กงจี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าที่เจ้ารู้จักกับเด็กขอทานอะไรนั่นคงจะไม่ได้รู้จักโดยเปล่าประโยชน์อย่างนั้นสิ ใช่ไหมล่ะ ?”
ไป๋จีที่อยู่ด้านข้างหยุดหายใจไปชั่วขณะทันที เมื่อสักครู่นายท่านของเขากำลังเขียนสิ่งสำคัญเช่นนั้นอยู่ แต่ยังสามารถแยกความคิดออกมาฟังพวกเขาคุยเล่นกันได้อีก
เจียงป่าวชิงเองก็ไม่แปลกใจที่กงจี้พอจะรู้แล้ว นางทำเพียงพยักหน้า “องครักษ์สงบอกเจ้าแล้วรึ ? โรงทานนั่นต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน”
กงจี้ยืดตัวตรงเล็กน้อย สีหน้าของเขาจริงจังขึ้นไม่น้อยเลยในเวลานี้ “นั่งลงแล้วค่อย ๆ เล่ามา”
ดูเหมือนว่าสงเชินจะยังไม่ได้พูดถึงจุดสำคัญ เจียงป่าวชิงจึงเล่าให้กงจี้ฟังถึงเรื่องปัญหาเกี่ยวกับโรงทานที่อาฉิงบอกกับนางอย่างละเอียด และมีพูดเสริมอีกนิดหน่อย “แน่นอนว่าข้าไม่ได้ฟังคำพูดของอาฉิงอย่างเดียว ข้ายังไปเยี่ยมเยือนผู้คนมากมายที่มีชีวิตลำบากยากเข็ญอีกด้วย… เดิมทีข้าอยากไปที่โรงทาน แต่ไม่ทันได้เข้าไปใกล้ก็มีคนตื่นตัวและขับไล่ข้ากับองครักษ์สงออกมาเสียก่อน เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาใหม่ที่จะแทรกเข้ามา ข้ากับองครักษ์สงจึงกลับมาก่อน”
“เจียงป่าวชิง” จู่ ๆ กงจี้ก็เรียกชื่อเจียงป่าวชิง
เจียงป่าวชิงชะงักไปทันที “อะไรรึ ?”
ดวงตาที่เหมือนบ่อน้ำลึกของกงจี้สะท้อนภาพของเจียงป่าวชิง เขาพูดขึ้นอย่างช้า ๆ “เจ้าบอกข้ามาว่าทำไมเจ้าถึงทำแบบนี้ ?”
เจียงป่าวชิงกัดริมฝีปากล่างและหลบสายตาของกงจี้ “ข้าทำก็เพื่อคอยดูว่าข้าจะสามารถช่วยอะไรเจ้าได้บ้างหรือเปล่า”
“ทำไมเจ้าถึงอยากช่วยข้าล่ะ ?” เสียงพูดแบบเกียจคร้านอย่างแต่ก่อนของกงจี้แฝงความบีบบังคับอยู่เล็กน้อย
เจียงป่าวชิงเกิดความสับสนวุ่นวายในใจอย่างไม่รู้ตัว นางลุกขึ้นทั้งที่ขมวดคิ้วเป็นปม “เจ้ารีบทำธุระให้เสร็จเถอะ เราจะได้กลับกันเร็ว ๆ… ได้ ถึงยังไงข้าก็ได้บอกสิ่งที่รู้ทั้งหมดให้เจ้าทราบแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อนแล้วกัน” พูดเสร็จ นางก็จากไปราวกับกำลังหลบหนี
กงจี้ส่งเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา จากนั้นสายตาของเขาก็ไปหยุดที่ถาวสุนซึ่งวางอยู่ข้างโต๊ะหนังสือ
สายตาของเขาพลันแข็งกระด้างไป เขาหยิบถาวสุนมาถือไว้ในมือ เล่นมันและครุ่นคิดเรื่องอะไรบางอย่างไปด้วย
ไป๋จีที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้น “ฟังดูแล้ว ซุนจงอี้ชื่อซุนจงอี้ แต่สิ่งที่เขาทำทั้งหมดกลับไม่ซื่อสัตย์และชอบธรรมเหมือนดั่งชื่อ สิ่งที่เขาทำคือการยักยอกเงินของโรงทาน ไม่ใช่โทษเล็ก ๆ เลยนะนั่น…”
