บทที่ 130 เจ้าคุกเข่าตรงนี้อย่าขยับ

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 130 เจ้าคุกเข่าตรงนี้อย่าขยับ
เสี่ยงอันตรายโดนวิถีสวรรค์แว้งกัดจนในที่สุดก็เห็นหนทางรอดของข้ารึ

จ้าวเฮ่ามองสีหน้า ‘จริงจัง’ ของเสิ่นเทียนพลางใจสั่นไหว เกิดความซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง

ตั้งแต่เขาธาตุไฟเข้าแทรกจนสิ้นพลังบำเพ็ญทั้งหมด ยังไม่เคยมีใครจริงใจและไม่เห็นแก่ตัวกับเขาเช่นนี้มาก่อน

แม้จ้าวเฮ่าจะไม่เคยฝึกฝนวิชาเซียนเกี่ยวกับการทำนายมาก่อน แต่ก็เคยได้ยินมาว่าการทำนายความลับสวรรค์ทุกแขนงล้วนฝืนต่อสวรรค์

ต่อให้เป็น ‘การค้นวิญญาณประเมินแร่’ ที่พื้นฐานที่สุดในการทำนายความลับสวรรค์ก็ยังโดนวิถีสวรรค์เกลียดชัง กระทั่งวัยชราอาจจะเจอกับโรคภัยกลายเป็นหิน

การส่องหินแร่วิญญาณหรือชีพจรวิญญาณของภูมิประเทศเทือกเขายังถูกแว้งกัดได้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงการส่องชะตาชีวิตของคนหนึ่ง

ปกติถ้าไม่ใช่ญาติพี่น้องแท้ๆ กัน ใครจะยอมโดนวิถีสวรรค์แว้งกัดช่วยเปลี่ยนชะตาให้เจ้าโดยไม่ได้รับผลตอบแทนกัน

เมื่อคิดถึงตรงนี้จ้าวเฮ่าก็พูดด้วยดวงตาร้อนผ่าว “สหาย แซ่จ้าวพิกลพิการเช่นนี้ ควรค่าให้เจ้าฝืนสวรรค์ทำนายชะตาให้รึ”

เสิ่นเทียนยิ้ม “ช่วยไม่ได้ ข้ากับสหายจ้าวเพิ่งเจอกันแต่ดวงสมพงศ์กัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าเจ้าไม่ใช่คน…ไม่ใช่คนธรรมดา สหายจ้าวเจ้าโดดเด่นองอาจห้าวหาญ รอบกายมีร่างจำแลงมังกรสวรรค์ทรงอำนาจคอยปกป้องอยู่ลับๆ ภายภาคหน้าจะต้องเป็นสุดยอดโอรสสวรรค์แห่งยุคจนไม่อาจกล่าวได้อย่างแน่นอน

ตอนนี้พลังบำเพ็ญเจ้าสูญสิ้นเป็นแค่มังกรหลับบนชายน้ำตื้นเท่านั้น เมื่อไรที่ลงมหาสมุทรอีกครั้ง จะมาพร้อมกับคลื่นยักษ์หมื่นลี้ร้องคำรามด้วยความโอหังดังสวรรค์เก้าชั้น!”

เสิ่นเทียนพูดพร้อมกับดึงจ้าวเฮ่า “สหายจ้าว ข้าทำนายทิศทางการฝืนสวรรค์เปลี่ยนชะตาให้เจ้าได้แล้ว ตามข้ามา!”

เมื่อเห็นเสิ่นเทียนลากจ้าวเฮ่าพุ่งไปทางตะวันออกของเมืองเล็กหมอกลับแลแล้ว รอยยิ้มของจางอวิ๋นซีค่อยๆ แข็งค้าง

นัยน์ตาฉินอวิ๋นตี๋เต็มไปด้วยความเลื่อมใส ไม่นึกเลยว่าศิษย์พี่จะไม่ได้แค่ชำนาญมหามรรคหยินหยางทวนวารี แต่ยังฝึกควบวิถีแห่งการทำนายความลับสวรรค์อันลึกล้ำด้วย

สมกับเป็นศิษย์พี่ พรสวรรค์ความปราดเปรื่องเช่นนี้ มิน่าแม้แต่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ยังคิดว่าเขาจะนำพาให้แดนศักดิ์สิทธิ์ของเราให้ยิ่งใหญ่ขึ้น!

