ตอนที่ 135 ของขวัญ

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“พวกเจ้ากำลังคุยอะไรกันอยู่?” หลังจากซั่งกวนเจวี๋ยอาบน้ำเสร็จกลับเข้ามาในห้องก็เห็นภรรยาและเหล่าสาวใช้กำลังพูดคุยกระซิบกระซาบกันอย่างมีลับลมคมใน พอเห็นเขาเดินเข้ามาก็หยุดพูดกันทันที

“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ!” ม่านเหอยิ้มระรื่นกลับไป จากนั้นก็ค้อมคำนับซั่งกวนเจวี๋ยพร้อมกับพวกสาวใช้ทั้งหมด ก่อนจะพากันเดินจากไปทั้งรอยยิ้ม ทั้งห้องจึงหลงเหลือเพียงสองสามีภรรยาเท่านั้น

“ข้ายังชอบยามที่ตัวเจ้ามีกลิ่นหอมบางๆ เสียมากกว่า” ซั่งกวนเจวี๋ยกักตัวเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้ในอ้อมกอด สูดกลิ่นหอมของดอกถานฮวาที่ติดตัวนางมาอย่างแผ่วเบา กลิ่นที่จะมีหรือไม่มีก็ได้นี้ทำให้เขาหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้นเสียแล้ว

“ข้ากลับไม่ชอบเอาเสียเลย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กอดตอบเขา กล่าวยิ้มๆ “เพิ่งจะอาบน้ำมายังพอว่า แต่หากยุ่งมาทั้งวัน คราบเหงื่อเต็มตัวนั้น ไม่มีกลิ่นอันใดจึงจะรู้สึกดีกว่า”

“มี่เอ๋อร์ของข้าคิดไม่เหมือนกันเสียแล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยนับวันก็ยิ่งชอบใกล้ชิดกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ตามลำพังเช่นนี้ ทุกครั้งล้วนต้องหาสถานที่ปลีกตัวห่างจากผู้คนออกมา

“จะเหมือนกันได้อย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลอกตาใส่เขา ไม่จำเป็นต้องพยายามก็ดูน่ารักอย่างยิ่ง ยามที่ซั่งกวนเจวี๋ยพบว่าภรรยาตัวน้อยของตนมีดวงตาที่แพรวพราวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ว่าไม่ชอบแต่อย่างใด แน่นอนว่าเห็นด้วยกับความฉลาดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ปกปิดท่าทีเช่นนี้เอาไว้ หลังจากนั้นมา ก่อนจะนอนมี่เอ๋อร์ก็ไม่จงใจตกแต่งอะไรที่มุมตาอีกแล้ว ใช้ใบหน้าที่แท้จริงนั้นเผชิญหน้ากับซั่งกวนเจวี๋ยอย่างตรงๆ

“นั่นสิ!” ซั่งกวนเจวี๋ยเผยยิ้ม “เช่นนั้นมี่เอ๋อร์บอกข้าได้หรือไม่ว่าพวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่? ถึงได้ดูลึกลับขนาดนั้น?”

“เป็นเรื่องที่อยากจะทำให้ประหลาดใจเท่านั้น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดึงซั่งกวนเจวี๋ยมาด้านข้างเตียง บนนั้นมีเสื้อตัวใหม่ที่จินหรุ่ยตัดเย็บให้ซั่งกวนเจวี๋ยวางอยู่ ส่วนมี่เอ๋อร์นั้นเย็บรองเท้าและชุดคลุมด้วยตัวเอง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตรงนี้มีของบางอย่างที่ข้าเตรียมไว้ให้สามีด้วยตัวเองโดยเฉพาะ สามีพอจะเดาออกหรือไม่?”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ซั่งกวนเจวี๋ยนึกถึงเรื่องที่ตัวเองไปแอบฟังเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจขึ้นมาได้ จึงคลี่ยิ้มออกมา “เช่นนั้นข้าคงต้องลองสวมดูถึงจะรู้! ข้าคิดว่า สิ่งที่ตรงกับใจของข้ามากที่สุดย่อมมาจากฝีมือของมี่เอ๋อร์”

“สามีช่างรู้จักพูดเสียด้วย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แสร้งเง้างอน “หากสามีทายไม่ถูกก็จะไม่ให้ท่านสวมแล้ว!”

