให้ที ผมจะรีบแอบเข้าไป!” โดยไม่รอคำตอบของหลินฮั่น ฉินเย่ปิดโทรศัพท์และหมอบตัวราวกับโจรขณะที่รอคอยอย่างอดทนเพื่อให้ประตูหลังแง้มออก

หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งนาที บานประตูก็เปิดออกอย่างเงียบ ๆ

รอยแง้มที่เปิดออกนั้นไม่ได้กว้างนัก แต่มันก็เพียงพอที่จะให้คนหนึ่งคนแทรกตัวผ่านเข้าไปได้

ฉินเย่เขย่งเท้าเดินเข้าไปอย่างเงียบ ๆ ราวกับแมว เขาเห็นร่างกำยำของหลินฮั่นซึ่งบังเอิญเป็นโล่กันให้กับร่างของเขาได้อย่างพอดิบพอดี และมันยังมีที่ว่างอยู่ข้าง ๆ อีกฝ่ายอีกด้วย

สมบูรณ์แบบ!

ฉินเย่แทรกตัวผ่านช่องว่างระหว่างประตูและปิดมันลงเบา ๆ ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน จากนั้นทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ร่างทั้งร่างของเขาก็ต้องชะงักไป

โจวเซียนหลง หลี่เทา สวี่อันกั๋วและศาสตราจารย์อีกหลายคนของโรงเรียนต่างก็จ้องมองมาที่แขกที่ไม่ได้รับเชิญเป็นตาเดียว

สีหน้าของแต่ละคนนั้นยากที่จะบรรยาย

พวกเขาต่างมีรอยยิ้มที่เสแสร้งและน่าสงสัยประดับอยู่บนใบหน้า และมันก็ทำให้ผู้ที่เห็นรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก

คนทั้งหมดล้วนนั่งอยู่แถวหลังของห้องบรรยายพร้อมด้วยสมุดบันทึกที่เปิดอยู่ตรงหน้า และอีกฝ่ายก็อยู่ห่างจากตำแหน่งปัจจุบันของเขาเพียงแค่สามเมตรเท่านั้น….

“เอ่อ….อะแฮ่ม…” ฉินเย่รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที เขาโบกมือทักทายกลุ่มคนตรงหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “สวัสดีครับ”

แต่กลับไม่มีใครสนใจเขาเลยสักนิด หากพูดกันตามตรง พวกเขาหันหลังให้เขาแทบจะพร้อมกันด้วยซ้ำ โจวเซียนหลงก็เขียนลงในสมุดบันทึกของตัวเองด้วยใบหน้าเย็นชา รหัส S9527 มาสายโดยไร้เหตุผล บทลงโทษ: -1คะแนนการสอน!!!!

ทันใดนั้น ราวกับนึกขึ้นได้ถึงบางอย่างเขาจึงเขียนต่ออีกว่า ขาดความต้องการเรียนรู้และไม่นำหนังสือเรียนมา บทลงโทษ: -1 คะแนนการสอน!!!!

ระยะห่างสามเมตรนั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับของเขาเลยสักนิด ดังนั้นฉินเย่จึงเห็นทุกอย่างที่อีกฝ่ายเขียน หากพูดกันตามตรง การที่โจวเซียนหลงได้ใส่เครื่องหมายอัศเจรีย์ติดต่อกันหลายอันทำให้ฉินเย่รู้สึกราวกับความกล้าของเขาหดเล็กลงด้วยความเจ็บปวด

เดี๋ยวสิ…นี่มันไม่ทำตามอำเภอใจไปหน่อยหรือ? ท่านแค่ไม่ได้พอใจอะไรข้าอยู่แล้วใช่ไหม? หรือว่าความอืดอาดของข้ามันทำให้ท่านรำคาญ?

“ทำไมคุณถึงไม่บอกผมว่าเทพแห่งความตายนั่งอยู่ข้าง ๆ คุณล่ะ?! ทำไมถึงเลือกที่นั่งได้โง่แบบนี้?!” ฉินเย่นั่งลงบนเก้าอี้ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความเดือดดาลในใจ จากนั้นจึงหันไปเอ่ยกับหลินฮั่นเสียงลอดไรฟัน

“ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ?!” หลินฮั่นกลอกตา “ผมกำลังเล่นโทรศัพท์และฟังเพลงอยู่ด้วยซ้ำ แล้วจู่ ๆ หูฟังของผมก็ถูกดึงออกไป พอเงยหน้าขึ้นผมก็เห็นพวกเขาแล้ว ผมก็แทบจะโกรธตัวเองเหมือนกัน โอเคไหม? แต่คุณก็คิดเองไม่ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือไง? ที่นั่งด้านหน้าของห้องบรรยายล้วนถูกจับจองโดยกลุ่มนักเรียนจากสาขาศิลปกรรม และพวกเราก็มาที่นี่เพื่อดูการสอนและเรียนรู้เท่านั้น มันเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่พวกเราจะถูกผลักไสให้มานั่งที่ด้านหลัง และผู้อำนวยการเองก็ต้องมานั่งอยู่ด้านหลังเช่นเดียวกัน ผมนึกว่าคุณจะฉลาดพอที่จะคิดเรื่องพวกนี้ได้ด้วยตัวเองเสียอีก!”

