คนที่ถูกทั้งสองคนนึกถึงนั้นกำลังพาคุณหนูทั้งสี่ของตระกูลมู่หรงไปพักผ่อน อีกทั้งยังสับสนเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าเหตุใดคุณหนูชิงหวั่นผู้เป็นที่เลื่องลือนั้นจึงได้เรียบนิ่งถึงขนาดนี้ ยืนอยู่ตรงหน้าประตูเรือนเล็กที่จัดเตรียมไว้ให้ไม่ยอมเข้าไปเสียที และคุณหนูอีกสามคนนั้นก็เผยยิ้มขมขื่นให้กัน ไม่กล้าจะพูดออกมาแม้แต่คำเดียว เพียงแค่ยืนอยู่ด้านหลังเป็นเพื่อนอย่างเงียบๆ เท่านั้น ตัวเองอยากจะเอ่ยปากกล่าว ก็ยังถูกหนึ่งในนั้นห้ามเอาไว้ กล่าวเสียงเบาพร้อมใบหน้าที่ประดับยิ้มว่า ‘ขอให้นางคอยสักพัก อย่าได้รีบร้อน’
“เฮ้อ…” ในที่สุดมู่หรงชิงหวั่นก็ดูจนพอแล้ว ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา คุณหนูทั้งสามคนนั้นพร้อมใจกันเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่ได้นัดหมาย ท่าทีคล้ายกับตั้งท่าเตรียมรับมือกับศัตรูก็มิปาน ชิงหวั่นหมุนกายกลับมา ใบหน้าที่เรียบนิ่งนั้นปรากฏรอยยิ้มขึ้น คล้ายกับท้องฟ้าที่ดำมืดนั้นมีแสงสว่างพาดผ่านออกมา ทั่วทั้งใบหน้าประกายความระยิบระยับที่ดูแปลกประหลาด หญิงสาวทั้งสามถอยหลังไปอย่างพร้อมเพรียงกันอีกครั้งทันที ในแววตาของชิงหวั่นปรากฏท่าทีดูแคลนและเหยียดหยามพาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผยยิ้มหวานออกมา “นานแล้วที่ไม่ได้มาลี่โจว ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่มาบ้านของท่านอาก็มักจะจัดการให้ข้าพำนักอยู่ที่เรือนมีสุขแห่งนี้ ยามนี้ได้กลับมาเยือนที่ที่เคยมาอีกครั้ง คล้ายกับรู้สึกว่าเวลาผ่านมาเนิ่นนานเสียจริง ทำให้เจ้าต้องพบเรื่องน่าขันเสียแล้ว”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่านางกำลังพูดกับตัวเอง จึงแย้มยิ้มกล่าวตามมารยาท “คุณหนูชิงหวั่นชอบก็ดีแล้ว”
“ที่จริงข้าก็ไม่ได้ชอบมากเท่าไร” มู่หรงชิงหวั่นถอนหายใจอย่างเงียบเชียบ “หากข้ามาเองยังจะดีกว่า แต่ข้างกายยังมีอีกสามคนที่สลัดไม่ออกตามเป็นพรวน จะมีอารมณ์มาชื่นชอบได้อีกอย่างไรกัน”
สีหน้าของหญิงสาวทั้งสามมีความอึดอัดอยู่บ้าง กระนั้นกลับไม่ตอบอะไรกลับมาแม้แต่คำเดียว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงใช้รอยยิ้มที่มีมารยาทเช่นนั้นกล่าวขึ้น “เดินทางมาไกล คุณหนูทั้งสี่ย่อมเหนื่อยเป็นแน่ อย่างไรก็ไปพักผ่อนกันสักพักก่อนเถิด หากมีอะไรต้องการ ก็บอกกล่าวกับพวกสาวใช้ได้เลย!”
“อะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ?” ชิงหวั่นเลิกคิ้วเล็กน้อย กล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นรบกวนเจ้าบอกกล่าวกับหลิงหลงให้หน่อย บอกว่าข้ามาแล้ว อยากพบนาง ให้นางเข้ามาพูดคุยเล่นกับข้า!”
