วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในไม่ช้าก็จะมาถึงเดือนหก ทั้งทะเลสาบลี่หู ทะเลสาบโม่โฉวและสระบัวก็เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว แม้แต่แม่นมสาวใช้และเด็กรับใช้ก็พร้อมแล้ว สิ่งที่ต้องการในยามนี้คือรอแขกผู้มีเกียรติที่ได้รับคำเชิญมาถึงและงานชมดอกบัวในวันที่สิบสองเดือนหกซึ่งใกล้จะมาถึง แน่นอน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เคยยุ่งเหมือนลูกข่างหมุนในที่สุดก็มีเวลาว่างเสียที
“สะใภ้ใหญ่ พ่อบ้านจิ่นขอเข้าพบเจ้าค่ะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รีบปักและเย็บเสื้อคลุมให้ซั่งกวนเจวี๋ยอยู่ในห้องเย็บปักถักร้อย คาดว่าจะแล้วเสร็จในเวลากลางคืน
“ติงเอ๋อร์ เชิญลุงจิ่นมาที่นี่โดยตรงเถอะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่สามารถทิ้งงานได้ จึงต้องเสียมารยาทชั่วครู่ แน่นอนว่าเป็นเพราะซั่งกวนจิ่นมา ทำให้ทั้งสองติดต่อกันมากขึ้นและเข้ากันได้ดี จึงสั่งการได้เช่นนี้โดยไม่ได้มองเป็นใครอื่น
“เจ้าค่ะ” ติงเอ๋อร์ขานตอบ จื่อหลัวยิ้มแล้วรีบหยัดกายขึ้นไปเตรียมน้ำชาทันที
“สะใภ้ใหญ่ไม่ว่างหรือ?” ซั่งกวนจิ่นเอ่ยถามแล้วเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นสถานการณ์ก็แจ่มแจ้งอยู่ในใจ ดูเหมือนจะไม่เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีเวลาว่างจนเบื่อหน่ายถึงขีดสุด ทุกวันหลังจากมื้ออาหารเย็นแล้วก็จะเผื่อเวลาไว้เล็กน้อยไปเดินเล่น ดื่มชาหรืออ่านหนังสืออะไรทำนองนั้นกับซั่งกวนเจวี๋ย ช่วงเวลาอื่นๆ ราวกับจะมีกิจธุระทำไม่มีสิ้นสุด ไหนเลยจะเสมือนกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่เหงาเซ็งเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่มีอะไรหรอก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผูกปมด้ายอย่างระมัดระวัง เสื้อคลุมทั้งตัวส่วนใหญ่ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่ตรวจสอบว่ามีจุดไหนที่เส้นด้ายเผลอโผล่ออกมาก็พอ แล้ววางเสื้อคลุมลงด้วยความพึงพอใจพลางยิ้มถามว่า “ลุงจิ่นมีเรื่องอันใดหรือ?”
ซั่งกวนจิ่นก็มีเรื่องมากมายทุกวัน ตัวเขาทั้งร่างงานยุ่งมากจนไม่มีแม้กระทั่งเวลาพักผ่อน ถ้าไม่มีอะไรก็จะไม่มาที่นี่แน่ เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล้ามั่นใจในเรื่องนี้อยู่มาก
“พรุ่งนี้จะมีแขกมาเยือนขอรับ” ซั่งกวนจิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ตระกูลมู่หรงเป็นรายแรกที่จะมาถึงในวันนี้ คุณชายใหญ่มู่หรงพาคุณหนูสี่ท่านมา ผู้ติดตามข้างกายคุณชายใหญ่มู่หรงก็มาถึงแล้วขอรับ”
“คุณหนูสี่ท่าน?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกงงเล็กน้อย ควรรู้ไว้ว่าเพียงแค่เชิญคุณหนูทั้งสี่จากตระกูลมู่หรงเท่านั้น นั่นแสดงว่ามู่หรงชิงหวั่นที่บวชชีพราหมณ์ปฏิบัติธรรมในวัดประจำตระกูลผู้นั้นก็ออกมาด้วยหรือ?