“เฮ้อ…ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องคิดให้ดีๆ เสียแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยแสร้งทำเป็นมองกองผ้าพวกนั้นอย่างลำบากใจ ผ่านไปสักพักหนึ่งจึงค่อยพูดขึ้นมา “เสื้อผ้าตัวในคงจะเป็นฝีมือของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างแน่นอน มี่เอ๋อร์นั้นชอบหึงหวง ย่อมไม่อาจสั่งให้จินหรุ่ยทำเสื้อผ้าตัวในข้าได้แน่”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเขาตาเขียว อะไรคือกล่าวว่านางชอบหึงหวงกัน? หากมีวันหนึ่งนางไม่หึงหวงขึ้นมา ใครกันแน่ที่ต้องเป็นฝ่ายร้อนตัว!

“แน่นอนว่า ข้าก็ชอบที่มี่เอ๋อร์หึงหวง” ซั่งกวนเจวี๋ยเบี่ยงประเด็น กล่าวยิ้มๆ “นั่นหมายความว่ามี่เอ๋อร์ใส่ใจข้า หากมีวันหนึ่งที่มี่เอ๋อร์ไม่หึงหวง นั่นคงจะทำให้คนเสียใจแล้ว”

คำพูดนี้ค่อยฟังรื่นหูหน่อย! เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าอย่างพอใจ “เสื้อผ้าตัวในของสามีเป็นฝีมือของข้า ยังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่?”

“ข้าจำได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่มี่เอ๋อร์ล้างเท้าให้ข้าด้วยตัวเอง ไม่ยอมให้คนอื่นมาช่วย เช่นนั้นรองเท้าก็คงจะเป็นฝีมือของมี่เอ๋อร์เช่นกัน เพราะว่ามีเพียงมี่เอ๋อร์เท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่ารองเท้าแบบใดเหมาะสมกับเท้าของข้า เจ้าว่าถูกหรือไม่?” ซั่งกวนเจวี๋ย นึกไปถึงช่วงหลายวันนั้นที่เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก เดิมทีก็ไม่คิดจะอาบน้ำ ล้วนเป็นมี่เอ๋อร์ที่ดูแลตนด้วยตัวเองก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา นางนั้นไม่ว่าเรื่องอันใดล้วนแต่มีคนคอยดูแลรับใช้ กระทั่งหัวแม่มือยังไม่อยากที่จะขยับด้วยตนเอง แต่เมื่อเป็นเรื่องของเขากลับมักจะไม่ยอมให้คนอื่นเข้ามาช่วย ทำให้เขาอุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง

“สามีลองสวมดูสักหน่อย ดูว่ารองเท้าพอดีหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์โถมเข้าสู่อ้อมกอดซั่งกวนเจวี๋ยอย่างซึ้งใจ ที่แท้ความพยายามของตนเองล้วนอยู่ในสายตาเขาทั้งหมด ความเหน็ดเหนื่อยและความรู้สึกของนางที่ทุ่มเทออกไปไม่ได้เสียเปล่าสักนิด

“ได้!” ซั่งกวนเจวี๋ยก้มศีรษะ รับจูบจากนางอย่างพอใจ

“สามีเชิญนั่ง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มหวานรั้งซั่งกวนเจวี๋ยให้นั่งลงบนเตียง เปลี่ยนรองเท้าให้เขาด้วยตัวเอง หลังจากหยัดกายขึ้น ก็เผยยิ้มออกมา “สามีลองเดินดูสิ”

ซั่งกวนเจวี๋ยลองเดินภายในห้อง ไม่เหมือนกันจริงๆ ไม่มีความรู้สึกติดขัดอย่างที่รองเท้าใหม่ควรจะเป็น คล้ายกับว่าสวมรองเท้าคู่เดิมที่ใส่มานานแล้วก็มิปาน มิน่าเล่ารองเท้าที่สวมคู่ชุดวิวาห์จึงได้ทำให้จินหรุ่ย สาวใช้ผู้นั้นจู้จี้จุกจิกไปทุกจุดถึงขนาดนั้น ที่แท้พวกนางล้วนมีความสามารถอย่างแท้จริง