“ต้องขอโทษจริงๆ หลิงหลงและจิงอิ๋งนั้นล้วนไม่อยู่บ้าน คุณหนูชิงหวั่นไม่อาจพบพวกนางได้หรอก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจ
“ไม่อยู่?” ชิงหวั่นมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างงุนงง เมื่อเห็นนางพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง ใบหน้าก็ปรากฏความเย้ยหยันตนเองและจนใจอย่างเรียบนิ่งออกมา “ใช่สิ ข้าในยามนี้ไม่ใช่มู่หรงชิงหวั่นผู้ที่มีชื่อเสียงคนนั้นอีกแล้ว แต่เป็นคนน่าสงสารที่ถูกลืม พวกนางย่อมไม่มีเวลามาพูดคุยกับคนอย่างข้า เป็นข้าที่คาดหวังมากไ!”
“สองเดือนก่อนหลิงหลงและจิงอิ๋งตามอาจารย์เฉาซื่ออี๋ไปที่เซิ่งจิง หลิงหลงปลายเดือนแปดจึงจะกลับมา ส่วนจิงอิ๋งนั้นพูดยาก หากคุณหนูชิงหวั่นอยากจะพบพวกนาง คงต้องรอหลังเดือนแปดแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอธิบายให้นางฟัง มองเห็นคนที่เคยมีจิตใจสูงส่งกลับกลายเป็นเช่นนี้ ก็นึกถึง ‘ต้ายา’ คนนั้นที่ปรารถนาดีต่อตน เยี่ยนมี่เอ๋อร์เอาความเหยียดหยามและห่างเหินออกไปจากจากใจชั่วคราว เพื่อไว้หน้าให้แก่นาง
“อาจารย์มาลี่โจวหรือ?” ชิงหวั่นตาเป็นประกาย แต่จู่ๆ ก็มืดมนลงไป ส่ายศีรษะอย่างสงสารตัวเอง “ข้าไม่ได้พบอาจารย์มาสี่ปีแล้ว หากนางพบหน้าข้าย่อมผิดหวังเป็นแน่”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำได้เพียงคลี่ยิ้มบาง ไม่ได้รับบทสนทนาแต่อย่างใด และคุณหนูสามคนของตระกูลมู่หรงนั้นกลับไม่กล้าจะพูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าเกรงกลัวชิงหวั่นเป็นอย่างมาก เอาแต่มองทั้งสองคนพูดคุยกัน
“อาจารย์สบายดีหรือไม่?” ชิงหวั่นระลึกถึงและห่วงใยเฉาซื่ออี๋เป็นอย่างมาก จู่ๆ ก็ถอนหายใจออกมา “นี่ข้าพูดไร้สาระอะไรกัน? อาจารย์เกลียดที่ต้องออกจากเซิ่งจิง ย่อมให้คนอื่นมารับหลิงหลงเป็นแน่ ทั้งแม้แต่จิงอิ๋งก็ไปด้วย แต่ไหนแต่ไรอาจารย์ก็ไม่เคยรับศิษย์สองคนที่อยู่ตระกูลเดียวกัน เช่นนี้ไม่เป็นไปตามกฎเลย ทำให้อาจารย์โกรธนั้นไม่ใช่เรื่องดี”
“อาจรย์เฉามาด้วยตนเอง ดูท่าทางแล้วนางไม่เลวเลย ยังพูดถึงท่านอีกด้วย” คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้ชิงหวั่นตื่นตัวขึ้นมา จู่ๆ ก็ยื่นมือมาดึงแขนเยี่ยนมี่เอ๋อร์เอาไว้ กล่าวอย่างร้อนใจ “อาจารย์ยังไม่ลืมข้า? นางพูดว่าอย่างไร?”
“ท่านพี่!” หญิงสาวทั้งสามตกใจยกใหญ่ หากชิงหวั่นทำร้ายเยี่ยนมี่เอ๋อร์โดยไม่ระวังเข้า พวกนางย่อมถูกพี่ใหญ่ตำหนิหรือกระทั่งลงโทษเป็นแน่ จึงร้องเรียกด้วยความตกใจออกมาทันที
“ร้องอะไรกัน ข้าไม่ทำร้ายฮูหยินของน้องเจวี๋ยหรอก!” ชิงหวั่นถลึงตามองพวกนาง ทั้งสามคนค่อยๆ สงบปากไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
“พวกเราจะคุยกันที่นี่รึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชี้ที่ประตูเรือนอย่างขำขัน กล่าวยิ้มๆ “หากคุณหนูชิงหวั่นไม่ถือสา พวกเราไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ เดินไปพลางพูดคุยไปพลางเป็นอย่างไร?”
