ตอนที่ 136 มู่หรงชิงหวั่น (1)

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

บ่ายของวันรุ่งขึ้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ได้พบกับมู่หรงชิงหวั่นผู้เป็นที่เลื่องลือ ยามที่ได้เผชิญหน้ากันช่วงสั้นๆ นั้น นางกลับมีความรู้สึกแปลกๆ บางอย่าง แม้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะยังมีรูปลักษณ์เหมือนเดิมเช่นนั้น แต่ด้านในกลับคล้ายดั่งถูกสับ เปลี่ยนวิญญาณก็มิปาน

จำได้ว่ายามนั้นที่แม้ว่ามู่หรงชิงหวั่นจะงดงามถึงเพียงใด แต่ความหยิ่งผยองที่แผ่ออกมานั้นไร้ทางที่จะปกปิดโดยสิ้นเชิง ท่าทีที่ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเช่นนั้น ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกขัดหูขัดตาเป็นอย่างมาก แววตาก็ก็เต็มไปด้วยความหยิ่งและจองหองอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าจะถูกเบียดเสียดอยู่ท่ามกลางฝูงคน กระนั้นกลับเว้นระยะห่างจากคนทั้งหมดอย่างระมัดระวัง คล้ายกับบนตัวคนอื่นนั้นมีสิ่งสกปรกอะไรบางอย่าง หากไม่ระวังเข้าก็อาจแปดเปื้อนมาถึงตัวเองได้อย่างไรอย่างนั้น

แต่มู่หรงชิงหวั่นในยามนี้กลับเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง เงียบสงบราวกับสายธารที่ไหลเอื่อยเฉื่อย ไม่มีสิ่งใดเจือปน ภายในแววตาใสกระจ่างก็ปรากฏความเรียบนิ่ง แววตาซึ่งมองทะลุโลกิยะได้ทั้งสิ้น มุมปากประดับยิ้มบางๆ ทำให้ใบหน้าของนางที่เดิมก็งามหยาดเหยิ้มอยู่แล้วมีชีวิตชีวายิ่งขึ้นไปอีก หากไม่ใช่ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นความตกใจและอิจฉาวาบผ่านในแววตานั้นละก็ มี่เอ๋อร์คงจะคิดว่านางมีใจสงบนิ่งดั่งสายน้ำ มองทะลุปรุโปร่งโลกิยะนี้ได้แล้วจริงๆ เสียอีก ท่าทางที่แสดงออกมาของนางจริงกี่ส่วน ปลอมกี่ส่วนกัน?

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยอมรับว่ารูปลักษณ์ของตนไม่ด้อยไปกว่ามู่หรงชิงหวั่นแม้แต่ครึ่งเดียว แม้ว่าพวกนางล้วนเป็นสาวงามที่โดดเด่น กระนั้นกลับเป็นคนละประเภทอย่างสิ้นเชิง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ในยามนี้ดูคล้ายเป็นประเภทที่ใจกว้างอ่อนโยน ภายนอกงดงาม ภายในหลักแหลม นุ่มนวลมีสัมมาคารวะ แต่กลับมีความห่างเหินเล็กน้อยเช่นกัน ส่วนมู่หรงชิงหวั่นเป็นประเภทที่สง่างามสูงส่ง แผ่บรรยากาศที่ดูไม่ธรรมดา หากเทพธิดาอวี้ อวี้เมิ่งเหยาที่มักจะทำเป็นถือตัว เสแสร้งจนคุ้นชินไปแล้วผู้นั้นมาเห็นเข้า ย่อมต้องร้องไห้เงียบๆ อย่างน้อยเนื้อต่ำใจเป็นแน่ อีกทั้งความสง่างามสูงส่งของนาง ไม่มีความเย่อหยิ่งหรือด้อยค่าแม้แต่เล็กน้อย เป็นเพียงนิสัยที่แท้จริงของนางเท่านั้น ทั้งหมดนี้ล้วนไม่ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์นับถือหรืออิจฉาแต่อย่างใด เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ข้อดีของตัวเองดี ทั้งรู้ว่าเมื่อตัวเองอยู่กับนางก็เป็นเพียงดอกกล้วยไม้และเบญจมาศที่งดงามแตกต่างกันไป พูดไม่ถูกว่าใครโดดเด่นกว่ากัน ตรงกันข้าม หากเทียบกับนางในอีกตัวตนหนึ่ง นางก็คงสามารถต่อกรกับมู่หรงชิงหวั่นได้แน่

แต่สิ่งที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์อิจฉาก็คือคาดไม่ถึงว่านางจะกล้าเผยใบหน้าไร้เครื่องประทินโฉมต่อหน้าผู้คนเช่นนี้!

เยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างไรก็ไม่กล้าไม่แต่งหน้าออกมาพบปะผู้คน…หากไม่จงใจแต่งปิดบังละก็ ดวงตาที่ล่อลวงของนางนั้นย่อมโปรยเสน่ห์ไปทั่วโดยไม่รู้ตัว เสน่ห์ที่น่าอายเช่นนั้นทำให้นางยากที่จะรับได้ นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าท่านแม่ที่มีตาโฉบเฉี่ยวเหมือนหงส์ ท่านพ่อที่ตาตี่เล็ก แล้วนางมีดวงตาที่เย้ายวนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?

“น้องเจวี๋ย น้องสะใภ้ พวกเจ้ามากันเร็วขนาดนี้เชียว ลำบากพวกเจ้าแล้ว!” มู่หรงปั๋วเย่ประสานมือกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเกรงใจ เขาก็รู้ดีว่าเดินทางมาเร็วเช่นนี้เป็นเรื่องแปลกอยู่บ้าง แต่เพื่อให้ชิงหวั่นมีการเริ่มต้นใหม่ที่ดี เขาจึงไม่อยากจะคิดอะไรมาก

“พี่ใหญ่มู่หรงอย่าได้เกรงใจ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เดิมทีก็คุ้นเคยกับมู่หรงปั๋วเย่ นางเผยรอยยิ้มอย่างจริงใจ “ทางเรือนใต้นั้นได้จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว ทุกท่านเดินทางมาไกล อย่างไรก็ไปพักผ่อนกันก่อนเถิด ภายหลังค่อยมาพูดคุยกัน!”

“ใช่แล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยจับสังเกตได้ทันทีว่ามี่เอ๋อร์นั้นลดระยะห่างและความเกรงใจลงบ้างแล้ว เห็นมู่หรงปั๋วเย่ที่ไม่มีความรู้สึกผิดแปลกอันใด ก็ไม่เข้าใจว่าไฉนเขาจึงยอมให้มี่เอ๋อร์ใกล้ชิดขึ้นมาเช่นนี้ได้ กระนั้นก็ยังคงคล้อยตามคำพูดของมี่เอ๋อร์

“น้องหญิงทั้งสี่ท่านย่อมต้องเหนื่อยกันมากเป็นแน่ อย่างไรก็ไปพักผ่อนกันก่อนเถิด”

“ข้าและน้องเจวี๋ยมีเรื่องที่ต้องคุยกันนิดหน่อย อย่างไรขอน้องสะใภ้พาพวกน้องๆ ทั้งสี่ไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ”

มู่หรงปั๋วเย่กล่าวยิ้มๆ ไม่ใช่ว่าพวกเขาเพิ่งมาถึงลี่โจวในวันนี้ แต่มาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้วต่างหาก หลังจากพักที่เรือนโปรยผกาหนึ่งคืน กินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วก็ค่อยๆ เข้ามากัน แทบไม่ได้เหน็ดเหนื่อยอันใดแม้แต่น้อย ต่างกระฉับกระเฉงกันทั้งสิ้น

“มี่เอ๋อร์ เจ้าพาพวกน้องหญิงทั้งสี่ไปพักก่อนเถิด” ซั่งกวนเจวี๋ยแย้มยิ้ม รู้ว่ามู่หรงปั๋วเย่ย่อมมีเรื่องที่ไม่อยากจะพูดให้ผู้อื่นรับรู้เป็นแน่ จึงได้พยายามแยกคนอื่นๆ ออกไป “วันนี้อากาศอบอ้าวเล็กน้อย พี่ใหญ่ไปเดินเล่นริมทะเลสาบกับข้าก่อนเถิด พวกเราเดินไปพลางพูดคุยไปพลาง!”

