บทที่ 129 ติ๊ง ตาลุงของเจ้าเปิดโปรแล้ว

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 129 ติ๊ง ตาลุงของเจ้าเปิดโปรแล้ว
ที่ราบหมอกลับแลที่ถูกหมอกวิญญาณพิเศษปกคลุมตลอดทั้งปีมีความลึกลับอย่างยิ่ง แนวตั้งตรงของที่ราบนี้มีระยะทางห่างกันหลายพันลี้ มีพลังวิญญาณพิเศษปกคลุม

ในละแวกใกล้เคียงที่ราบหมอกลับแลแห่งนี้ปิดกั้นจิตสัมผัส กระทั่งยังส่งผลถึงการขี่กระบี่บิน

ผู้ฝึกบำเพ็ญที่เดิมทีขี่กระบี่บินหนึ่งวันได้หมื่นลี้ยังได้แต่ลงเดินพื้นที่นี่

ตอนนี้ช่วงกระแสหมอกในรอบยี่สิบปีเริ่มขึ้นแล้ว จึงมีผู้ฝึกบำเพ็ญจำนวนมากมารวมกันที่ที่ราบหมอกลับแล

เมื่อพวกเสิ่นเทียนมาถึงที่ราบหมอกลับแลแล้ว สิ่งที่เห็นคือเมืองเล็กที่รุ่งเรืองและคึกคักอย่างยิ่งเมืองหนึ่ง

ใช่ สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญแล้วการจะสร้างเมืองเล็กไม่ใช่เรื่องยากจริงๆ แค่ใช้วิชาธาตุน้ำ ไม้และดินไม่กี่วิชาก็สร้างได้ กระทั่งเสิ่นเทียนยังเห็นพวกผู้ฝึกบำเพ็ญที่กำลังก่อสร้างอยู่ เห็นใช้วิชาธาตุไม้สร้างสามห้องนอนหนึ่งห้องรับแขกกับตา

เนื่องจากช่วงกระแสหมอกทำให้หมอกวิญญาณสลายไปในช่วงกลางวันและขึ้นมาใหม่ในช่วงกลางคืน ดังนั้นเมืองเล็กแห่งนี้จึงเปิดในช่วงกลางวัน

ช่วงที่แสงตะวันแรกยามเช้าตรู่เพิ่งส่องสะท้อนบนเมืองเล็กลับแล ผู้ฝึกบำเพ็ญที่ทำการค้าขายมากมายก็เริ่มส่งเสียงร้องขายของ

“เร่เข้ามาๆ ผ่านมาอย่าได้พลาดเชียว! โอสถรักษาแผลชั้นดี คนเป็นตายเห็นกระดูกขาวยังบำรุงหยินบำรุงหยางได้!”

“ว่านหมอกเก็บจากที่ราบหมอกลับแล ว่านวิญญาณขั้นสองชั้นดี ตอนนี้ลดราคาให้ซื้อสองแถมหนึ่ง หมดแล้วหมดเลยนะ!”

“เบญจมาศวิญญาณครองคู่ประจำถิ่นของที่ราบหมอกลับแล ซื้อกลับไปบดทำเป็นของเหลว ช่วยกระตุ้นความรักในชีวิตคู่ เจ้าดีนางก็ดีเช่นกัน!”

“สหาย เจ้าต้องการหวายจองจำเซียนหรือไม่ ข้ามีเมล็ดหวายจองจำเซียนอยู่เม็ดหนึ่ง เห็นแก่ที่เจ้ากับข้ามีวาสนาต่อกัน จะลดให้เจ้าสองส่วนว่าอย่างไร!”