“ก็ดี!” ชิงหวั่นนับถือความกล้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นอย่างมาก พอมองท่าทีของน้องสาวทั้งสามที่ไม่รู้ว่าเอาท่าทางที่คล้ายกับตนเป็นศัตรูมาจากที่ใดก็รู้แล้ว พวกนางล้วนคิดว่าสมองของนางมีปัญหา ราวกับสามารถระเบิดโทสะทำร้ายคนได้ทุกเวลา นางคาดไม่ถึงว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะกล้าเดินเล่นกับนาง ดูจากท่าทางนางแล้วก็ไม่เหมือนคนที่ไร้เดียงสาไปจนถึงขั้นที่ ‘โง่เขลา’ เช่นนั้นก็ย่อมเป็นเพราะมีความกล้าหาญมากอย่างแน่นอน
“นี่ไม่ดีแน่” คุณหนูคนหนึ่งกล่าวอย่างใจกล้า “พี่ใหญ่กำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่า บอกว่าท่านพี่ต้องพักผ่อนสงบจิตใจ อย่างไรอย่าได้รบกวนสะใภ้ซั่งกวนเลย”
“เจ้าคิดจะยุ่งเรื่องของข้าใช่หรือไม่?” ชิงหวั่นเก็บรอยยิ้มสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่บนใบหน้ากลับมาทันที ทั่วทั้งตัวเผยบรรยากาศเยือกเย็นและหยิ่งทระนงออกมา ทำให้คุณหนูคนนั้นตกใจจนถอยหลังออกไปหลายก้าว เผยสีหน้าซีดขาว ไม่กล้าพูดอันใดออกมา
“ไม่เป็นไร!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มบาง ดึงมือของชิงหวั่น “หากพี่ใหญ่มู่หรงถามขึ้นมา ก็บอกว่าข้าและคุณหนูชิงหวั่นพอพบก็ถูกชะตากัน ดังนั้นจึงอยากไปพูดคุยเพียงลำพัง ไม่กระทบกับพวกเจ้าหรอก พวกเราก็จะเดินเล่นในสวนดอกไม้ ไม่ไปไหนไกล หากพวกเจ้าไม่วางใจ ก็ให้สาวใช้แม่นมตามอยู่ไกลๆ หรือตัวเองจะตามมาก็ได้ ขอเพียงไม่รบกวนพวกเราพูดคุยกันก็พอ!”
“ชิงอีตามมาเถิด!” ชิงหวั่นครุ่นคิด อย่างไรก็ไม่อยากให้พี่ใหญ่โกรธทั้งๆ ที่เพิ่งจะมาถึง จึงเลือกให้ตามมาคนหนึ่ง เพื่อพวกนางจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลขนาดนั้น
“ได้!” คุณหนูที่นับว่ามีท่าทีมั่นคงผู้นั้นรับคำ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ระบายยิ้มเล็กน้อย ผงกศีรษะเป็นนัยไปทางพวกจื่อหลัว
จื่อหลัวพยักหน้า ก็พาคุณหนูอีกสองคนเข้าเรือนไป ไม่ได้ตามเข้ามารบกวนพวกนางอีก
“เหตุใดท่านอาจารย์จึงกลับมาที่ลี่โจวได้?” ชิงหวั่นกล่าวถาม “ข้าจำได้ว่าท่านอาจารย์ไม่ชอบออกจากบ้านมาโดยตลอด อีกทั้งนางมีภาระมากมายที่เซิ่งจิงถึงขนาดนั้น มีเวลาออกจากบ้านจึงนับว่าเป็นเรื่องแปลก”
“อาจารย์เฉาเข้ามาหาข้า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เชื่อว่าเรื่องนี้ในไม่ช้าก็ย่อมถูกลือสะพัดไปทั่วอยู่แล้ว จึงไม่ได้คิดปิดบังชิงหวั่น กล่าวอย่างรวบรัด “อาจารย์เฉาในวัยเยาว์เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับท่านแม่ของข้าอยู่ช่วงหนึ่ง หลังจากได้ยินข่าวคราวของข้า จึงถือโอกาสที่มาดูจิงอิ๋งมาที่ลี่โจวด้วย”