“ก็ดี!” มู่หรงปั๋วเย่ผงกศีรษะ หันไปกล่าวกับน้องสาวทั้งสี่ที่มีท่าทีแตกต่างกันไป “พวกเจ้าไปพักก่อนเถิด อย่าได้ทำเรื่องแปลกๆ อันใดให้น้องสะใภ้ลำบากใจเชียว!”

“เข้าใจแล้ว พี่ใหญ่!” คุณหนูทั้งสี่ของตระกูลมู่หรงรับปากอย่างเชื่อฟัง เห็นได้ชัดว่าเกรงกลัวพี่ใหญ่ผู้นี้เป็นอย่างมาก

“เชิญคุณหนูทั้งสี่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มบาง เชิญหญิงสาวทั้งสี่ขึ้นเกี้ยวเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นพวกนางค่อยๆ ทยอยกันขึ้นเกี้ยวแล้ว ก็กล่าวลาทั้งสองคนอย่างนอบน้อม ก่อนจะขึ้นเกี้ยวตามไป

“ดูเหมือนว่าน้องเจวี๋ยและน้องสะใภ้จะเข้ากันได้ดีมาก” มู่หรงปั๋วเย่มองออกว่าทั้งสองคนมีปฎิสัมพันธ์กันมากขึ้น ก็ยิ้มทั้งกล่าวหยอกเย้า “ดูท่าแล้วงานแต่งครั้งนี้ท่านป้าสะใภ้จะตัดสินใจถูกแล้วจริงๆ!”

“มี่เอ๋อร์ฉลาดหลักแหลม ความรู้กว้างไกล มีภรรยาเช่นนี้ หากยังไม่รู้จักพอก็คงเป็นข้าที่ไม่ได้ความแล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ย กล่าวยิ้มๆ มีมี่เอ๋อร์ เขาก็ควรรู้จักพอได้แล้ว

“ฮ่าๆ ดูท่าเจ้าและน้องสะใภ้คงจะเข้ากันได้ดีจริงๆ!” มู่หรงปั๋วเย่หัวเราะขึ้นมา “สามารถเห็นสภาพเช่นนี้ของเจ้าได้ นับเป็นเรื่องที่น่ายินดี”

“พี่ใหญ่ ครั้งนี้ไม่ได้พาพี่สะใภ้ใหญ่มาด้วยหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยคลี่ยิ้มบาง กล่าวเปลี่ยนประเด็น เขาไม่อยากจะพูดคุยเรื่องระหว่างเขาและเยี่ยนมี่เอ๋อร์มากจนเกินไป แม้จะกล่าวว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับมู่หรงปั๋วเย่ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมจนถึงขั้นสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง

“นางตั้งครรภ์ ไม่เหมาะจะเดินทางไกล จึงให้ดูแลครรภ์เงียบๆ อยู่ที่บ้าน!” ท่าทีมู่หรงปั๋วเย่แข็งทื่อขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังไม่เต็มใจที่จะพูดถึงภรรยาที่ตนเองไม่ชื่นชอบคนนั้น นางแข็งกร้าวเกินไป แม้ว่ายามที่อยู่ต่อหน้าตนเองจะไม่วางท่าเช่นนั้นมาโดยตลอด กระนั้นก็ไม่สามารถทำให้เขาสัมผัสถึงความอ่อนโยนดั่งสายน้ำของผู้หญิงได้ ยามที่เผชิญหน้ากับนาง เขาก็คิดที่จะหลบหลีก ระหว่างทั้งสองคนทำได้เพียงเว้นระยะห่างดั่งเช่นต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมเยือนเท่านั้น

“นั่นมันเรื่องดีนี่!” ซั่งกวนเจวี๋ยหัวเราะขึ้นมา “ยินดีกับพี่ใหญ่ด้วย!”

“ควรจะยินดีจริงๆ!” มู่หรงปั๋วเย่ทอดถอนหายใจ “หากท้องแรกเป็นเด็กผู้ชายก็จะยิ่งดี เหล่าผู้อาวุโสจะได้ไม่ต้องจับตามองมากจนเกินไป ข้าจะสามารถคลายใจได้เสียที!”