……

พวกเสิ่นเทียนเพิ่งก้าวเข้ามาในเมืองเล็กหมอกลับแลก็เป็นที่สนใจของคนกลุ่มใหญ่ทันที

ถึงอย่างไรด้วยหน้าตาของจางอวิ๋นซีกับเสิ่นเทียน ไม่ว่าใครก็เป็นจุดเด่นของหมู่ชน ทว่าหลังจางอวิ๋นซีปะทุพลังดุร้ายแห่งพยัคฆ์ขาวอันน่าเกรงขามแล้ว คนพวกนั้นก็ถอยไปด้วยความหวาดกลัว

จ้าวเฮ่าพูดโน้มน้าว “สหายเสิ่น เจ้าจะเข้าไปในที่ราบหมอกลับแลจริงๆ หรือ ข้าได้ยินมาว่าในนั้นชั่วร้ายมากนะ”

เสิ่นเทียนพูดด้วยรอยยิ้ม “อ้อ สหายจ้าวรู้จักที่ราบหมอกลับแลนี่ดีเลยรึ”

จ้าวเฮ่าพยักหน้า “ข้ามีสหายอยู่คน เมื่อก่อนไม่ระวังเข้าไปในที่ราบหมอกลับแล ปรากฏว่าไปเจอหญิงงามเลิศล้ำคนหนึ่งในนั้น หญิงงามคนนั้นสำแดงวิชามายาล่อลวงสหายข้า สหายข้าเกือบจะเอาไม่อยู่ ต้องรีบหันหนี แต่ตอนที่เขาจะออกมา หญิงงามคนนั้นกลับกลายเป็นหวายยักษ์หนามากๆ

หวายยักษ์นั่นมัดสหายข้าไว้ ทั้งยังจะกระทุ้งเข้าไปในปากสหายข้าใหญ่เลย ถ้าไม่ใช่เพราะมีสุดยอดฝีมือไว้หนวดเคราหนาคนหนึ่งช่วยไว้ เขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้”

เสิ่นเทียนจ้องจ้าวเฮ่าด้วยความสงสัย เขาสงสัยว่าเจ้านี่กำลังกุเรื่องขึ้นมา!

อีกอย่างเจ้ามั่นใจนะว่าเรื่องนี้คือฉบับสำเนาของที่ราบหมอกลับแล เพื่อนเจ้าคงไม่ได้ไปวัดผีหลันลั่วหรอกกระมัง!

เสิ่นเทียนถาม “ในเมื่อสหายเจ้าเจออันตรายในที่ราบหมอกลับแล แล้วเหตุใดถึงไม่บอกกับทุกคนล่ะ”

จ้าวเฮ่าพูดด้วยความจนปัญญา “บอกกับทุกคนจะมีประโยชน์อะไร ผู้ฝึกบำเพ็ญออกไปฝึกฝน มีที่ใดไม่เสี่ยงอันตรายบ้าง อย่างน้อยมองจากสถานการณ์ช่วงกระแสหมอกในรอบหลายพันปีมานี้ คนที่เข้าไปหาประสบการณ์ในที่ราบหมอกลับแลก็ได้ผลประโยชน์กันมาเยอะ ปุถุชนเห็นเพียงผู้ชนะที่ได้เก็บเกี่ยวว่านวิญญาณ กระทั่งได้หวายจองจำเซียน แต่ไม่เห็นว่ามีซากศพเท่าไรกลางหมอกลับแล”

นัยน์ตาของจ้าวเฮ่ายังคงมีความหวาดผวา “สรุปข้าได้ยินสุดยอดฝีมือไว้เคราหนาท่านนั้นบอกว่าอย่าโดนหมอกลับแลพวกนี้ปกคลุมเด็ดขาด

หวายยักษ์นั่นเหมือนจะออกจากพื้นที่หมอกปกคลุมไม่ได้ แค่ไม่เข้าไปในพื้นที่หมอกลับแลก็จะไม่เจอปัญหาใหญ่ แต่หากเข้าไปในเขตหมอกลับแลลึกๆ ต่อให้เป็นผู้สูงศักดิ์ระดับดวงจิตดรุณก็หลงทางถูกขังอยู่ในนั้นได้ง่ายๆ ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงจะมีแนวโน้มไปทางร้ายมากกว่าดี”