“ท่านอาจารย์และท่านแม่ของท่านมีความสนิทสนมกัน ขอถามหน่อยว่าท่านแม่ของท่านคือผู้ใดกัน?” ชิงหวั่นคาดไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ จึงตกใจ ต้องรู้ว่าเฉาซื่ออี๋นั้นมีวิสัยทัศน์สูง สามารถเรียกได้ว่าเป็นคนที่สนิทสนมกับนาง เช่นนั้นย่อมต้องเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่น แต่คนตรงหน้า…นางลอบครุ่นคิดอยู่ในใจ แม้ว่าจะถูกขังไว้ในวัดประจำตระกูลตระกูล แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่รู้เรื่องที่ซั่งกวนเจวี๋ยตบแต่งภรรยาที่อยู่ในตระกูลพ่อค้า ทั้งยังเป็นลูกสาวพ่อค้าในอู๋โจว ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ นางสามารถหมั้นหมายกับตระกูลซั่งกวนได้ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไปแล้ว แต่เรื่องที่แม่ของนางมีความสนิทสนมกับท่านอาจารย์นั้นแปลกประหลาดมากกว่า
“ในวัยเยาว์ท่านแม่ของข้าพำนักอยู่ที่เซิ่งจิง หลังจากนั้นได้ย้ายออกไปเพราะเหตุผลบางประการ และในตอนนั้นก็ได้ขาดการติดต่อกับอาจารย์เฉาไป” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่อยากจะพูดเกี่ยวกับเรื่องมารดาให้มาก จึงกล่าวอย่างสั้นๆ อย่างรวบรัด
“ท่านอาจารย์พูดถึงข้าต่อหน้าท่าน นางพูดอันใดหรือ?” ชิงหวั่นย่อมรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ตั้งใจหลบหลีกคำถามก็ไม่ได้คิดไล่เค้น แม้ว่าครั้งหนึ่งนางจะเคยสูญเสียความเป็นตัวเองไป แต่ก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีหูมีตาหรือไม่รู้จักความเหมาะสม
“นางกล่าวว่าคุณหนูชิงหวั่นเป็นศิษย์ที่นางภาคภูมิใจที่สุด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์นึกถึงในยามที่เฉาซื่ออี๋พูดถึงมู่หรงชิงหวั่น ความเสียใจที่ยากจะควบคุมเช่นนั้น ทำให้รู้ว่านางย่อมทุ่มเทแรงใจแรงกายไปมากกับคนที่อยู่ตรงหน้านี้ เสียดายที่ในยามที่นางควรจะรุ่งโรจน์ที่สุด กลับถูกสรรเสริญยกยอปอปั้นจนเสียคน ไม่ทันจะได้เปล่งประกายดีก็ร่วงโรยเสียแล้ว
“แต่ข้ากลับทำให้อาจารย์ผิดหวัง” ชิงหวั่นอดสะอึกออกมาไม่ได้อยู่บ้าง “ท่านอาจารย์เคยบอกว่าข้าเหมือนคนที่เขาเคยรู้จักคนหนึ่ง มีชาติกำเนิดที่สูงส่ง ใบหน้าราวเทพธิดา สมองที่หลักแหลม คิดอยากจะให้ข้ากลายเป็นคนที่นางให้ความนึกถึงมาโดยตลอดนั้น แต่ว่า ในยามที่รู้ว่าข้าจะออกจากเซิ่งจิงท่านอาจารย์จึงเพิ่งพูดว่าข้าเพียงคล้ายกับคนที่รู้จักนั้นของนางเพียงสามส่วนเท่านั้น สิ่งที่ขาดไปคือความยั้งคิดและความเยือกเยือนซึ่งนับเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ต้องการให้ข้ารักษาจิตใจเดิมนิสัยเดิมเอาไว้ อย่าได้ให้ตัวเองลุ่มหลงไปกับคำสรรเสริญและคำยกยอปอปั้น…แต่ข้าก็ยังคงทำลายความคาดหวังของอาจารย์ กลับกลายเป็นดั่งเช่นตอนนี้”
นางเหมือนกับคนที่รู้จักคนหนึ่งของเฉาซื่ออี๋? ท่านแม่อย่างนั้นหรือ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองชิงหวั่นอย่างสงสัย ไม่ว่าอย่างไรก็มองไม่ออกว่าเหมือนกันตรงไหน?
