ตอนที่ 156 ทุบประตูบ้าน

แม่สาวเข็มเงิน

เฉียนเซียงเซียงฉลาดมาก จุดประสงค์ที่นางหนีออกจากบ้านก็เพื่อคัดค้านเรื่องการแต่งงานที่แม่ของนางจัดให้นาง แต่นางก็ไม่อยากทำให้ชื่อเสียงของตัวเองเสื่อมเสียด้วยเช่นกัน นางจึงย้ายมาอยู่ที่บ้านของเจียงป่าวชิงเสียเลย

ไม่ว่าจะอย่างไร เจียงป่าวชิงยังคงเป็นญาติกับนาง นางมาหลบอยู่ที่นี่ก็ทำเป็นว่ามาเยี่ยมญาติ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนอื่นจะนินทาอะไรได้ ?

แต่เฉียนเซียงเซียงไม่คิดว่าเจียงป่าวชิงจะบังเอิญ ‘ออกไปทำธุระข้างนอก’ พอดี ที่บ้านจึงเหลือเพียงเจียงหยุนชานคนเดียว แต่นางมาแล้ว หากว่าให้กลับไปอีกก็คงจะเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

เฉียนเซียงเซียงเองก็ไม่สนใจเจียงหยุนชานเช่นกัน ในความเห็นของนาง เจียงหยุนชานเป็นเพียงปัญญาชนบอบบางที่แบกรับสิ่งต่าง ๆ ไม่ไหว ใคร ๆ ต่างบอกว่าเขาเป็นปัญญาชนที่ไร้ประโยชน์ เขาจะเห็นด้วยที่นางจะมาหลบอยู่ที่นี่ชั่วคราวหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยด้วยซ้ำ

ในความเป็นจริงคือเจียงหยุนชานทำอะไรเฉียนเซียงเซียงไม่ได้เลยจริง ๆ

เด็กสาวคนนี้นั่งลงในบ้านด้วยท่าทางที่งามหยดย้อย ไม่ว่าใครจะพูดอะไร นางก็จะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แม้ว่าจะตีหน้าขรึมหรือขับไล่นางออกไป นางก็สามารถแสดงออกโดยการออดอ้อนเคล้าน้ำตาให้คนคนนั้นได้เห็นทันที

ปัญญาชนที่อยู่กับร่องกับรอยอย่างเจียงหยุนชานจะเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ที่ไหนกัน เขาจึงต้องหนีกระเจิงไปในที่สุดและปล่อยให้เฉียนเซียงเซียงทำตามใจตัวเองทั้งอย่างนั้น

ตอนที่กำลังกลุ้มใจ เจียงหยุนชานกลับไม่คิดว่าน้องสาวของเขาจะกลับมาในเวลานี้

เมื่อเจียงป่าวชิงฟังจบแล้ว นางก็ส่งเสียงหัวเราะเยาะพลางคิดว่าเหตุใดเฉียนเซียงเซียงถึงอยากบีบบังคับคนอื่นเพื่อให้ตัวเองได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านของคนอื่นเช่นนี้ด้วย ?

“ทางฝั่งของท่านปู่สองกับท่านย่าสองรู้เรื่องนี้หรือเปล่า ?” เจียงป่าวชิงเอ่ยถาม

เจียงหยุนชานถอนหายใจ “เหตุใดจะไม่รู้ ตอนที่เซียงเซียงมาที่นี่ตอนเช้า ตอนบ่ายท่านย่าสองก็พาคนมาก่อเรื่องวุ่นวายที่นี่เลย โชคดีที่องครักษ์ของบ้านคุณชายกงช่วยไว้ จึงไม่ได้มีเรื่องใหญ่โตอะไรเกิดขึ้น… ใช่แล้ว ข้าต้องไปขอบคุณคุณชายกงสักหน่อยแล้ว”

“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ” เสียงของกงจี้ดังออกมาจากในรถม้า จากนั้นเขาก็หยุดพูดแล้วเคาะผนังรถเล็กน้อย

ไป๋จีเข้าใจได้ทันที เขาจึงประสานกำปั้นให้เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชาน “นายท่านของข้าเหนื่อยจากการเดินทาง ขอตัวกลับไปพักก่อน”

เมื่อเฉียนเซียงเซียงได้ยินดังนั้น นางก็ร้อนใจอยู่เล็กน้อย แต่นางเองก็ไม่มีวิธีอะไรที่จะพูดคุยกับกงจี้อยู่ดี เมื่อสักครู่ที่พยายามตีสนิทเขาก็เกือบถูกตบหน้าเข้าให้แล้ว นางจึงทำได้เพียงมองรถม้าของกงจี้เคลื่อนเข้าไปในบ้านข้าง ๆ ทั้งอย่างนั้น

นัยน์ตาของเฉียนเซียงเซียงเป็นประกายทันที นางอยากพักอาศัยอยู่ที่บ้านของเจียงป่าวชิงเป็นเวลานานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่าเมื่อนางหันหน้ากลับมาก็เห็นเจียงป่าวชิงปิดประตูบ้านด้วยสีหน้าเย็นชา ปล่อยนางไว้อยู่นอกประตู

เฉียนเซียงเซียงร้อนรนถึงกับเดินเข้าไปทุบประตู “เจียงป่าวชิง! นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร ? ข้าเป็นน้องสาวของเจ้า แต่เจ้ากลับทำกับข้าเช่นนี้เนี่ยน่ะรึ ?”