“คุณหนูชิงหวั่นก็มาด้วยขอรับ” ซั่งกวนจิ่นรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์งงงวยอะไร เขาตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อรู้ว่ามู่หรงชิงหวั่นก็ออกมาด้วยจริงๆ แม้ทุกคนจะไม่ได้พูดอะไร แต่ล้วนคิดว่านางอาจถูกขังอยู่ในวัดประจำตระกูลไปตลอดชีวิตออกมาไม่ได้
นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากนัก เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกแปลกใจมาก แต่คิดๆ ดูแล้วเหมือนจะไม่เข้าใจเลย มู่หรงชิงหวั่นเคยเป็นคุณหนูที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตระกูลมู่หรงและแม้แต่แปดตระกูลใหญ่ เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพ สตรีผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งของตระกูลชนชั้นสูง เป็นคู่หมายที่รัชทายาทองค์ปัจจุบันหมายปอง เป็นจอมยุทธ์หญิงที่บุรุษชาวยุทธ์ใฝ่ฝันหา ต่อให้ตระกูลมู่หรงจะบ่นตัดพ้อกับพฤติกรรมที่ไร้หัวคิดเช่นนั้นของนาง ก็ไม่ต้องการให้นางอยู่ในวัดประจำตระกูลไปจนชั่วชีวิตเช่นกัน
เพียงแต่การมาแสดงตัวในงานชมดอกบัวจะเป็นเรื่องดีหรือไม่? เยี่ยนมี่เอ๋อร์หน้านิ่วคิ้วขมวด นางจำได้ชัดเจนว่าซั่งกวนเจวี๋ยได้ให้คนส่งจดหมายเชิญไปหาลู่เหยา การพบกันระหว่างพวกเขาทั้งสองจะปะทุเรื่องราวความหลังเมื่อสี่ปีก่อนหรือไม่?
“สะใภ้ใหญ่ประหลาดใจมากสินะขอรับ” ซั่งกวนจิ่นเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “แต่คุณหนูชิงหวั่นถูกขังอยู่ในวัดประจำตระกูลมาเกือบสี่ปีแล้ว ปีนี้นางอายุยี่สิบแล้ว หากยังไม่ปล่อยตัวนางออกมา เช่นนั้นจะไม่สามารถออกเรือนได้เลยตลอดชีวิต ข้าคิดว่าด้วยเหตุนี้ ตระกูลมู่หรงถึงให้นางมาเข้าร่วมงานชมดอกบัวที่ลี่โจว แม้จะ…”
“แม้จะอะไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าจะเกิดเรื่องยุ่งขึ้นมา มู่หรงปั๋วเย่เพิ่งจะกลับไปจากลี่โจวได้ไม่นาน ถ้าไม่มีเจตนาพิเศษอันใด เกรงว่าเขาจะไม่มากับน้องสาวทั้งสี่ด้วยตัวเอง
“นี่เป็นเพียงลางสังหรณ์ของข้าเท่านั้นเอง ข้าคิดว่าตระกูลมู่หรงไม่อยากให้คุณหนูชิงหวั่นปรากฏตัวเป็นจุดสนใจในงานชมดอกบัว แต่ต้องการใช้งานชมดอกบัวทำให้ตระกูลชนชั้นสูงและผู้คนในยุทธภพรับรู้ว่า คุณหนูชิงหวั่นออกมาแล้ว เรื่องราวต่อไปยังต้องดูงานประลองยุทธ์ในเดือนแปดขอรับ” ซั่งกวนจิ่นไม่คิดว่าคุณชายใหญ่ของตระกูลมู่หรงจะมีเวลามากขนาดนั้น จนมาร่วมงานชมดอกบัวกับบรรดาน้องสาวได้ แต่ไม่มีชายใดจากตระกูลมู่หรงมาเลย ยิ่งเห็นอยู่ทนโท่ว่ามีปัญหาอยู่ในนั้น