“คนรู้จักของอาจารย์เฉาผู้นั้นคือใคร? ข้าไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แสร้งกล่าวถามอย่างสงสัย
“คนผู้นั้นของท่านอาจารย์คือลูกพี่ลูกน้องของสนมจงกุ้ยเฟย ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่าเป็นหญิงสาวที่งามล่มเมือง ว่ากันว่ายี่สิบกว่าปีก่อนเพราะนางจึงเกิดการก่อกบฏ ผู้ที่ก่อกบฏก็คือน้องชายของฮ่องเต้คนปัจจุบัน ท่านอ๋องผู้นั้นเพื่อจะทำให้นางเป็นมารดาของแผ่นดินแล้ว จึงเกิดความคิดนี้ขึ้นมา หลังจากนั้นเมื่อโดนร่างแหไปด้วยก็ถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวง ภายหลังก็ค่อยๆ เลือนหายไป ไม่เจอเบาะแสร่องรอยอันใดอีกแล้ว” ชิงหวั่นถอนหายใจ “เรื่องเล่าของนางในเซิ่งจิงนั้นมีมากมาย กล่าวว่านางงามล่มเมืองก็มี กล่าวว่านางสวยบริสุทธิ์ก็มี บ้างก็กล่าวว่านางเป็นปีศาจจิ้งจอกที่จุติในโลกมนุษย์ บ้างก็กล่าวว่านางงดงามราวเทพธิดามาจุติ…สรุปแล้ว ต่างก็คิดแตกต่างกันไป แต่ล้วนคิดเหมือนกันอย่างเดียวนั่นก็คือนางมีรูปโฉมงดงาม ทั้งยังฉลาดล้ำเหนือผู้คน”
งามล่มเมือง? เยี่ยนมี่เอ๋อร์โมโหอย่างถึงที่สุด ในปีนั้นท่านแม่มีอายุเพียงสิบสองสิบสามเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ดี กลับมาถูกเรียกว่างามล่มเมืองเช่นนี้?
“เพียงแต่ท่านอาจารย์ล้วนไม่สนใจไยดีเรื่องเล่าพวกนั้นมาโดยตลอด ท่านอาจารย์กล่าวว่า แม้นางจะถูกเยินยอและรายล้อมด้วยผู้คน แต่ก็ไม่เคยลืมความเปล่าเปลี่ยวที่ยิ่งสูงก็ยิ่งเหน็บหนาว แม้จะมั่งคั่งรุ่งโรจน์ก็ไม่เคยลืมเมตตาต่อความทุกข์ทรมานในโลกมนุษย์ กล่าวว่านางไม่ได้เป็นที่รักของพระเจ้า แต่เป็นสาวงามที่ฟ้ากลั่นแกล้ง ดังนั้นนางจึงประสบกับความยาก ลำบากที่คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางจะพบเจอได้ ต้องการให้ข้าเรียนรู้จากนางมาโดยตลอด เรียนรู้ความเด็ดเดี่ยวมั่นคง ความไม่ประมาทหลงผิดในตัวเอง และความสงบนิ่งต่อทุกเรื่องของนาง แต่ข้าเรียนได้เพียงผิวเผิน ก็กลับมาสูญเสียทุกอย่างไป” ชิงหวั่นถอนหายใจ “ข้าคิดว่าหากปีนั้นข้ามีสติรู้คิดพอ ก็คงไม่ถูกคำพูดของคนพวกนั้นบงการได้ เห็นได้ชัดว่าถูกลู่เหยาเว้นระยะห่าง ยังคิดไปเองว่าขอเพียงแค่ตัวเองบอกรักต่อหน้าทุกคน ก็สามารถทำให้ลู่เหยาซาบซึ้งตอบรับความรักแต่เพียงฝ่ายเดียวของข้าได้แล้ว”
“ดังนั้น อาจารย์เฉาจึงกล่าวว่าท่านถูกยกยอปอปั้นจนเสียคน!” จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เกิดความเห็นใจนางมากขึ้น ชีวิตที่อยู่ท่ามกลางคำสรรเสริญเยินยอตั้งแต่เด็ก นางรักษาตัวตนเช่นนี้ของตนเองไว้ได้อย่างไรกัน? หากไม่ใช่ว่าตั้งแต่เด็กตัวเองก็ถูกมารดาพูดกรอกหูว่าความงามนำมาซึ่งความหายนะ หรือความคิดที่ว่าความธรรมดาก็คือความสุขจำพวกนั้น ก็พูดยากเหมือน กันว่าอาจจะเป็นเหมือนนาง
“ใช่แล้ว ยกยอปอปั้นจนเสียคน!” ชิงหวั่นถอนหายใจอย่างเศร้าโศก ดวงตาคู่นั้นขมุกขมัว ความชื้นเอ่อล้นขึ้นมา กล่าวเสียงเบา “แต่รอในยามที่ข้าเข้าใจก็ไร้ทางที่จะย้อนกลับแล้ว หากยังเป็นที่สรรเสริญต่อไป ตามความต้องการของตระกูลแล้ว แต่งเป็นสนมให้กับรัชทายาท แต่งเข้าไปในราชวงศ์ที่โหดร้าย แม้แต่กระดูกก็อาจไม่หลงเหลือให้ค้นหา หรือไม่ก็อาจจะทุ่มเดิมพันเสี่ยงดวงในครั้งสุดท้าย แอบลงหลักปักฐานกับใครสักคนในใต้หล้า เพื่อรักษาหน้าตาของราชวงศ์แล้ว พวกเขาก็จะไม่พูดเรื่องแต่งงานขึ้นมา และข้าก็เลือกอย่างหลัง”