เสิ่นเทียนอึ้งไป “แม้แต่ผู้สูงศักดิ์ระดับดวงจิตดรุณก็ยังตายตกหรือ”

จ้าวเฮ่าพยักหน้า “อย่างน้อยก็ตามที่ข้ารู้มาคือตลอดหลายร้อยปีมานี้ ผู้ฝึกบำเพ็ญที่ถูกหมอกวิญญาณปกคลุมเพราะความละโมบทุกคนไม่มีใครได้ออกมาแบบเป็นๆ เลย”

เสิ่นเทียนเบะปาก “เหมือนกับว่าเจ้าไม่ใช่คนอย่างนั้นแหละ”

จ้าวเฮ่ารีบแก้ต่าง “ข้าใจเย็น ได้ความรู้ของยอดฝีมือช่วยไว้ ไม่อย่างนั้นคงตายไปนานแล้ว”

เสิ่นเทียนเหมือนมีความคิดบางอย่าง “ถ้าเช่นนั้นยอดฝีมือคนนั้นได้ถ่ายทอดวิชาอะไรให้เจ้าหรือไม่ จากนั้นก็บอกเจ้าว่าห้ามบอกคนอื่นว่าเจ้าเคยพบเขาหรือไม่”

จ้าวเฮ่าชะงักงัน “เอ่อ เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ข้า เป็นสหายข้า ข้าไม่เคยพบยอดฝีมือท่านนั้น”

เสิ่นเทียนพยักหน้าด้วยความจำใจ “ใช่ๆ เจ้าไม่ได้บอกว่าเคยพบยอดฝีมือท่านนั้น แต่เป็นสหายเจ้าพบ สหายจ้าว จู่ๆ เจ้าก็ธาตุไฟเข้าแทรกสิ้นพลังบำเพ็ญทั้งหมด ใช่เพราะวิชานั่นหรือไม่”

เสิ่นเทียนพูดจบ จ้าวเฮ่านิ่งอึ้งไปเลย “สหายเสิ่น เจ้าจะเก่งเกินไปแล้ว!”

ความจริงแล้วที่จ้าวเฮ่าธาตุไฟเข้าแทรกก็เพราะฝึกฝนเคล็ดอัคคีกระบี่ผลาญฟ้าที่ ‘เจ้ากระบี่สุริยะฟ้า’ ถ่ายทอดให้

ตามที่เจ้ากระบี่สุริยะฟ้าบอกมา เขาเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญพเนจร เคยได้เศษม้วนคัมภีร์จักรพรรดิสุริยะมาโดยบังเอิญ

ผนวกกับวิถีกระบี่ที่ตนร่ำเรียนมา ใช้เวลาหลายพันปีในที่สุดก็สร้างคัมภีร์เซียนที่สุดแห่งยุคขึ้นมาแขนงหนึ่ง นั่นคือเคล็ดอัคคีกระบี่ผลาญฟ้า

การฝึกฝนเคล็ดกระบี่แขนงนี้ ก่อนหน้าทุกครั้งที่จะทะลวงเขตแดนพลัง จะต้องใช้ปราณกระบี่ไฟลุกโหมหล่อหลอมกายหยาบและตันเถียน ซึ่งอันตรายอย่างยิ่ง

แต่ทุกครั้งหลังจากหล่อหลอมสำเร็จ กายหยาบและตันเถียนจะแข็งแกร่งขึ้นมาก เรียกได้ว่าการฝึกฝนทั้งปราณและกายเหนือกว่าผู้ฝึกบำเพ็ญในระดับเดียวกันขาดลอย

