เจียงป่าวชิงรินชาสามถ้วย ขอทานตัวน้อยหนึ่งถ้วย สงเชินหนึ่งถ้วย และให้ตัวนางเองหนึ่งถ้วย แต่ตอนที่นางยกชาขึ้นดื่ม กลับพบว่าไม่ว่าจะเป็นขอทานตัวน้อยหรือสงเชิน ต่างก็ไม่มีใครเคลื่อนไหวใด ๆ กันทั้งสิ้น
ช่างเถอะ
เจียงป่าวชิงตัดสินใจดื่มคนเดียว นางไม่สามารถบังคับคนอื่นได้ และนางเองก็ขี้เกียจจะบังคับด้วย
ทว่าจู่ ๆ มือที่ถือถ้วยชาของเจียงป่าวชิงชะงักไปทันที
เดี๋ยวก่อนนะ! แล้วทำไมนางถึงต้องนึกอยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของกงจี้ด้วยล่ะ ?
อืม… คงเป็นเพราะหมออย่างนางอยากปฏิบัติหน้าที่และรับผิดชอบเขาอย่างเต็มที่ ถึงอย่างไรกงจี้ก็คือผู้ป่วยที่นางควรดูแล
เจียงป่าวชิงครุ่นคิด ขณะนี้ในหัวของนางเต็มไปด้วยความสับสน นางคิดอะไรไม่ออก ราวกับสมองกลายเป็นแป้งเปียกไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
ขอทานตัวน้อยกระแอมไอและมองเจียงป่าวชิงอย่างระมัดระวัง “พี่สาว พี่จะไม่ถามอะไรข้าเลยหรือ ?”
เจียงป่าวชิงสะดุ้งเบา ๆ พลางดึงสติกลับมา นางวางถ้วยชาในมือลงแล้วพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ข้าถามแน่นอน เพราะถึงยังไงก็ไม่มีสิ่งใดที่ได้มาโดยเปล่าประโยชน์อยู่แล้ว” นางไตร่ตรองอยู่สักครู่ “เรื่องที่ท่านซุนคนนั้นเปิดโรงทานอยู่ที่จังหวัดหยูเฟิงเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ?”
ขอทานตัวน้อยแค่นเสียงหัวเราะเยาะ น้ำเสียงเหมือนเค่นออกมาจากในลำคออย่างไรอย่างนั้น “เป็นเรื่องจริง ทำไมจะไม่จริงล่ะ ?” ขอทานตัวน้อยเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงกัดฟันพูดต่อ “เขาน่ะเป็นพวกพูดเพราะกว่าร้องเพลงอีก สร้างโรงทานอะไรนั่นเพื่อรับคนไร้บ้านอย่างพวกข้า และให้คนไร้บ้านอย่างพวกข้าได้มีที่พักอาศัย… พูดดีนักนะ ถุย!”
เจียงป่าวชิงเห็นขอทานตัวน้อยโกรธแค้นมาก ท่าทางเหมือนอยากเขมือบซุนจงอี้ให้รู้แล้วรู้รอด นางจึงครุ่นคิดสักครู่
“ไม่ใช่…” เจียงป่าวชิงทำให้ขอทานตัวน้อยพูดต่อ “ข้าเคยได้ยินท่านซุนคนนั้นคุยโม้กับคนอื่นว่าเขาจัดสรรเงินหลายพันตำลึงให้กับโรงทานทุกปี ค่าใช้จ่ายนี้ไม่น้อยเลยนะ”
พูดมาถึงตรงนี้ ขอทานตัวน้อยก็ยิ่งโมโหจนตัวสั่น “พี่สาว พี่อย่าไปหลงกลไอ้หมาซุนเชียวนะ! เงินหลายพันตำลึงอะไร ที่ตกมาในโรงทานจริง ๆ เหลืออยู่ไม่กี่ร้อยตำลึงก็ถือว่าดีมากโขแล้ว”
เจียงป่าวชิงพูดอย่างครุ่นคิด “หืม ? เงินหลายพันตำลึงกับไม่กี่ร้อยตำลึงนี่ต่างกันมากอยู่พอสมควรเลยนะ”
เจียงป่าวชิงกำลังครุ่นคิดในใจว่าที่แท้การทุจริตในวงการสาธารณประโยชน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ลงชื่อในนามสาธารณประโยชน์ แต่กลับเอาทรัพย์เข้ากระเป๋าตัวเอง
เลวจริง!