แผนที่นางตั้งใจวางไว้ก็คือเรื่องตลกร้ายที่ทำให้คนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเช่นนั้น? เยี่ยนมี่เอ๋อร์เบิกตากว้างออกมาทันที ยากที่จะเชื่ออยู่บ้าง
“ตกใจมากล่ะสิ!” ชิงหวั่นหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา “แต่ข้าก็ยังทำเสียเรื่อง เลือกลู่เหยาที่เห็นข้าเป็นดั่งหญ้าป่าข้างทาง กลายเป็นที่ขบขันของผู้คนทั้งใต้หล้า”
“ก็ดีกว่าการเป็นหญิงงามล่มเมืองอีกคนหนึ่ง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นใจอย่างลึกซึ้งขึ้นมา
“ไม่แน่ว่าจะเป็นอย่างนั้นหรอก” ชิงหวั่นส่ายศีรษะ “อย่างน้อยนางก็สูญหายไปอย่างสวยงาม ทำให้คนทั้งหมด ไม่ว่าจะคิดดีหรือปองร้ายต่อนางล้วนไม่อาจตามเบาะแสร่องรอยของนางได้อีก สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ”
“นางล่วงลับไปแล้วล่ะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายหน้า น้ำตารื้นขึ้นมาอย่างอดไม่ไหว
“หรือว่า…” ชิงหวั่นตระหนักถึงคำถามที่ถูกนางละเลยขึ้นมาทันที หญิงสาวที่งามล่มเมืองทั้งหลักแหลมเหนือผู้คนนั้นไฉนจึงมาแต่งกับพ่อค้าคนหนึ่งได้?
“ท่านแม่ของข้าสกุลจง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวประโยคหนึ่งอย่างรวบรัดให้กับชิงหวั่นที่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“ข้าว่าพวกเรามีเรื่องอีกมากมายที่อยากจะพูดคุยกันแน่นอน” ชิงหวั่นถอนหายใจ
“นั่นสิ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เสียใจอยู่บ้าง แต่ก็ควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้อย่างรวดเร็ว กล่าวยิ้มๆ “เพียงแต่ไม่ใช่ยามนี้ ท่านดูสิ มีคนกังวลมากว่าพวกเราอยู่ด้วยกันจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ชิงหวั่นเผยยิ้มขมขื่น กลับเห็นมู่หรงปั๋วเย่และซั่งกวนเจวี๋ยถลาเข้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว ใบหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยยังแฝงไปด้วยความร้อนใจและกังวล พวกเขาคงกังวลว่าตัวเองจะทำร้ายหญิงสาวตรงหน้าผู้นี้กระมัง!
“นามของท่านคือเยี่ยนมี่เอ๋อร์ใช่หรือไม่?” ชิงหวั่นจำที่มู่หรงปั๋วเย่แนะนำให้ฟังได้อย่างเลือนราง
“ใช่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ กล่าวแย้มยิ้ม “อนาคตยังอีกยาวไกล พวกเรามีเวลาให้คุยกันมากมาย คุณหนูชิงหวั่นไม่มีความจำเป็นต้องผิดหวังถึงเพียงนี้”
“มี่เอ๋อร์…” ซั่งกวนเจวี๋ยมองเห็นภรรยาปลอดภัยไม่เป็นอันใด ก็ร้องเรียกอย่างวางใจเล็กน้อย
“ดูท่าแล้ว น้องเจวี๋ยจะดีกับท่านมาก” แววตาของชิงหวั่นปรากฏความอิจฉา เมื่อใดกันที่นางจึงจะสามารถมีไหล่ที่ให้พึ่งพาได้?
เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง ส่งสายตารู้สึกผิดให้ชิงหวั่นเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวไปหาคนที่เป็นห่วงตนเองผู้นั้น…
——————–