เจ้ากระบี่สุริยะฟ้าเรียกวิธีการฝึกฝนเช่นนี้ว่า ‘อัคคีกระบี่เก้ารอบ’ ซึ่งจ้าวเฮ่าเกิดเหตุร้ายในตอนรอบที่สองนี่เอง เพราะขณะฝึกฝนอยู่นั้นได้รู้ว่าบิดาตนหายตัวไป สภาพจิตใจเสียการควบคุม อัคคีกระบี่ในกายปั่นป่วนไปหมดจึงทำอันตรายกับจุดตันเถียน

พลังวิญญาณทั่วร่างสลายหายไป ฐานรากมรรคถูกอัคคีกระบี่ฟันเป็นรอยแตก เรียกได้ว่าสิ้นพลังบำเพ็ญ

จ้าวเฮ่าไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร แล้วเสิ่นเทียนรู้ได้อย่างไรกัน

……..

พอเห็นจ้าวเฮ่าทำหน้าตระหนกตกใจแล้ว เสิ่นเทียนก็เบะปากแสดงออกว่าไม่ได้กดดัน

เรื่องแบบนี้ยังต้องเดาอีกหรือ บทตัวเอกมุทะลุแต่มีสกิลพระเอกอย่างเจ้าเนี่ย ไม่ใช่ว่าต้องมีระบบอาจารย์ไร้พ่ายจากสวรรค์ให้รึ

และที่สำคัญกว่านั้นคือช่วงที่ทุกคนเพิ่งก้าวเข้าเมืองเล็กหมอกลับแล เสิ่นเทียนเห็นภาพมหัศจรรย์ภาพหนึ่ง

นั่นคือบนศีรษะทุกคนในกลุ่มของตนปรากฏภาพโชคลิขิต โดยเฉพาะของจ้าวเฮ่าน่าตกตะลึงที่สุด มองจากภาพโชคลิขิตนั้นของจ้าวเฮ่า เสิ่นเทียนเห็นภาพจ้าวเฮ่าได้พบกับยอดฝีมือคนนั้นอีกครั้ง

ไม่นึกเลยว่าเจ้านี่จะมีระบบโกงจากพระเจ้าจริงๆ ด้วย นี่มันสวัสดิการของพระเอก!

น่าเสียดายก็แต่ผู้อาวุโสสุดยอดคนนั้น เห็นๆ อยู่ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งสุดยอด แต่มองจากภาพโชคลิขิตของจ้าวเฮ่าแล้ว เกรงว่าคงจะไม่รอด

อาจารย์เปิดโปร พลังฤทธิ์ไร้ที่สิ้นสุด!

แน่นอน เสิ่นเทียนไม่คิดจะห้าม และห้ามไม่ได้ด้วย

เพราะแม้แต่ตาลุงนั่นอยู่ที่ใดเขายังไม่รู้ เลยไม่รู้ว่าเจ้านั่นจะสิ้นชีพอย่างไร

สิ่งที่เขาเห็นคือเสี้ยววิญญาณของตาลุงนั่นมาพร้อมกับดาวตกเปลวไฟดวงหนึ่ง ก่อนจะชนกับศีรษะของจ้าวเฮ่าดังตึงอย่างสวยงาม

จากนั้นตาหลานที่ไม่ได้เจอกันหลายปีสองคนก็เริ่มคุยกันถึงเรื่องในอดีต ก่อนจ้าวเฮ่าจะถูกพาตัวเหาะไป

เสิ่นเทียนเห็นภาพโชคลิขิตนั้นแล้วยังร้องอิจฉา นี่มันบทพระเอกมุทะลุไร้สมองชัดๆ!

…..

ไม่ได้การแล้ว โชคลิขิตยิ่งใหญ่เช่นนี้ จะไม่เกาะไปได้หรือ

เมื่อคิดได้ดังนั้นเสิ่นเทียนจึงพูดด้วยความเศร้าสลด “สหายจ้าว โอกาสมาถึงแล้ว ข้าเสี่ยงอันตรายโดนวิถีสวรรค์แว้งกัดจนในที่สุดก็มองเห็นโอกาสมีชีวิตของเจ้าได้ทางหนึ่งแล้ว!”

……………………….