หากพูดตามความจริง เฉียนเซียงเซียง เจียงป่าวชิง และเจียงหยุนชานต่างเกิดปีเดียวกัน เพียงแต่ต่างกันที่เดือนเกิด และไม่มีใครเคยพูดอะไรประมาณว่าเป็นพี่สาวน้องสาวมาก่อน นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้

เจียงป่าวชิงพูดขึ้นนิ่ง ๆ จากในประตูว่า “ข้ามีแค่พี่ชายหนึ่งคน น้องสาวอะไรนั่นมาจากไหนกัน ?”

เฉียนเซียงเซียงโกรธอย่างมาก นางไม่คิดว่าเจ้าปัญญาอ่อนที่ปล่อยให้นางขยี้จนแบนเมื่อก่อนจะตบหน้านางได้ในตอนนี้

“ป่าวชิง! เหตุใดเจ้าถึงไร้ความรู้สึกและไร้ความเมตตาได้ขนาดนี้ ?” เฉียนเซียงเซียงร้องไห้ “เราเป็นญาติกันไม่ใช่รึ ?”

เจียงป่าวชิงที่ในเวลานี้ไร้ความรู้สึกหัวเราะเยาะ “หึ ๆ ข้าพบว่าพวกเจ้าไม่อยากให้เราเป็นญาติกันในตอนที่พวกเจ้ารังแกคนอื่น แต่ตอนที่วิ่งมาเอาเปรียบข้า แต่ละคนกลับชอบหยิบยกเรื่องญาติมาอ้าง ความสัมพันธ์แบบญาติเป็นแค่อิฐก้อนหนึ่งที่ต้องการใช้เมื่อไหร่ก็ทำการย้ายเมื่อนั้นอย่างนั้นสิ ?”

เฉียนเซียงเซียงตกใจจนพูดไม่ออก ถึงขนาดลืมแสร้งทำเป็นร้องไห้ไปชั่วขณะเลยทีเดียว

หลังจากที่เจียงป่าวชิงไม่ปัญญาอ่อนแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เฉียนเซียงเซียงพูดคุยกับนาง เมื่อก่อนนางเองก็เคยได้ยิน ‘คุณงามความดีและเกียรติภูมิ’ ของเจียงป่าวชิงตอนอยู่ที่บ้าน แม่ของนางก็ก่นด่าเจียงป่าวชิงให้ฟังไม่น้อย เมื่อก่อนเฉียนเซียงเซียงยังไม่ใส่ใจอะไร นางคิดว่าเจ้าปัญญาอ่อนคนหนึ่ง แม้ว่าสติปัญญาจะกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่ถึงอย่างไรการที่เคยปัญญาอ่อนมาเป็นเวลานานก็คงจะไม่สามารถกลับมามีชีวิตชีวาได้เหมือนคนธรรมดาทั่วไปขนาดนั้นหรอก

แต่วันนี้เจียงป่าวชิงกลับทำให้นางเห็นแล้วว่าอะไรคือการมีชีวิตชีวา อะไรที่เรียกว่าฝีปากดี

เวลานี้นางยังรู้สึกเจ็บที่ข้อมืออยู่เล็กน้อย ตั้งแต่เล็กจนโต เฉียนเซียงเซียงเคยได้รับความไม่เป็นธรรมแบบนี้ที่ไหนกัน ?

เจียงป่าวชิงไม่สนใจว่าเฉียนเซียงเซียงจะได้รับความไม่เป็นธรรมหรือไม่ หลังจากที่นางปิดประตูแล้ว นางก็ถือห่อผ้าเล็ก ๆ และจูงเจียงหยุนชานกลับเข้าไปในตัวบ้าน

เจียงหยุนชานยังคงหันไปมองด้านหลังอย่างลังเล “ป่าวชิง… เจ้าจะปล่อยให้นางอยู่ด้านนอกแบบนั้นรึ ?”

เจียงป่าวชิงส่งเสียงหัวเราะคิกคัก “ฮิ ๆ ปล่อยนางไว้อย่างนั้นแหละพี่ นางอยู่ที่ไหนก็ได้ ข้าไม่สนใจ แต่อย่าเข้ามาในบ้านเราก็พอ” พูดเสร็จ เจียงป่าวชิงก็ทำปากแบนอีกครั้ง “พี่ น้องสาวพี่ห่างบ้านไปตั้งหลายวัน พี่ไม่สนใจข้าแล้ว นี่พี่ยังไปเป็นห่วงคนอื่นอีก”

เจียงป่าวชิงพูดจนเจียงหยุนชานรู้สึกละอายใจทันที “ป่าวชิง ข้าไม่ได้…” เขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกเจียงป่าวชิงหัวเราะขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน “ฮ่า ๆ ๆ พี่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นแล้ว ข้าซื้อของจากข้างนอกมาให้พี่ด้วย เข้าไปดูในบ้านกันดีกว่าว่าข้าซื้ออะไรมาบ้าง”

สองพี่น้องเดินเข้าไปในบ้านอย่างมีความสุข  จะไปสนใจเฉียนเซียงเซียงที่ยังคงทุบประตูอยู่ทำไมกันล่ะ ?