“ใส่สบายมาก ข้าไม่เคยสวมรองเท้าที่รู้สึกสบายถึงขนาดนี้มาก่อน” ซั่งกวนเจวี๋ยเอ่ยชมออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ แม้ว่าจะเคยมีคนทำแบบนี้กับเขาแล้วครั้งหนึ่ง ตัวอย่างเช่นทั่วป๋าฉินซิน เพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถของตนจึงตัดเย็บเสื้อผ้าหรือกระทั่งรองเท้ามาให้ซั่งกวนเจวี๋ย ฟังดูเหมือนจะเข้าท่า แต่กลับทำออกมาไม่พอดีตัว ไม่สบายเหมือนดั่งครั้งนี้เลย เขาสงสัยเป็นอย่างมากว่าตกลงแล้วนั่นเป็นของที่ซื้อมาหรือคุณหนูผู้หยิ่งยโสคนนั้นเป็นคนทำออกมาเองกันแน่ ปัญหาที่ว่านางทำเป็นหรือไม่นั้นยังคงอยู่ในใจเขาตลอดมา!

“สามีชอบก็ดีแล้ว” คำชมของซั่งกวนเจวี๋ยยิ่งทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดีใจขึ้นไปอีก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “รองเท้านั้นทำมาสามคู่ แต่ว่ามีเพียงคู่นี้คู่เดียวที่เป็นฝีมือของมี่เอ๋อร์ อีกสองคู่ล้วนเป็นฝีมือของจินหรุ่ย ฝีมือการเย็บปักถักร้อยของนางยังนับว่าดีกว่าข้ามาก”

“เช่นนั้นคู่นี้ก็ต้องใส่แต่เพียงในห้องแล้ว ไม่อาจทำลายความพยายามของมี่เอ๋อร์ได้” คำพูดของซั่งกวนเจวี๋ยแทนที่จะได้ยิ้มหวานกลับมา กลับถูกมี่เอ๋อร์กลอกตาใส่แทน

“ใส่แค่เพียงในห้องจึงจะนับว่าทำลายน้ำใจของมี่เอ๋อร์มากกว่า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวตำหนิ “รองเท้าทำขึ้นมาก็เพื่อต้องการให้สามีสบายเท้า อย่าได้ฝืนลำบากกายจนเกินไป ไม่ใช่เอามาตั้งวางไว้เฉยๆ”

“เข้าใจแล้ว…” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มตอบ “เช่นนั้นพรุ่งนี้สามีก็จะสวมมันเลย มี่เอ๋อร์ว่าอย่างไร?”

“นี่ข้าต้องขอบคุณสามีตามมารยาทหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมมีความสุขอย่างมาก แม้ว่าจะเชื่อมั่นในฝีมือของตนเองเป็นอย่างยิ่ง แต่ปฏิกิริยาจากซั่งกวนเจวี๋ยก็ยังทำให้นางชอบอยู่ดี ใครจะไม่ชอบที่ได้ยินคำชมบ้างล่ะ โดยเฉพาะคนที่เราชอบนั้นเป็นคนชม?

“มี่เอ๋อร์ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ นี่เป็นสิ่งที่สามีควรทำ” ซั่งกวนเจวี๋ยเห็นนางมีความสุขปานนั้น ก็ฉวยโอกาสนี้หยอกเล่นนาง ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทั้งหัวเราะทั้งโมโห หยิกไปหลายที ทุกครั้งล้วนแต่หยิกเบาๆ ที่เอวเขา ทำให้เขาแสร้งร้องโอดโอยออกมาติดต่อกันหลายครั้ง ก่อนเสียงหัวเราะจะดังตามมา

“ยังมีของชิ้นสุดท้ายที่มี่เอ๋อร์ทำกับมือของตัวเอง สามีเดาออกหรือไม่?” ผ่านไปสักพัก เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่หัวเราะจนหมดเรี่ยวแรงแล้วก็ยังคงถามขึ้นมาในอ้อมกอดของซั่งกวนเจวี๋ย