พูดถึงตรงนี้ กงจี้ก็ชำเลืองมองไป๋จีด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าส่งคนคนไปตรวจสอบเรื่องโรงทานดี ๆ”
สีหน้าไป๋จีเคร่งขรึม เขาพูดและทำท่าคารวะไปด้วย “ได้ขอรับ”
……
วันที่เจียงป่าวชิงเดินทางกลับ มีกองทหารจำนวนมากมายังเขตนอกเมืองโดยแต่ละคนอยู่ในชุดเกราะ เมื่อนายทหารที่นำหน้าแสดงข้อความจากเบื้องบน ทหารเฝ้าเมืองก็ไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว พวกเขาทำเพียงเปิดประตูเมืองตรงกลางออกอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น
พวกนายทหารระดับชั้นประทวนเข้าไปในเมืองอย่างรวดเร็ว แต่วินัยทหารกลับเข้มงวด ไม่มีการก่อความวุ่นวายให้กับชาวบ้านชาวเมืองของจังหวัดหยูเฟิงแม้แต่น้อย พวกเขาควบม้าผ่านไปเร็วมาก มุ่งหน้าตรงไปที่จวนของซุนจงอี้
เจียงป่าวชิงนั่งอยู่ในรถม้าซึ่งหลบอยู่ด้านข้าง หลังจากที่พวกนายทหารระดับชั้นประทวนผ่านไปแล้ว ไป๋จีถึงจะสะบัดแส้ม้าและบังคับรถม้าจากไป
เจียงป่าวชิงปล่อยม่านรถที่เลิกขึ้นเพียงเล็กน้อยลงอย่างเงียบ ๆ นางรู้จักผู้นำคนนั้น เขาคือหลิวหมิงอัน คนที่พูดคุยกับนางตรงหน้าบ้านเมื่อครั้งก่อน
เจียงป่าวชิงเม้มริมฝีปาก นางไม่อยากเปลืองความคิดเพื่อไปคาดเดาว่ากงจี้เป็นใครอีกแล้ว
ในความเป็นจริง ไม่ว่ากงจี้จะเป็นใคร หลังจากที่ขาของเขาหายดี นางกับเขาก็จะไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กันอีกตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป
เจียงป่าวชิงหลับตา เอนตัวพิงผนังรถม้าเพื่องีบหลับ
…
ผ่านไปไม่กี่วัน ในที่สุดเจียงป่าวชิงก็กลับมาถึงชีหลี่โว สถานที่นี้ทั้งล้าหลังและแห้งแล้ง ทว่ามันกลับเป็นสถานที่ที่เจียงป่าวชิงคิดถึงอยู่ในใจตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา นางคิดถึงเจียงหยุนชานพี่ชายของนาง คิดถึงเจ้าเสี่ยวหวงกับเจ้าเสี่ยวป๋ายที่อยู่ในบ้านกลางป่าเขา คิดถึงสวนผักในบ้านประมาณว่าจะถูกเจ้าลูกสุนัขสองตัวย่ำยีหรือเปล่า…
รถม้ามาจอดนิ่งอยู่ตรงหน้าบ้านหลังเล็ก เจียงป่าวชิงโบกมือให้กงจี้ที่อยู่ในรถม้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร นางหันกลับไปเคาะประตูบ้านเบา ๆ
กงจี้ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “หึ! รีบจริง”
ไป๋จีพูดขึ้น “เอาหน่านายท่าน ถึงยังไงแม่นางเจียงก็ห่างบ้านมาเป็นเวลานาน นางคงคิดถึงคนที่บ้านเป็นธรรมดานะขอรับ”