“ตระกูลมู่หรงมีเรือนอีกแห่งในลี่โจวด้วยหรือ? ชื่อว่าอะไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขมวดคิ้วเป็นปม นางเห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของซั่งกวนจิ่น แต่ในขณะเดียวกันก็เอือมระอามากขึ้น การปรากฏตัวของมู่หรงชิงหวั่นจะทำให้งานชมดอกบัวเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นอย่างแน่นอน
“ตระกูลมู่หรงทุกแห่งจะมีเรือนที่เรียกว่าเรือนโปรยผกา ในลี่โจวก็มีด้วยเช่นกัน อยู่ไม่ไกลจากเรือนสดับวายุ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานายน้อยและคุณหนูที่เข้าร่วมงานชมดอกบัวก็พักอยู่ที่เรือนโปรยผกาเป็นการชั่วคราว จะมาถึงที่นี่ก่อนเข้างานชมดอกบัวหนึ่งวันขอรับ” ซั่งกวนจิ่นฝืนยิ้มพูดว่า “ดังนั้น ข้าจึงผงะยามที่ผู้ติดตามของคุณชายใหญ่มู่หรงมาถึง และรู้ว่าพวกเขาจงใจต้องการให้ทุกคนรู้ก่อนเริ่มงานชมดอกบัวว่า คุณหนูชิงหวั่นออกสู่ยุทธภพอีกคราขอรับ”
“ข้าคิดว่าพวกเขายังมีอีกเป้าหมายหนึ่ง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยุดโกรธทันทีแล้วคลี่ยิ้มพูดว่า “พวกเขายังอยากดูว่าตระกูลต่างๆ จะมีท่าทีต่อการปรากฏตัวของคุณหนูชิงหวั่นอย่างไร หากเกิดเรื่องเพราะนาง ไม่แน่คุณหนูชิงหวั่นอาจย้ายไปอยู่ที่เรือนโปรยผกาในช่วงงานชมดอกบัว เพื่อจะได้ไม่ทำให้เราเดือดร้อน”
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นขอรับ” ซั่งกวนจิ่นกลับไม่คิดว่าเหตุการณ์นี้จะมีอะไรให้โกรธเคือง เขาพูดอย่างเป็นธรรมชาติว่า “นายท่านมู่หรงกับนายท่านมีมิตรไมตรีที่แน่นแฟ้นมาตั้งแต่ยังเด็ก เช่นเดียวกับคุณชายใหญ่ มู่หรงปั๋วอวี่และนายน้อยทั้งสามของตระกูลชุยที่ออกท่องยุทธภพด้วยกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขจนกระทั่งเกิดมิตรภาพ นายท่านมู่หรงจะไม่ทำให้ตระกูลซั่งกวนเดือดร้อนเด็ดขาดขอรับ”
มิตรภาพดีขนาดนี้? เยี่ยนมี่เอ๋อร์เลิกคิ้ว มองซั่งกวนจิ่นด้วยสายตาสงสัยและอยากรู้อยากเห็น ไม่ได้พูดอะไรสักคำ รอให้เขาเล่าถึงความรู้สึกที่แน่นแฟ้นนั้นต่อไป
“เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน นายท่านกับนายท่านมู่หรง ท่านลุงใหญ่ของตระกูลหวงฝู่ นายท่านชุยและนายท่านอินเดินท่องยุทธภพด้วยกัน พวกเขาเคยพเนจรในยุทธภพมานานกว่าหนึ่งปี และก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ต่อมาเนื่องจากพวกเขาอายุมากขึ้นและมีประสบการณ์โชกโชน จึงได้เข้าทำลายล้างลัทธิหนึ่งจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วต่างแยกย้ายกันกลับบ้านไปพักฟื้นและออกเหย้าออกเรือนกันไปทีละคนสองคนขอรับ” คำแนะนำสั้นๆ ของซั่งกวนจิ่นทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผิดหวังถึงขีดสุด
“ในปีนั้นนายท่านแต่งงานกับฮูหยิน เป็นเพราะมีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับท่านลุงใหญ่ของตระกูลหวงฝู่ จำได้ว่ามีหลายคนพูดติดตลกในตอนนั้นด้วยซ้ำ หวังว่าจะได้เกี่ยวดองเป็นญาติมีลูกหลานสืบสกุลกัน ดังนั้นการแต่งงานระหว่างคุณหนูใหญ่กับตระกูลชุยจึงเป็นความภาคภูมิใจของนายท่านมากขอรับ” ซั่งกวนจิ่นกล่าวหลังจากขบคิด
“แล้วนายท่านไม่มีความคิดจะเป็นทองแผ่นเดียวกับตระกูลมู่หรงหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดชวนขัน
“มีแน่นอนขอรับ!” ซั่งกวนจิ่นยิ้มตอบว่า “คุณหนูรองชอบมู่หรงปั๋วอวี่ลูกชายห้องที่สองของตระกูลมู่หรงมาก นายท่านและคนของตระกูลมู่หรงก็หวังว่าพวกเขาทั้งคู่จะทำสำเร็จ กระนั้นมู่หรงปั๋วอวี่ไม่ใคร่กระตือรือร้น เหล่านายท่านต้องการจะช่วยก็ไม่มีจังหวะให้เริ่มเลยขอรับ”
จิงอิ๋งชอบมู่หรงปั๋วอวี่? บุรุษผู้นั้นที่ชอบเดาใจและมักจะใช้สายตาขี้ระแวงมองคนแบบนั้นน่ะหรือ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว นางไม่ปลื้มมู่หรงปั๋วอวี่เท่าไรนัก บุคลิกของเขาคล้ายกับนางมาก ติดนิสัยมองคนไม่ค่อยดีและมองโลกในแง่ร้ายด้วย
“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมทำความสะอาดเรือนใต้ เลี้ยงรับรองแขกผู้มีเกียรติของตระกูลมู่หรงก่อนแล้วกัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่งการพร้อมส่ายศีรษะ ไม่ปล่อยให้ตัวเองคิดอะไรอีกต่อไป เพราะยังมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำอีก
“ข้าให้คนตรวจสอบเรือนสองแห่งของเรือนใต้ที่เตรียมไว้สำหรับตระกูลมู่หรงอีกครั้งแล้ว สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องกังวลขอรับ” ซั่งกวนจิ่นมาที่นี่หลังจากมอบหมายงานแล้วกล่าวต่อ “แค่แจ้งเรื่องนี้ให้ท่านทราบล่วงหน้า เพื่อที่ท่านจะได้เตรียมการเท่านั้นเอง อีกอย่าง คนจากตระกูลทั่วป๋าจะมาถึงในช่วงหนึ่งถึงสองวันสุดท้าย พวกเขาคุ้นเคยกับการพักอยู่ในเรือนของตระกูลซั่งกวนโดยตรง สะใภ้ใหญ่ควรเตรียมพร้อมนะขอรับ”
“ลุงจิ่นหมายความว่าคุณหนูฉินซินจะมาถึงเร็วๆ นี้หรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พร้อมจะเผชิญหน้ากับทั่วป๋าฉินซินเรียบร้อยแล้ว และในครั้งนี้ หากทั่วป๋าฉินซินยังไม่ยอมแพ้ ยังต้องการต่อสู้กับตัวเอง ตนจะทำให้นางร้องไห้กลับไปอย่างไม่เกรงใจ…นางได้ให้เซียงเสวี่ยไปสืบข่าวคราวที่หอยุทธภพอี้สื่อแล้ว ด้วยเงินเพียงห้าร้อยตำลึง ก็สามารถให้พวกเขาเขียนตำนานรักอันหวานหยดย้อยขึ้นมาสักเรื่องหนึ่งได้ ถ้าทั่วป๋าฉินซินมีโอกาสพบกับลูกหลานตระกูลสูงส่งบางคนที่มาร่วมงาน ต่อให้นางจะไม่ต้องการแต่งงานก็เกรงว่าจะปฏิเสธไม่ได้ สิ่งที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ต้องพิจารณาในตอนนี้คือทำอย่างไรถึงจะไม่ให้ผู้คนสงสัยว่าเป็นฝีมือของนางเอง