ขอทานตัวน้อยคิดว่าเจียงป่าวชิงไม่เชื่อ จึงพูดขึ้นอย่างร้อนรนว่า “พี่สาว ข้าเห็นว่าพี่หน้าตาสะสวยถึงได้บอกเรื่องพวกนี้กับพี่ ไอ้หมาซุนนั่นไม่ใช่คนดีอะไร พี่อย่าถูกเขาหลอกล่ะ แม้จะบอกว่าโรงทาน แต่เอาจริง ๆ ก็แค่รับคนแก่ไร้บ้านไม่กี่คนมาเพื่อทำเอาหน้าเท่านั้น เมื่อมีคนจากเบื้องบนมาดูงาน ไอ้หมาซุนนั่นก็จะพาคนจากเบื้องบนไปดูคนแก่พวกนั้น ยามปกติเขาเลี้ยงคนไร้บ้านจำนวนหนึ่งไว้เช่นกัน แต่คนเหล่านั้นต่างเป็นพวกอันธพาลข้างถนนที่ว่างการว่างงาน ซึ่งพวกเขาทั้งหมดเป็นหมาทาสของไอ้หมาซุนนั่น! ไอ้หมาซุนเลี้ยงพวกเขาไว้เพื่อให้พวกเขาทำเรื่องเลว ๆ แทนตัวเอง”
ขอทานตัวน้อยกัดฟันแน่น อาจเป็นเพราะคำพูดเหล่านี้ติดอยู่ในใจมานานจึงพูดมันออกมาอย่างไม่ปิดบัง อีกทั้งยังกระแทกกระทั้นใส่อารมณ์ “แรกเริ่มพอข้าได้ยินว่าไอ้หมาซุนจะสร้างโรงทาน พวกเราทุกคนต่างดีใจมาก อย่างน้อยต่อไปก็จะได้มีที่กินข้าวสักที แต่หลังจากที่ไปเข้าแถว มีเพียงคนที่ยอมช่วยไอ้หมาซุนทำเลวเท่านั้นถึงจะมีข้าวกิน! พวกเขาไม่ให้ข้าวกับเด็กอย่างเราแม้แต่คำเดียว แล้วยังให้พวกเดียวกันมาขับไล่เราออกไปอีกต่างหาก…” เล่ามาถึงตรงนี้ ขอทานตัวน้อยก็หยุดเพื่อเช็ดน้ำตาที่รื้นตรงขอบตา
“ก่อนหน้านี้ข้ายังมีน้องชายอีกคน แต่เพราะคนพวกนั้นขับไล่เราออกไป น้องชายข้าจึงหกล้มตีลังกา เดิมทีร่างกายของเขาก็ผอมแห้งแรงน้อยเพราะไม่ได้รับอาหารที่ดีมาเป็นเวลานานอยู่แล้ว แน่นอนว่าเขาอ่อนแอมาก เขาจากไปทั้งอย่างนั้น…”
เจียงป่าวชิงเห็นขอทานตัวน้อยร้องไห้อย่างน่าสงสารนางก็รู้สึกเศร้าสลด ทั้งสองมือของขอทานลูบไล้ไปทั่วใบหน้า ทำให้ใบหน้ายิ่งสกปรกมากกว่าเดิม นางจึงอดไม่ได้ที่จะส่งผ้าเช็ดหน้าให้และพูดว่า “เจ้าเช็ดน้ำตาเถอะ”
ขอทานตัวน้อยหดมือไม่ยอมรับไว้ แล้วพูดด้วยเสียงปนสะอื้น “ฮึก ๆ พี่สาว ข้า… ข้าสกปรกเกินไป ไม่ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าหรอกเจ้าค่ะ”
เจียงป่าวชิงจึงต้องช่วยขอทานตัวน้อยเช็ดหน้า “เจ้าพูดอะไร ผ้าเช็ดหน้ามีไว้ใช้ไม่ใช่หรือ ?”
ขอทานตัวน้อยตัวแข็งทื่อ นางปล่อยให้เจียงป่าวชิงเช็ดหน้าให้ จากนั้นผิวหนังใสสะอาดในแบบของเด็กเจ็ดแปดขวบก็เผยออกมาให้เห็นเล็กน้อย
เจียงป่าวชิงถอนหายใจ
ตอนที่จับขอทานตัวน้อยคนนี้ได้ นางดูออกตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าอันที่จริงขอทานตัวน้อยคนนี้เป็นเด็กผู้หญิง เพียงแต่นางอายุยังน้อย รูปร่างจึงยังไม่เจริญเติบโต และเสียงก็ยังไม่เปลี่ยน อีกทั้งใบหน้านางยังเต็มไปด้วยคราบเขม่าเปื้อนจนดำ ทำให้คนมองไม่ออกว่าแท้จริงแล้วนางก็คือเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
เมื่อได้ยินขอทานตัวน้อยบอกว่านางเคยมีน้องชายหนึ่งคน ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าเพราะอะไรขอทานตัวน้อยถึงได้ทำตัวเองให้อยู่ในสภาพนี้
ถ้าหากว่าเป็นอย่างที่ขอทานตัวน้อยบอกจริง ๆ ซุนจงอี้คนนั้นก็ถือว่ากำเริบเสิบสานและน่าเกลียดเกินไป
เจียงป่าวชิงทิ้งเศษเงินและเหรียญทองแดงให้ขอทานตัวน้อยนิดหน่อย จากนั้นก็โบกมือให้นาง “เจ้าดูแลตัวเองดี ๆ ถ้ามีวาสนาเราคงจะได้เจอกันอีก”
ขอทานตัวน้อยกำผ้าเช็ดหน้าแน่น นางกัดฟันมองเจียงป่าวชิงที่จากไปพร้อมกับองครักษ์ ในใจของนางก็เต็มไปด้วยความปรารถนา