กงจี้ส่งเสียงหัวเราะเยาะเบา ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ประตูบ้านเปิดออก แต่คนในบ้านกลับทำให้คนที่รออยู่หน้าประตูคาดไม่ถึงอยู่พอสมควร นั่นก็คือเฉียนเซียงเซียง
เมื่อเฉียนเซียงเซียงเห็นเจียงป่าวชิง นางเองก็ตกตะลึงเช่นกัน ต่อมาสายตาของนางก็ไปหยุดที่รถม้าด้านหลัง ซึ่งในขณะนี้กงจี้ยังไม่ได้ปิดม่านรถ จึงทำให้นางเผชิญหน้ากับกงจี้
เฉียนเซียงเซียงแก้มแดงปานลูกตำลึงสุกทันที ดวงตานางเหมือนอยากจะเอาไปแนบติดอยู่บนตัวกงจี้อย่างไรอย่างนั้น
“เฉียนเซียงเซียง ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่บ้านข้า ?” เจียงป่าวชิงขมวดคิ้วด้วยความฉงนสงสัย
เฉียนเซียงเซียงเป็นลูกสาวคนเล็กของเจียงเหลียนฮัว นางโดนให้ท้ายตั้งแต่ยังเล็กและเคยรังแกเจียงป่าวชิงไม่น้อย ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เจียงป่าวชิงก็ไม่คิดว่าเฉียนเซียงเซียงจะมาโผล่อยู่ในบ้านของนางได้
เฉียนเซียงเซียงถลึงตาใส่เจียงป่าวชิงและพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนแอ้น “ที่ข้าอยู่บ้านของเจ้าก็เพราะข้าให้เกียรติเจ้าไงเล่า!”
เจียงป่าวชิงหัวเราะเยาะเย้ย จากนั้นจับแขนของเฉียนเซียงเซียงแล้วกระชากนางออกไปด้านนอกอย่างไม่เกรงใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าดูถูกข้านั่นแหละดีแล้ว ออกไปซะ”
ทำลายสิ่งสวยงามด้วยวิธีป่าเถื่อนไร้ความปราณี
เฉียนเซียงเซียงไม่คาดคิดว่าเจียงป่าวชิงจะตรงไปตรงมาขนาดนี้ นางกรีดร้องแต่ตาของนางกลับมองไปที่กงจี้ “เฮ้คุณชายคนนั้นน่ะ ท่านช่วยข้าด้วยสิ”
“เล่ห์เหลี่ยมเยอะนักนะ” เจียงป่าวชิงจงใจพูดให้เฉียนเซียงเซียงได้ยินคนเดียว ไม่รู้เพราะอะไร นางถึงได้พูดแขวะเสียอย่างนั้น
เฉียนเซียงเซียงขอร้องให้กงจี้ช่วย เจียงป่าวชิงไม่รู้ว่านางควรพูดแขวะเกี่ยวกับความกล้าหาญของเฉียนเซียงเซียงหรือแขวะว่านางเพ้อฝันดี
เจียงป่าวชิงปล่อยมือแล้วยืนกอดอกมองเฉียนเซียงเซียงที่ทำท่าทางน่าสงสารด้วยสายตาเย็นชา
เฉียนเซียงเซียงยกแขนขึ้น เมื่อแขนเสื้อตกลงมาก็เผยให้เห็นแขนที่ขาวราวกับรากบัว บนแขนยังมีรอยแดงเล็กน้อยด้วย เห็นดังนั้นนางจึงพูดขึ้นโดยทำปากจู๋อย่างน่ารัก “คุณชายดูสิ แขนข้าเป็นรอยแล้วด้วยนะ”
เจียงป่าวชิงหัวเราะเยาะ
และเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ กงจี้ขมวดคิ้วด้วยสีหน้ารังเกียจทันที “หญิงบ้านี่มาจากไหนกัน ?” จากนั้นเขาก็ปล่อยม่านรถลง
เขาทำท่าทางรังเกียจเหมือนมีอะไรมาขัดหูขัดตาทำนองนั้น
เฉียนเซียงเซียงยังยกแขนค้างไว้อยู่ โดนเมินขนาดนี้ ถ้านางไม่อับอายและตัวแข็งทื่อกลางอากาศไปก็บ้าแล้ว
เด็ดขาดและโหดร้ายดิบเถื่อน… นี่ล่ะคุณชายกง!