“ขอรับ!” ซั่งกวนจิ่นผงกศีรษะ เขาไม่ได้รู้สึกดีกับทั่วป๋าฉินซินผู้ซึ่งมีเสน่ห์และไม่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นอยู่เสมอสักนิดเดียว ลูกหลานที่เป็นแกนหลักของตระกูลซั่งกวนคิดว่าฮูหยินใหญ่ผู้หนึ่งจากตระกูลทั่วป๋าเป็นสิ่งที่โชคร้ายมากกว่าอยู่แล้ว หากมีสะใภ้ใหญ่ที่แซ่ทั่วป๋ามาเพิ่มอีกคน จะใช้ชีวิตอยู่กันได้อย่างไร
“ข้าเข้าใจแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าพลางระบายยิ้มกล่าวว่า “ขอบคุณลุงจิ่นสำหรับคำเตือน ข้าจะต้อนรับแขกผู้มีเกียรติของตระกูลทั่วป๋าอย่างดี”
“ถ้าอย่างนั้นข้าขออำลาไปก่อนขอรับ” ซั่งกวนจิ่นพยักหน้าด้วยความเบาใจ ความฉลาดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่ที่นางไม่เคยจงใจแสร้งทำเป็นอ่อนแอต่อหน้าซั่งกวนฮ่าวและคนอื่นๆ นับประสาอะไรจะแสร้งโง่ต่อหน้าพวกเขา การที่นางทำเช่นนี้ คนในตระกูลซั่งกวนจะไม่ดูหมิ่นทั้งยังเคารพนางมากยิ่งขึ้น
“ลุงจิ่นค่อยๆ เดิน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์บอกเป็นนัยให้จื่อหลัวส่งแขกแทนนาง แล้วนางก็จดจ่อกับการตรวจดูเสื้อคลุมในขั้นตอนสุดท้ายให้เรียบร้อยอีกรอบ
“สะใภ้ใหญ่ไม่กังวลว่าคุณหนูทั่วป๋าที่ไม่รักนวลสงวนตัวและไม่คำนึงถึงชื่อเสียงผู้นั้นจะมากวนใจนายน้อยหรอกหรือเจ้าคะ?” จินหรุ่ยพูดอย่างร้อนใจ ทักษะที่เป็นเอกลักษณ์ของนางทำให้นางได้รับความนิยมและนับถือในหมู่สาวใช้ของตระกูลซั่งกวน ใครเห็นเป็นต้องใบหน้าเปื้อนยิ้มทุกคน ย่อมรู้ดีถึงกิตติศัพท์ของสี่สาวแห่งตระกูลทั่วป๋าว่าเป็นเช่นไร
“จินหรุ่ย อย่าหาเหาใส่หัวตัวเอง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย ให้จื่อหลัวยืนขึ้น สวมเสื้อคลุมให้จื่อหลัว เพื่อดูว่าผลเป็นอย่างไร ในขณะที่ตรวจดูอย่างรอบคอบก็ดูว่ามีจุดไหนที่ต้องปรับแก้ และสั่งสอนจินหรุ่ยที่ไม่สามารถระงับอารมณ์ได้ไปพลางๆ ด้วย
“สะใภ้ใหญ่…” จินหรุ่ยขานร้องอย่างกังวล ครั้งหนึ่งพวกนางถูกขังให้ร่ำเรียนงานเย็บปักถักร้อยอยู่ในเรือนเบ็ดเตล็ดหลังเล็กแห่งนั้น และพวกนางยังได้รับการสั่งสอนว่ามีเพียงคนเดียวที่ต้องภักดีตลอดชีวิตนั่นคือเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ในเวลากว่าสามปี นั้น มีทั้งป้าโม่และคนที่นางไว้ใจที่สุดได้ทำสิ่งนี้ เพื่อให้จินหรุ่ยและคนอื่นๆ มองเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่ในใจเท่านั้น นางจึงพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “ตระกูลซั่งกวนต่างรู้ดีว่า ฮูหยินใหญ่ต้องการให้คุณชายใหญ่แต่งงานกับคุณหนูทั่วป๋ามาตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะท่านกับคุณชายใหญ่มีสัญญาหมั้นหมายกันมาตั้งแต่เยาว์วัย หาไม่เช่นนั้นเรื่องนี้ก็คงดำเนินการสำเร็จไปก่อนแล้ว ท่านมิอาจชะล่าใจได้นะเจ้าคะ”