“นั่นไม่สำคัญแล้ว” ความสนใจทั้งหมดของซั่งกวนพุ่งไปอยู่ที่ร่างบางตัวหอมซึ่งอยู่ในอ้อมกอด มือหนึ่งเค้นคลึงไปที่บั้นท้ายงามงอนและนุ่มนวลของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ อีกมือหนึ่งลูบไล้แผ่นหลังที่เพรียวบาง พรมจูบที่ร้อนรุ่มแฝงด้วยความปรารถนาลงบนผิวขาวของหญิงงาม เขาจะยังสามารถสนใจเรื่องเสื้อผ้าอะไรได้อีก

“แต่ว่า…ข้าอยากเห็นสามีสวมชุดคลุม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถูกเขาพรมจูบทั้งลูบไล้ก็เกิดอารมณ์ขึ้นมา กระนั้นยังคงนึกถึงความตั้งใจแรกของตนได้อยู่ จูบตอบเขาไปด้วยความเร่าร้อน มือเล็กก็เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วเข้าไปในเสื้อคลุมของเขา ลูบไล้อกแกร่งที่ไม่ได้มีกล้ามเนื้อใหญ่จนเกินไป ให้เขารู้สึกดีเช่นกัน

“แต่ว่าข้าทนไม่ไหวแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยฝืนเกร็งเล็กน้อย ความปรารถนาที่ร้อนรุ่มนั้นประชิดขึ้นมาที่ท้องน้อยของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ให้นางได้รู้ว่าตนเองนั้นไม่อาจฝืนทนได้อีกต่อไป คิดอยากจะกลืนคนงามตรงหน้าลงท้องให้รู้แล้วรู้รอดไป

“เจวี๋ย…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยสายตาหยาดเยิ้ม เคลื่อนมือหนึ่งลงไปด้านล่าง สัมผัสความดุดันนั้นไว้ในกำมืออย่างตื่นเต้น รู้สึกถึงร่างของซั่งกวนเจวี๋ยที่สั่นสะท้าน ก่อนเขาจะส่งเสียง ‘อืม’ ออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ไม่รอให้นางได้รู้สึกสบายใจ นางก็ถูกซั่งกวนเจวี๋ยอุ้มขึ้นมา วางลงไปบนเตียงอย่างแผ่วเบา คล้อยหลังก็ปลดปราการเสื้อผ้าออกอย่างรวดเร็ว ก่อนร่างสูงจะถลาตามขึ้นมา…

“เจวี๋ย…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ร้องเสียงเบา ในน้ำเสียงยังแฝงด้วยความกระเง้ากระงอด ซั่งกวนเจวี๋ยแนบชิดกับแผ่นหลังของนาง โอบนางไว้ในอ้อมกอด มือข้างหนึ่งยังคงวนเวียนอยู่แถวหน้าอกของนาง ทำให้นางตัวอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง

“อื้อ…” ซั่งกวนเจวี๋ยประทับรอยจูบไปทั่วแผ่นหลังขาวใสของนาง ผิวของเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นเนียนละเอียดโดยธรรมชาติ เพียงแค่ใช้แรงเพียงเล็กน้อย ก็จะทิ้งรอยสีชมพูไว้ทั่ว หากแรงมีมาก ก็จะกลายเป็นสีแดงช้ำทันที เขาจึงพยายามควบคุมแรงด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างมาก

“สามี…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ดีว่าเขาเป็นหมาป่าจอมตะกละ ขนาดโรมรันกันไปมาก็ล้วนไม่มีความรู้สึกอ่อนเพลียสักนิด คงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาจริงๆ ไม่รู้ว่าช่วงเวลาที่ไม่ได้ร่วมห้องเคียงหมอนกับตัวเองนั้นเขาผ่านมาได้อย่างไรกัน หากเป็นยามปกติก็คงปล่อยให้เขาตามเลยไป แต่วันนี้มีเรื่องสำคัญต้องพูดกับเขา ไม่อาจยอมคล้อยตามเขาไปได้

“ก็ได้” แม้ซั่งกวนเจวี๋ยจะอยากเห็นว่าร่างบางที่มีรอยจูบประทับไปทั่วร่างนั้นเป็นภาพที่งดงามขนาดไหน แต่ก็รู้นิสัยภรรยาตัวน้อยดี หากยามนี้ไม่ยอมฟังนางสักหน่อย คนที่ต้องซวยก็คงหนีไม่พ้นเป็นตัวเอง จึงทำได้เพียงหยุดทำการใหญ่ของตนเองไว้ทั้งที่ยังไม่หายอยาก พลิกนางกลับขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ เว้นระยะห่างเล็กน้อย รอฟังคำพูด