เจียงป่าวชิงขี้เกียจสนใจเฉียนเซียงเซียงแล้วเช่นกัน นางอยากไปถามพี่ชายของตัวเองจริง ๆ ว่าทำไมเขาถึงปล่อยให้เฉียนเซียงเซียงเข้ามาในบ้านอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้
ตอนนี้เจียงหยุนชานที่อ่านหนังสืออยู่ในบ้านก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวแล้วเช่นกันจึงรีบวิ่งออกมา เมื่อเห็นเจียงป่าวชิงเขาก็ดีใจมาก “โอ้! ป่าวชิง เจ้ากลับมาแล้ว”
สองพี่น้องพบกันอีกครั้ง ต่างคนต่างมีเรื่องจะพูดคุยกันมากมาย แต่เจียงป่าวชิงกลับไม่มีความคิดที่จะพูดคุยอะไรในตอนนี้ นางสังเกตเจียงหยุนชานอย่างละเอียด เมื่อเห็นว่าสีหน้าของพี่ชายของนางค่อนข้างดีอยู่พอสมควร และดูเหมือนว่าแขนจะหายจนเกือบดีแล้ว ซึ่งภาพรวมนี้ไม่เหมือนกับมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น นางจึงพลิกมือกลับไปและชี้เฉียนเซียงเซียงที่ยังคงทำสีหน้าน้อยใจอยู่ตรงประตู “พี่หยุนชาน นั่นน่ะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”
เจียงหยุนชานเองก็ปวดหัวมาก “อย่าไปพูดถึงเลย ข้าเองก็ใกล้กลุ้มใจตายอยู่แล้ว”
ที่แท้ช่วงนี้เจียงเหลียนฮัวได้คุยเกี่ยวกับครอบครัวหนึ่งให้กับเฉียนเซียงเซียงแล้ว ทางบ้านของฝ่ายนั้นเป็นเจ้าของที่ดินไม่เล็กไม่ใหญ่ ถือได้ว่าอุดมสมบูรณ์เลยทีเดียว นอกจากนี้ ที่บ้านยังซื้อสาวใช้สองคนไว้ปรนนิบัติรับใช้อีกด้วย และถือได้ว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยในชนบทเลยก็ว่าได้
แต่ทว่าเมื่อเฉียนเซียงเซียงเห็นเด็กคนนั้น นางก็ส่ายหน้ายิ่งกว่ากลองสั่นเสียอีก นางไม่ชอบที่เขาสูงกว่านางเพียงไม่มาก นางคิดว่าเขาเตี้ยเกินไป
ไม่ว่าแม่ของนางจะเกลี้ยกล่อมมากเพียงใด พร้อมทั้งบอกว่าเขายังสามารถสูงได้อีกในอนาคต แต่เฉียนเซียงเซียงเป็นคนที่โดนให้ท้ายมาตั้งแต่ยังเล็ก ไม่ว่าแม่ของนางจะพูดอย่างไร นางก็ไม่เห็นด้วยแม้แต่อย่างเดียว
เจียงเหลียนฮัวปฏิบัติกับเฉียนเซียงเซียงเสมือนนางเป็นสิ่งล้ำค่าในมือตั้งแต่เฉียนเซียงเซียงยังเล็ก นางจะทำใจคุยหาคนไม่ดีให้กับลูกสาวของตัวเองได้อย่างไร ? เด็กคนนั้นเพิ่งอายุสิบห้าปีเอง พ่อแม่ของเขาต่างตัวสูงกันทั้งนั้น เขาต้องสูงขึ้นอีกอย่างแน่นอน
แต่เฉียนเซียงเซียงคนนี้กลับไม่ยอมละทิ้งความคิดเอาแต่ใจของตนเองแม้แต่น้อย เห็นดังนั้น เจียงเหลียนฮัวจึงพูดคำพูดที่รุนแรงใส่นาง เป็นเหตุให้นางที่ได้ยินเข้า ร้องห่มร้องไห้วิ่งหนีออกจากบ้านในที่สุด
ใช่… ไม่ผิด ในยุคสมัยนี้ เฉียนเซียงเซียงหนีออกจากบ้านได้แล้วจริง ๆ
.