หากท้องแรกนี้เป็นเด็กผู้ชาย ย่อมมีสกุลตามแม่ ตระกูลหยางก็จะมีผู้สืบทอด และเขาก็จะไม่ทำให้เยียนอวี่ได้รับความไม่เป็นธรรมอีกต่อไป ความไม่เป็นธรรมที่ทำให้นางรับความขมขื่นเข้าตระกูลมาหลายปี แต่ก็ไม่อาจกำเนิดบุตรให้กับตนเองได้

ซั่งกวนเจวี๋ยหัวเราะร่วน ในใจรู้คร่าวๆ แล้วว่ามู่หรงปั๋วเย่คิดอะไรอยู่ เขาย่อมรู้สึกผิดต่ออนุภรรยาผู้ที่ทำให้เขาลุ่มหลงจนถึงขั้นโงหัวไม่ขึ้นคนนั้นเป็นแน่!

“ไม่พูดเรื่องน่าเบื่อพวกนี้แล้วดีกว่า น้องเจวี๋ยพบชิงหวั่นแล้ว รู้สึกว่านางเป็นอย่างไรบ้าง?” แท้จริงแล้วมู่หรงปั๋วเย่เอาแต่สับสนวุ่นวายมาโดยตลอด เขารู้สึกละอายใจกับเยียนอวี่ที่อ่อนโยนดุจสายน้ำผู้นั้น ไม่เพียงไม่อาจรับปากที่ได้พูดไว้ว่าจะแต่งนางเข้าเป็นภรรยา แต่กลับทำได้เพียงรับนางเป็นอนุที่ไม่อาจยกขึ้นมาเชิดหน้าชูตาได้ตลอดกาล ซ้ำร้ายยังปูทางให้กับลูกภรรยาเอกเสียด้วย เวลาหลายปีถึงเพียงนี้ก็ไม่อาจให้กำเนิดบุตรกับตนได้ แม้ว่าจะเคยถูกเด็กสาวผู้นั้นฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยไว้ในใจ ทั้งเรื่องราวมากมายก็มาถูกเด็กหัวไวคนนั้นเดาทางได้ แต่ก็ยังคงยากที่ปล่อยวางความคิดที่เสียดายและน่าละอายใจนั้น

“อะไรคือเป็นอย่างไรบ้าง?” ซั่งกวนเจวี๋ยถูกคำถามที่กำกวมของมู่หรงปั๋วเย่ถามขึ้นมาก็ตกตะลึง คำพูดที่คลุมเครือเช่นนี้ไม่อาจตอบอย่างส่งเดชได้ ทำได้เพียงถามย้อนกลับไป

“ท่าทีของนางเป็นอย่างไรบ้าง? ฟื้นคืนเป็นปกติแล้วใช่หรือไม่?” ยามที่มู่หรงปั๋วเย่พูดขึ้นมาก็หงุดหงิดใจอย่างถึงที่สุด เห็นได้ชัดว่ายังไม่กระจ่างในท่าทีของชิงหวั่นในยามนี้ ไม่แน่ใจอยู่บ้างว่านางได้ปล่อยวางจริงๆ แล้วหรือยัง

“ข้าว่าดีขึ้นมาก!” แท้จริงแล้วซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับชิงหวั่นขนาดนั้น แม้ว่าแต่ไหนแต่ไรมี่เอ๋อร์ก็ไม่พูดมาโดยตลอด แต่เขายังคงกระจ่างใจดีว่านางชอบหึงหวงถึงขนาดไหน เพียงแค่นางไม่อาจแสดงด้านลบเช่นนี้ออกมาได้ ยิ่งไม่อาจปล่อยให้ความหึงหวงมาครอบงำความคิดของตน ดังนั้นเขาจึงทำเพียงกล่าวทักทายตามมารยาท ไม่ได้สังเกตอย่างละเอียดแต่อย่างใด

“พวกเราล้วนรู้ไม่แน่ชัดต่อท่าทีของชิงหวั่น แต่ก็ไม่อาจกักขังนางไว้เช่นนั้นตลอดไปได้” มู่หวงปั๋วเย่สั่นศีรษะทั้งยิ้มขมขื่น “ครั้งนี้มอบโอกาสครั้งหนึ่งให้ชิงหวั่น หากนางสามารถเผชิญหน้ากับผู้คนได้แล้วจริงๆ โดยเฉพาะลู่เหยาที่ยังคงรักษาท่าทีเรียบนิ่ง ก็ไม่คิดจะกักนางไว้อีกแล้ว ให้นางกลับไปอยู่ต่อหน้าผู้คนใหม่อีกครั้ง เริ่มต้นชีวิตใหม่ ถ้าหากทำไม่ได้…บางทีชั่วชีวิตของนางก็คงต้องอยู่ในวัดประจำตระกูลแล้ว”