เมื่อเข้ามาในห้องแล้วและปิดประตู เสียงต่าง ๆ ก็เบาลง

ตอนนี้เจียงหยุนชานถึงจะทำการสังเกตเจียงป่าวชิงอย่างละเอียด “อื้ม เหมือนหน้าเจ้ากลมขึ้นนิดหน่อย ดูเหมือนว่าคุณชายกงจะดูแลดีอยู่พอสมควรนะ”

เจียงป่าวชิงลูบหน้าตัวเองอย่างยากที่จะเชื่อ “ไม่ใช่! พี่… พี่เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของข้าหรือเปล่า ? โดยปกติ ตอนนี้พี่ต้องพูดด้วยความห่วงใยว่า ป่าวชิง เจ้าดูสิเจ้าผอมอย่างกับอะไรแล้ว… เช่นนี้มิไม่ใช่รึ?”

เจียงหยุนชานงงงวยไปทันที “แต่ข้าเห็นว่าเนื้อบนใบหน้าเจ้ามีเยอะขึ้นจริง ๆ ซึ่งมันเป็นเรื่องดีนะ”

“พอแล้วพอเลย ข้ารู้แล้ว” เจียงป่าวชิงยื่นแขนออกมาหนึ่งข้างเพื่อขัดขวางไม่ให้เขาทำร้ายจิตใจนางได้อีกต่อไป

นางกำลังเจริญเติบโต เนื้อบนหน้าเยอะแล้วมันจะทำไม

ปัง ๆ ๆ!

สองพี่น้องกำลังคุยกันอยู่ดี ๆ  จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากข้างนอก ซึ่งไม่เหมือนเสียงของเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่กำลังเคาะประตู แต่เหมือนมีชายร่างกายกำยำล่ำสันกำลังทุบประตูอย่างไรอย่างนั้น นอกจากนี้ ยังมีเสียงก่นด่าราง ๆ อีกด้วย

เจียงป่าวชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นนางก็เปิดประตูห้องจึงทำให้ได้ยินเสียงชัดเจนขึ้น และได้ยินเสียงใครบางคนกำลังก่นด่าอยู่นอกบ้านด้วย

“ไอ้คนชั่วหน้าไม่อาย ไอ้ลูกแม่ไม่สั่งสอน ไม่รู้จักมารยาทเลยสักนิด!”

ใบหน้าของเจียงหยุนชานขาวซีดทันที

แม่ของพวกเขาจากไปเร็ว พ่อของพวกเขาเลี้ยงพวกเขามาจนถึงตอนที่พวกเขาอายุหกขวบ  ถึงแม้ว่าเจียงหยุนชานจะไม่เคยพูด แต่เขากลับรู้สึกทรมานมากที่ไม่มีเงาของแม่อยู่ในความทรงจำของเขาเลย

การที่หยิบยกเรื่องนี้มาทิ่มแทงใจคนอื่นช่างเป็นอะไรที่โหดเหี้ยมเกินไปจริง ๆ

เจียงป่าวชิงมองเจียงหยุนชานเล็กน้อย สีหน้าของเธอเองก็แย่มากเช่นกัน

……

เฉียนเซียงเซียงหนีออกจากบ้าน คนที่ร้อนใจที่สุดเห็นจะเป็นเจียงเหลียนฮัว เจียงเหลียนฮัวใจร้อนเหมือนถูกเผา นางออกตามหาลูกสาวทั่วทุกแห่งอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้ให้ใครรู้เช่นกัน เพราะถ้าหากว่ามีคนรู้ว่าลูกสาวของนางหนีออกจากบ้าน พวกเขาจะต้องสงสัยว่าลูกสาวของนางหนีตามใครไปอย่างแน่นอน

โชคดีที่เจียงเหลียนฮัวได้รับข่าวสารจากทางฝั่งบ้านแม่ของนางในตอนบ่าย บอกว่าเฉียนเซียงเซียงหนีไปที่บ้านของเจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิง

คนที่มาส่งข่าวคือเจียงเอ้อยา นางพูดใส่ไฟว่าเฉียนเซียงเซียงถูกคนควบคุมตัวไว้ ไม่หมดเพียงเท่านั้น องครักษ์ที่อยู่บ้านข้าง ๆ ยังต่อยผู้คนที่ตามหาลูกสาวของนางอีกด้วย

ได้ฟังดังนั้น เจียงเหลียนฮัวก็อยากหยิบคราดในบ้านไปสู้ให้รู้แล้วรู้รอด

.

.

.