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือทำไมคุณถึงโง่แทรกตัวเข้ามาทันทีที่ประตูเปิดออกล่ะ?

ผมเพิ่งปักวอร์ดป้องกันฟ้าลงไปแต่คุณกลับพยายามทำลายมันทันทีเนี่ยนะ? [2]

มันยังมีฮีโร่อีกห้าตัวที่รอจะกระโจนใส่คุณทันทีที่คุณไปแย่งเหยื่อของพวกเขา

“…ถึงแม้ว่าผมจะรับคำชมจากคุณ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำตัวเป็นเพื่อนและเตือนผมไม่ได้!” ฉินเย่นวดขมับตัวเอง โง่ชะมัด! นี่มันเป็นเพื่อนร่วมทีมที่โง่สุด ๆ ไปเลย!

“อะแฮ่ม ๆ!!” เสียงกระแอมของโจวเซียนหลงดังขึ้นให้ได้ยิน ฉินเย่และหลินฮั่นต่างกลอกตาและไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

ทรราชฉินเย่ดึงสมุดเปล่าและปากกามาจากหลินฮั่นและแสร้งทำเป็นจดเนื้อหาการบรรยาย เขาเขียนอย่างรวดเร็วว่า “เทพแห่งความตายโจวนี่อยู่ในช่วงวัยทองหรือเปล่า? ทำไมเขาจะต้องสนใจทุกอย่างตั้งแต่ท้องฟ้าจรดพื้นดินด้วย นี่ถ้าผมจะตดหรือไม่ตดเขาจะสนใจด้วยหรือเปล่า?!”

โจวเซียนหลงยังคงนั่งฟังการบรรยายด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ทว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเลยว่าตัวหนังสือบนสมุดของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปลายปากกาของเขาเขียนลงบนสมุดหลายหน้าในชั่วพริบตา เส้นเลือดที่ขมับของเขาเต้นตุบ ๆ อย่างไม่สามารถควบคุมได้

ฉินเย่วางสมุดลงก่อนจะเหล่ตามองเพื่อส่งสัญญาณให้กับหลินฮั่น อีกฝ่ายจึงหันไปมองทันที และทันใดนั้นริมฝีปากของชายหนุ่มก็ยกยิ้มกว้างขณะที่พยายามยับยั้งเสียงหัวเราะของตนเอง

หลินฮั่นรีบเขียนลงไปบนสมุดเช่นกัน สองวินาทีต่อมา เขาเองก็ดันสมุดของตนไปให้ฉินเย่ – เขาไม่มีความสง่างามของผู้ที่อยู่ขั้นตุลาการเลยสักนิด…หากไม่รู้ ผมคงนึกว่าเขาเป็นยมทูตที่กระหายเลือดไปแล้ว

โจวเซียนหลงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สีหน้าของเขาบูดบึ้งขึ้นเรื่อย ๆ

โดยไม่รับรู้ถึงอันตรายที่ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของพวกตน ฉินเย่และหลินฮั่นยังคงสื่อสารกันผ่านสมุดแบบฝึกหัดของตนเองต่อไป – เขาเลื่อนเป็นขั้นตุลาการได้ยังไงกัน? มันเหมือนกับขั้นตุลาการคนอื่น ๆ ที่ผมเคยเห็นเลยสักนิด! ไม่มีความสง่างาม แถมยังใจแคบอีก!

หลินฮั่น – ให้ตายเถอะ?! คุณเคยเจอคนที่อยู่ขั้นตุลาการคนอื่นแล้วเหรอ? เล่าให้ฟังหน่อย! พวกเขาเป็นยังไง? เทพแห่งความตายโจวไม่เคยให้ความหวังอะไรกับผมเลย

ฉินเย่ – เย็นชา เย่อหยิ่ง และวิจารณ์ทุกอย่างที่คุณทำ เธอเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล รัศมีความยิ่งใหญ่ของเธอนั้นมากกว่าเทพแห่งความตายโจวสิบเท่า!

หลินฮั่น – เดี๋ยวนะ… ‘เธอ’? ผู้หญิงเหรอ? คราวหน้าคุณช่วยแนะนำให้ผมรู้จักบ้างได้หรือเปล่า? บอกเธอว่าชายหนุ่มอายุประมาณ 25 ปีอยากเจอ….