“ปีนั้นชิงหวั่นเกินไปบ้างจริงๆ…” ซั่งกวนเจวี๋ยส่ายศีรษะ นึกถึงมู่หรงชิงหวั่นที่หลังจากนั้นกลับบ้าคลั่ง ก็ยังคงสะพรึงกลัวอยู่บ้าง หากไม่ใช่ว่าแต่ละตระกูลพยายามช่วยกันปกปิดเรื่องนี้ลงไป ทั้งลู่เหยาก็ถูกซักไซ้ไล่เบี้ย ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะบานปลายไปถึงขนาดไหนกัน

“ชิงหวั่นพำนักที่วัดประจำตระกูลอยู่สามปี ยามที่เพิ่งจะเข้าไปนางเอาแต่ระบายโทสะ ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้แม้แต่น้อย ต่อว่าโชคชะตาที่ไม่เข้าข้าง ต่อว่าพ่อแม่ไม่ยุติธรรมที่ให้นางเป็นหมากตัวหนึ่ง ต่อว่าลู่เหยาที่ไม่มีหูมีตา ทำให้นางกลายเป็นเรื่องขบขันของผู้คน ต่อว่าผู้คนที่เคยขำขันอยู่ข้างกายนางเหล่านั้น…ภายหลังนางถึงกระทั่งสาปแช่งคนพวกนั้นทั้งหมด ครั้งหนึ่งข้าคิดว่าน้องสาวผู้นี้ได้เสียสติกลายเป็นคนคลุ้มคลั่งเสียแล้ว…แม้ว่าคนมากมายจะคิดว่านางได้บ้าคลั่งตั้งแต่ยามที่นางให้คนไปลอบสังหารลู่เหยาแล้ว แต่ข้ารู้ดี เวลานั้นนางยังคงปกติดีอยู่ เพียงแต่ใช้วิธีการที่สุดโต่งมาระบายความแค้นของตนเองก็เท่านั้น นางในตอนนั้นยังจำรอยยิ้มของตัวเอง เกียรติของตัวเอง และความชอบของตัวเองได้อยู่ แต่ในยามที่อยู่ในวัดประจำตระกูล นางล้วนจำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เอาแต่ก่นด่าอย่างบ้าคลั่ง ตะโกนเสียงดัง กล่าวสาปแช่ง…ยามที่ไม่ถูกควบคุมก็ไม่คิดจะหยุดแม้แต่น้อย” มู่หรงปั๋วเย่ส่ายศีรษะ นึกถึงภาพในเวลานั้นก็ยังคงหวาดกลัวไม่หาย

“แต่ยามนี้ดูเหมือนว่าจะปกติมากแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยไร้ทางที่จะจินตนาการ ควรต้องรู้ว่าครั้งหนึ่งมู่หรงชิงหวั่นแทบที่จะเป็นคนที่แต่ละตระกูลนั้นเลื่อมใสศรัทธา ไม่เว้นแม้แต่เขาเช่นกัน เพียงแต่ยังไม่ทันที่จะได้มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อมู่หรงชิงหวั่นก็ถูกการกระทำที่โง่เขลาของนางทำลายภาพลักษณ์จนไหม้เป็นจุล ทั้งยังถูกคนวิจารณ์ว่า ‘สมองหมู’ ทลายความรู้สึกดีๆ ต่อภาพลักษณ์ที่สั่งสมเสียสิ้น ภาพจำที่เหลืออยู่ก็มีเพียงสิ้นคิด โง่เขลา และไม่คำนึงถึงภาพรวม ทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบก็รวมถึงพวกเขาอีกหลายคนด้วย