“จินหรุ่ย สิ่งสำคัญที่สุดของเรื่องนี้ยังต้องดูเจตนาของนายน้อยด้วย หากนายน้อยชอบพอ ข้าจะขัดขวางอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ตรงกันข้ามจะเสียชื่อเรื่องความหึงหวงเสียมากกว่า ถ้านายน้อยไม่ชอบ ฮูหยินใหญ่ก็มิอาจบังคับให้นายน้อยแต่งกับคุณหนูทั่วป๋าได้มิใช่หรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่กังวลมากนักแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ไม่จำเป็นต้องจริงจังกับเรื่องนี้นักหรอก”
“แต่…” จินหรุ่ยกระวนกระวายใจมาก
“ไม่มีคำว่าแต่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหัวพลางกล่าวว่า “เจ้าก็ทำเหมือนเดิม ยามอยู่กับสาวใช้พวกนั้นอย่าพูดถึงเรื่องเจ้านาย เพียงแค่ฟังมากขึ้นก็พอ”
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” จินหรุ่ยผงกศีรษะ บรรดาสาวใช้ชอบนินทาในเวลาว่าง ส่วนนางก็ปฏิบัติตามคำสอนของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เสมอมา เพียงแค่รอเงี่ยหูฟังไม่ขยับปาก นอกจากชี้แนะให้พวกนางดูงานเย็บปักถักร้อย ก็ไม่เคยพูดมาก นางจึงได้ข่าวซุบซิบนินทามามากที่สุดอีกด้วย
“อีกสองวันคุณหนูและนายน้อยจากตระกูลต่างๆ จะมาปรากฏตัวอีกครั้ง คราวนี้จะมีแขกน้อยกว่าช่วงงานแต่ง แต่คนจะวุ่นวายกว่านี้ ต้องไม่ปล่อยให้ใครมาจับจุดอ่อนอะไรได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอดเสื้อคลุมออก ไม่มีจุดใดจะต้องเปลี่ยนแก้ ดูท่าจะมอบให้เจวี๋ยในตอนกลางคืนได้ เผื่อเขาจะประหลาดใจ
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่” จินหรุ่ยรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดกับตัวเอง เพราะโดยมากแล้วคนอื่นๆ ก็ไม่มีเวลาไปเสวนากับแม่นมและสาวใช้เหล่านั้น
“จื่อหลัว เจ้ากับม่านเหอจำเป็นต้องควบคุมแม่นมสาวใช้ในเรือนทั้งสองรวมทั้งจับตาดูสาวใช้และบ่าวไพร่ที่ทำงานอยู่ อย่าให้เห็นว่าใครกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เชื่อว่ายังมีคนของฮูหยินใหญ่และอนุภรรยาอู๋อยู่ข้างกายตน ซึ่งในเวลานี้จะให้พวกนางใส่ร้ายไม่ได้เด็ดขาด
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่” จื่อหลัวรู้ว่านางเป็นกังวล
“จินหรุ่ย เอาเสื้อผ้าที่เจ้าเย็บให้นายน้อยออกมา ให้ข้าดูว่ามีอะไรที่ต้องปรับเปลี่ยนหรือไม่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หันไปสนใจสิ่งที่นางใส่ใจมากที่สุด
———————–