พี่สาวหน้าตาน่ารักคนนั้น นางสวยมาก แต่งกายก็ดูดี แม้แต่ตอนพูดก็ยังดูดีมากเช่นกัน…
จู่ ๆ ขอทานตัวน้อยก็ตะโกนไปทางด้านหลังของเจียงป่าวชิง “พี่สาว ข้าชื่ออาฉิงเจ้าค่ะ ฉิงที่มาจากคำว่าท้องฟ้าแจ่มใส”
เจียงป่าวชิงหันกลับไปโบกมือให้ขอทานตัวน้อยอย่างใจดี “อาฉิง เรามีวาสนาร่วมกันจริง ๆ ข้าชื่อป่าวชิง ชิงที่มาจากคำว่าสีเขียวน่ะ”
ขอทานตัวน้อยยิ้มอย่างซื่อ ๆ
ตอนที่เจียงป่าวชิงกับองครักษ์กลับมาถึงที่บ้าน กงจี้ก็กลับมาแล้ว และเขากำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่ในห้องหนังสือ
เจียงป่าวชิงกลับไปที่ห้องของตัวเอง ส่วนสงเชินมารายงานไป๋จี
“แม่นางเจียงกินขนมน้ำตาล เสี่ยวหลงเปา ฟองเต้าหู้ต้ม ขนมแป้งทอด เกี๊ยวน้ำสองถ้วย…” สงเชินรายงานไป๋จี
ไป๋จีส่งเสียงอุทานทันที “โอ้! แม่นางเจียงกินเก่งจริง ๆ”
สงเชินชะงักไปเล็กน้อย “เป็นเช่นนั้นจริงด้วยขอรับ อ้อ และแม่นางเจียงยังได้รู้จักกับขอทานตัวน้อยคนหนึ่งด้วย”
เขายังไม่ทันได้รายงาน เจียงป่าวชิงก็เก็บของเสร็จแล้ว ในเช้าวันนี้นอกจากไปกิน นางยังซื้อของติดไม้ติดมือกลับมาอีกด้วย และตอนนี้นางกำลังเคาะประตูอยู่ด้านนอก “คุณชายกงอยู่หรือเปล่า ? ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้าสักหน่อย”
ไป๋จีเห็นนายท่านของเขามองเขา เขาจึงไปเปิดประตูและเห็นเจียงป่าวชิงยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าประตู “แม่นางเจียง เที่ยวสนุกไหม ?”
เจียงป่าวชิงเดินเข้าไปด้านในและพูดกับไป๋จีไปด้วย “อืม ใช้ได้เลย นายท่านของเจ้าล่ะ ?”
ไป๋จีชี้ไปทางห้องหนังสือ
กงจี้กำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ เขาได้ยินเจียงป่าวชิงเข้ามาแล้ว แต่เขากลับไม่เงยหน้าขึ้นมาและยังคงเขียนต่อไปราวกับไม่กลัวว่าเจียงป่าวชิงจะเห็นอย่างไรอย่างนั้น
เจียงป่าวชิงเดินถือถาวสุนเล็ก ๆ ไว้อยู่ในมือ จากนั้นนางนำไปวางที่ข้างโต๊ะหนังสือของกงจี้
ถาวสุนเป็นเครื่องดนตรีที่ทำจากดินชนิดหนึ่ง นางเป่าไม่เป็น แต่เห็นว่ามันทำอย่างประณีตและขนาดก็กะทัดรัดดี จึงตั้งใจซื้อกลับมาเป็นของขวัญให้กงจี้
เจียงป่าวชิงเห็นว่ากงจี้กำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่ จึงขยับเข้าไปดูด้วยความสงสัย ทว่าเมื่ออ่านได้เพียงบรรทัดเดียว นางก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าหวาดกลัว “คุณชายกง… เจ้ากำลังเขียนเกี่ยวกับสิ่งลับและสิ่งสำคัญอยู่ ข้าเข้ามาแล้วแต่เจ้ากลับไม่เตือนข้าสักคำ นี่เจ้าตั้งใจหาเหตุผลฆ่าปิดปากข้าใช่ไหม ?”
กงจี้เขียนเสร็จพอดี เขาวางพู่กันบนที่วางอย่างเกียจคร้าน จากนั้นก็พูดขึ้นยิ้ม ๆ “เจ้าแนะนำได้ดีมาก แล้วข้าจะเก็บไว้พิจารณา”
เจียงป่าวชิงรู้ว่ากงจี้กำลังล้อนางเล่น แต่หัวใจของนางยังคงเต้นเร็วอย่างบ้าคลั่ง
นางอ่านไปไม่เยอะ เห็นเพียงหกคำเท่านั้น
“ข้ารู้แล้ว ข้าควรฆ่าทิ้งทั้งตระกูล” กงจี้พูดด้วยสีหน้าราบเรียบ
ฆ่าทิ้งทั้งตระกูล!
เจียงป่าวชิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามผ่อนคลายอารมณ์แล้วพูดขึ้น “เอ่อ… ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะมีเรื่องจะคุยกับเจ้า…”