“ใช่แล้ว ดูปกติขึ้นมาก” มู่หรงปั๋วเย่ส่ายศีรษะ “แต่เพราะว่าเป็นเช่นนี้จึงทำให้พวกเราไม่แน่ใจ นางบ้าคลั่งมาครึ่งปีกว่า ภายหลังโวยวายพอแล้ว ด่าพอแล้ว ก็เริ่มขอร้องอ้อนวอน ขอให้ปล่อยนางออกมา…ต่อจากนั้น นางก็ไม่ขอร้องอะไรอีกแล้ว แต่รอคอยอย่างเงียบสงบในที่ที่ครอบครัวกักบริเวณไว้ ภายหลังจึงถูกส่งเข้าวัดประจำตระกูล ชะล้างความบ้าระห่ำออกไป หลังจากหยั่งเชิงครั้งแล้วครั้งเล่าจึงได้ปล่อยให้นางออกมา”

ซั่งกวนเจวี๋ยขมวดคิ้ว “สรุปคือกล่าวว่าพวกท่านยังไม่แน่ชัดว่าอารมณ์ของนางมั่นคงดีแล้วหรือยัง? แย่แล้ว หากนางปะทุโทสะขึ้นมา ทำร้ายมี่เอ๋อร์…”

“วรยุทธ์ของงนางถูกทำลายเสียสิ้นแล้ว!” คำพูดของมู่หรงปั๋วเย่ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยที่เตรียมจะพุ่งตัวยืนหยุดอยู่กับที่

วรยุทธ์ถูกทำลายเสียสิ้น? ตระกูลมู่หรงโหดเหี้ยมเสียจริง ดูท่าแล้ว ปีนั้นมู่หรงชิงหวั่นได้ทำให้ตระกูลมู่หรงสูญสิ้นความหวังอย่างถึงที่สุดแล้ว

“อีกอย่างน้องสาวอีกสามคนล้วนเป็นลูกสาวอนุภรรยาของพวกท่านอา สิ่งที่เหมือนกันมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือเชื่อฟังและมีฝีมือไม่น้อย จุดประสงค์ที่พาพวกนางมาก็เพื่อยับยั้งความบ้าคลั่งที่อาจจะปะทุขึ้นมาของชิงหวั่น” ในยามที่มู่หรงปั๋วเย่กล่าวก็เผยท่าทีเจ็บปวด

“เช่นนั้นพี่ใหญ่มีแผนอันใดจึงพาชิงหวั่นมาที่ลี่โจว?” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่เข้าใจอยู่บ้าง เดาไม่ออกว่าพวกเขามีแผนอะไร

“ข้าอยากดูว่างานประลองยุทธ์ปีนี้จะสามารถพบโม่จิ้ง เด็กคนนั้นหรือไม่!” คำพูดของมู่หรงปั๋วเย่ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยสะท้านไปทั้งร่าง โม่จิ้ง? ‘คุณหนูสุรา’ จะมาลี่โจวอย่างนั้นหรือ?

“นางจะมาลี่โจวรึ?” ซั่งกวนเจวี๋ยสับสน เขาหวังว่าจะมีโอกาสสามารถพบ ‘คุณหนูสุรา’ ได้อีกสักครั้ง แต่ว่าพบนางแล้ว จะอย่างไรต่อ? ตัวเองมีครอบครัวแล้ว มีภรรยาที่แสนดีขนาดนั้น ไม่ควรจะคิดมากจึงจะถูก แต่เมื่อถูกความคิดที่ปิดตายไว้ตีกลับขึ้นมาอีกครั้ง ก็ทำให้หัวใจเขาเจ็บปวดจนหายใจไม่ออก

“ข้าไม่กล้ายืนยันหรอก เพียงกอดความหวังที่อาจมาอย่างบังเอิญก็เท่านั้น!” มู่หรงปั๋วเย่ส่ายศีรษะทั้งยิ้มขมขื่น “ข้าว่าในหัวของเด็กคนนั้นคงจะเต็มไปด้วยสิ่งแปลกประหลาด ย่อมสามารถหาวิธีให้ชิงหวั่นเดินออกมาจากทางตันได้แน่!”

บางทีเท่านั้น! นึกถึงความเจ้าเล่ห์หัวไวของนาง ซั่งกวนเจวี๋ยก็อดถอนหายใจทั้งยิ้มขมขื่นออกมาไม่ได้ นางอยู่ที่ใดกันนะ?

——————-