“คนของตระกูลมู่หรงจะมาถึงวันพรุ่งนี้ คุณหนูชิงหวั่นก็เป็นหนึ่งในนั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เชื่อว่าซั่งกวนจิ่นได้บอกเรื่องนี้กับเขาแล้ว ที่พูดขึ้นมาอีกครั้งก็เพียงเพราะอยากจะถามความเห็นของเขาเท่านั้น

“ก็คงได้เวลาที่จะออกมาแล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยหยอกเย้า ‘ถั่วแดง’ ตรงหน้าอกของมี่เอ๋อร์เป็นครั้งคราว “ตระกูลมู่หรงฝากความหวังไว้ที่ตัวชิงหวั่นมากมาย ไม่อาจขังไว้ในวัดประจำตระกูลไปตลอดชีวิตได้หรอก ไม่ช้าก็เร็วต้องออกมาอยู่ดี”

“แต่ว่าท่านเชิญลู่เหยา ผู้ที่เคยบาดหมางกับคุณหนูชิงหวั่นคนนั้นมางานชมดอกบัวด้วยมิใช่หรอกหรือ? หากว่าทั้งสองคนพบหน้ากันจะไม่อึดอัดหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กดมือที่ซุกซนของเขาเอาไว้ ไม่ยอมให้เขาเกาะแกะตัวเอง

“แต่ไหนแต่ไรลู่เหยาก็ไม่เคยเข้าร่วมงานชมดอกบัว ที่เชิญก็เป็นมารยาทเท่านั้น” ซั่งกวนเจวี๋ยรับรู้ถึงความอ่อนนุ่มในมือ ก็บดคลึงขึ้นมาเบาๆ

“อื้อ…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ครางเสียงต่ำออกมา ก่อนจะควบคุมไว้ทันที ตีมือที่ก่อเรื่องนั้นอย่างไม่ปรานี มองใบหน้าที่ผิดหวังของซั่งกวนเจวี๋ยก่อนกล่าว “หากว่าคุณหนูชิงหวั่นจะพำนักที่ลี่โจวเป็นเวลานานจวบจนถึงงานประลองยุทธ์เสร็จสิ้นล่ะ?”

“นั่นก็ไม่เป็นไร!” ซั่งกวนเจวี๋ยเปลี่ยนแผนจู่โจมไปที่อื่น แต่ก็ค่อยๆ จริงจังขึ้นมาเล็กน้อย “มี่เอ๋อร์อย่ากังวลว่าชิงหวั่นจะทำเรื่องเสื่อมเสียเลย หากนางยังทำตัวไม่เหมาะสมอย่างครั้งก่อน ตระกูลมู่หรงย่อมยอมที่จะขังนางไว้ตลอดกาล ทั้งไม่อาจให้นางปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้มีพี่ใหญ่มู่หรงมาด้วย ไม่อาจเกิดเรื่องอะไรผิดพลาดได้แน่”

“ข้าจะไม่กังวลได้หรือ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เบ้ปาก กล่าวอย่างไม่พอใจ “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ารับผิดชอบงานชมดอกบัว หากเกิดความผิดพลาดอะไร จะไม่เป็นที่น่าขบขันของผู้คนได้อย่างไร โดยเฉพาะฮูหยินใหญ่ ย่อมวิพากษ์วิจารณ์เป็นการใหญ่ ข้าไม่อยากให้มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น”

“ทางด้านท่านย่านั้นไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก นางเป็นผู้อาวุโส ต้องให้ความเคารพ แต่ก็ไม่จำเป็นที่ต้องหลับหูหลับตาฟังไปทุกเรื่อง เจ้าสนใจแต่เรื่องของเจ้าเองก็พอแล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยตัดบทไม่อยากจะถือสาหาความกับทั่วป๋าซู่เยวี่ย ไม่กี่วันนี้ทั่วป๋าฉินซินก็คงจะมาถึงลี่โจวแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก

“ข้าเข้าใจแล้ว” ผ่านมานานถึงเพียงนี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็มองออกเช่นกัน ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมีตำแหน่งที่สูงในตระกูลซั่งกวน ในยามที่พูด ไม่ว่าใครต่างก็ต้องตั้งใจสดับรับฟังด้วยความเคารพ กระนั้นกลับแทบไม่มีใครที่ฟังเข้าไปในหู ข้างกายนางนอกจากแม่นมเฒ่าแล้ว ก็มีเพียงอนุภรรยาหนิงและพวกลูกๆ สามคนเท่านั้น ยังคงนับว่าน่าสงสารจริงๆ

“พิงถิงเด็กคนนั้นมีความคิดในหัวมากมาย นางคิดอยากจะสลัดฐานะของลูกอนุภรรยาทิ้งมาโดยตลอด โดยเฉพาะยามนี้ที่ใกล้โตเป็นสาว ถึงเวลาที่ควรจะครุ่นคิดถึงเรื่องคู่ครอง ย่อมใจร้อนดั่งนั่งอยู่บนกองเพลิง นางไปเอาอกเอาใจต่อหน้าท่านย่าตั้งแต่เช้าจรดเย็นก็เพื่อจุดประสงค์นี้ หากมี่เอ๋อร์ทำให้ท่านแม่ใจอ่อน แล้วเปิดเผยเรื่องนี้กับนางเป็นนัยๆ นางก็ย่อมยืนอยู่ข้างเจ้า” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวแนะอย่างเรียบนิ่ง ความคิดของพิงถิง ไม่ว่าใครต่างก็รู้ดี แต่เพราะหากออกหน้าแทนนางก็จะทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่พอใจ กระนั้นเขากลับเชื่อมั่น หากเป็นมี่เอ๋อร์ออกหน้า ผลลัพธ์ย่อมไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน

“กลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะอย่างนั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มออกมา หากเป็นเช่นนั้น ทั่วป๋าซู่เยวี่ยย่อมโกรธจนเลือดขึ้นหน้าเป็นแน่

“อืม…” ซั่งกวนเจวี๋ยหัวเราะ พูดคุยกับคนฉลาดนับว่าช่วยประหยัดแรงไม่น้อย “หากว่าทำให้พิงถิงเชื่องแล้วละก็ จะมีประโยชน์ยิ่งกว่าเรื่องอันใดเสียอีก นางไม่เหมือนกับจิงอิ๋งที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาขนาดนั้น เจ้าเล่ห์เพทุบาย เพียงแต่หูตาคับแคบ ย่อมไม่อาจกระโดดออกจากกำมือของมี่เอ๋อร์ได้หรอก”

“เช่นนั้นท่านล่ะ?” มี่เอ๋อร์ไม่ใช่ว่าไม่เคยนึกถึงเส้นทางนี้ของซั่งกวนพิงถิง แต่อาศัยจากความคุ้นชินที่ซั่งกวนฮ่าวและซั่งกวนเจวี๋ยที่ถือหางปกป้อง นางไม่คิดอยากจะท้าทายก้าวก่ายขอบเขตของพวกเขา แต่ว่า ในเมื่อมีคำแนะนำจากซั่งกวนเจวี๋ย นางก็ไม่มีความหวั่นเกรงอะไรมากมายขนาดนั้นแล้ว หลังจากอารมณ์ดีก็เริ่มคึกคักขึ้นมา จับความปรารถนาที่ร้อนรุ่มของซั่งกวนเจวี๋ยไว้ในมือ ทั้งกระตุ้นหยอกเย้าอย่างยั่วยวน

“เหตุใดมี่เอ๋อร์ไม่ลองสักหน่อย…” เมื่อซั่งกวนเจวี๋ยเคลื่อนไหว ระยะห่างของทั้งสองก็หายไปทันที ความปรารถนาของเขาอยู่ในมือของนาง ตั้งขืนขึ้นกับต้นขาของนาง ก่อนมือและริมฝีปากจะค่อยๆ ไล่ต้อนตามขึ้นมา ให้มี่เอ๋อร์กลายเป็นดั่งสายน้ำของฤดูใบไม้ผลิ และเขาก็จมดิ่งลึกภายในสายน้ำนี้ ไม่ยอมที่จะตื่นขึ้นมา…

———————–