ฉินเย่ – บ้าหน่า! แบบนั้นคุณจะไม่ต่างอะไรกับผู้นำทางราชันย์ปีศาจเลยสักนิด….เอาเถอะ จบกับเรื่องไร้สาระ คืนนี้ คุณช่วยพาผมไปที่สถาบันออกแบบสถาปัตยกรรมทีได้หรือเปล่า? หลายคนเรียกคุณว่าอันธพาลท้องถิ่นของเมืองไดซานไม่ใช่เหรอ? [3]

หลินฮั่น – ไปทำไม? แล้วคุณหมายความว่ายังไง ‘อันธพาลท้องถิ่น’ ?!

ทั้งสองใช้เวลาทั้งคลาสเรียนในการเขียนและ ‘แลกเปลี่ยนบันทึก’ กัน ในที่สุด เมื่อศาสตราจารย์เทาสรุปและเลิกคลาสเรียน นักเรียนทั้งหมดก็เริ่มเก็บของและเดินออกจากห้องบรรยาย

ฉินเย่และหลินฮั่นต่างรีบทำสีหน้าสงบนิ่ง บวกกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากับเล็กน้อย ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ล่องลอยอยู่ในมหาสมุทรแห่งความรู้ มันสามารถพูดได้เลยว่าทักษะการแสดงของคนทั้งคู่นั้นสูงเป็นอันดับต้น ๆ ทั้งสองรีบเก็บสมุดของตน แต่เหล่าผู้สังเกตการณ์ที่นั่งอยู่ด้านหลังของพวกเขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม

“ทุกท่าน” หลี่เทาลุกขึ้นยืนและเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเบา “บางทีพวกคุณอาจจะคิดว่ามันไม่มีอะไรให้พวกคุณเรียนรู้มากนัก แน่นอนว่าพวกเราใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่แตกต่างกันและเล่นตามกฎที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อที่จะเรียนรู้วิธีการสอน พวกคุณต้องสอนและแนะนำเหล่านักเรียนอย่างไร และวิธีการที่จะทำให้เรื่องที่ซับซ้อนดูง่ายขึ้น ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พวกเราต้องศึกษาเอาไว้”

“การสอนคนนั้นแตกต่างจากการปัดเป่าวิญญาณอย่างสิ้นเชิง วันนี้เมื่อตอน 8 โมงเช้า พวกเราได้ส่งคำเชิญของเราไปให้กับนิกายใหญ่ ๆ นิกายลับ ตระกูล และพันธมิตรอื่น ๆ แล้ว และเราก็น่าจะได้รับรายชื่อผู้ลงทะเบียนภายในต้นเดือนหน้า ดังนั้น….”

เขายิ้มและเหล่ตาไปมองฉินเย่ “กรุณาอย่ามาสายหรือขาดเรียน ผมอยากให้คุณใช้เวลาสองเดือนนี้อย่างจริงจังและเรียนรู้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ แม้ว่าคุณจะมีคะแนนการสอนเพียงพอ ที่จะทำให้คะแนนผ่านเกณฑ์ประเมินในเดือนนี้ได้ แต่คุณก็ยังมีระบบการประเมินคะแนนการสอนรูปแบบเดิมในภาคการศึกษาถัดไป เมื่อคุณต้องใช้สิ่งที่ได้เรียนรู้มาไปใช้งานจริง…”

ขณะที่หลี่เทาและคนอื่นๆเริ่มทยอยเดินออกจากห้อง ฉินเย่และหลินฮั่นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทว่าก่อนที่พวกเขาจะสามารถโล่งใจได้อย่างเต็มที่ สมุดฝึกหัดของเหล่าอาจารย์ทุกคนก็ลอยขึ้นในอากาศและบินไปหาโจวเซียนหลงราวกับพวกมันมีปีกบินได้

ฉิบหายแล้ว!!

[1] ไคสะเป็นตัวละครฮีโร่ในเกม League of Legends และสัญชาตญาณนักฆ่า (Killing Instinct skill) ก็คือทักษะการพุ่งตัวไปข้างหน้าในเกม

[2] หมายถึงของที่อยู่ในเกม DotA ซึ่งสามารถทำให้คุณสามารถมองเห็นศัตรูที่ล่องหนอยู่ในรัศมีโดยรอบได้

[3] คำว่า ‘อันธพาลท้องถิ่น’ ในที่นี้เป็นการอ้างอิงถึงเซวียผาน ตัวละครจากเรื่องความฝันในหอแดง (紅樓夢) หนึ่งในสุดยอดวรรณกรรมจีน โดยเซวียผานเป็นตัวละครที่มีนิสัยร้าย