ฉินเกาถอนหายใจโล่งอก แม้องค์ชายจะยังไม่มีคู่ครอง แต่ก็เหมือนจะสนิทกับจ้าวเฮ่ามาก

แบบนี้…ก็ดีเหมือนกัน

ทางด้านกุ้ยกงกงเหมือนนึกอะไรออกจึงทำหน้าเข้าใจแจ่มแจ้ง

มิน่าช่วงนี้องค์ชายถึงทำตัวแปลกๆ เช่นนี้ ทั้งค้นพบคัมภีร์มารสู่สุริยันในหออักษรหลวงอย่างน่าประหลาด และยังอ่านหินแร่วิญญาณออกอีก

ที่แท้องค์ชายก็ฝึกฝนวิถีแห่งการทำนายความลับสวรรค์ที่สูงส่งและลึกล้ำอย่างยิ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าไปเรียนมาจากผู้สูงส่งท่านใด

ซี้ด หรือว่าในตำหนักใจพิสุทธิ์จะมีสุดยอดผู้สูงส่งที่ลึกลับไม่อาจคาดเดาได้ซ่อนตัวอยู่ตลอด

ที่แท้องค์ชายก็มีผู้สูงส่งคอยปกป้องมาตลอด มิน่าธาตุไฟเข้าแทรกแปดสิบแปดครั้ง ถึงได้รอดพ้นมาได้ทุกครั้ง

มี ‘อาจารย์’ ลึกลับท่านนั้นปกป้องอยู่ ภายภาคหน้าองค์ชายถือว่าปลอดภัยแล้ว หากพระสนมหลานในแดนปรโลกรู้เข้าจะต้องยิ้มร่าไปทั่วแดนปรโลกอย่างแน่นอน

ขอไม่เอ่ยถึงความคิดหลากหลายในใจเจ้าพวกนี้แล้วกัน ความคิดในใจเสิ่นเทียนง่ายมาก นั่นคือเกาะจ้าวเฮ่าไปตามภาพโชคลิขิต

ในภาพโชคลิขิตนั้น เขาเห็นจ้าวเฮ่าไหว้มารดากลางหุบเขาแห่งหนึ่งทางชายแดนตะวันออกของเมืองหมอกลับแล ปรากฏว่าโดนดาวตกจากฟ้าพุ่งใส่ตรงๆ

หลังจากทะลวงระดับสร้างฐานสำเร็จ เสิ่นเทียนก็มีพลังจิตเพิ่มมา ความจำเหนือกว่าคนธรรมดาที่ไม่เคยฝึกบำเพ็ญหลายเท่า จำรายละเอียดทุกอย่างได้อย่างแม่นยำ

เขาพาจ้าวเฮ่ามาตามการคาดเดาทิวทัศน์ภูเขาและแม่น้ำตามภาพตรงชายแดนตะวันออกของเมืองหมอกลับแล ไม่นานก็มาถึงหุบเขาสวยงามลูกนั้น

ช่วงที่เดินเข้าหุบเขานั้น จ้าวเฮ่าสูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง “สหายเสิ่น เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าหลุมศพมารดาข้าอยู่ที่นี่”

เสิ่นเทียนตอบนิ่งๆ “สหายจ้าวมีปัญจธาตุไฟ มีรูปแบบชะตามังกรชาด ต้องใช้พลังชีวิตแห่งธาตุไม้เสริมกัน ข้าเคยทำนายว่าที่นี่กับสหายจ้าวมีกรรมทางสายเลือดที่ไม่อาจตัดขาด ซึ่งนี่คือแดนผาสุกที่จะปลุกสหายจ้าวให้ตื่นพุ่งทะยานขึ้นฟ้า”

เสิ่นเทียนเดินไปกลางหุบเขาอย่างสงบนิ่ง ก่อนมาหยุดหน้าหลุมศพที่มีช่อไม้ดอกระย้าสีสันสวยงาม นั่นคือหลุมศพของมารดาจ้าวเฮ่า

จ้าวเฮ่าคุกเข่าลงหน้าหลุมศพช้าๆ ก่อนพูดขึ้น “ท่านแม่ชำนาญวิชาธาตุไม้ ชอบดอกไม้ในป่าเขามาตลอด ดังนั้นก่อนเสียจึงขอให้ฝังนางที่นี่ ท่านแม่ ลูกอกตัญญู ทำให้ท่านผิดหวัง หากท่านในแดนปรโลกรู้เข้า ก็หวังว่าท่านจะปกป้องให้ลูกคนนี้ได้ฟื้นพลังบำเพ็ญมาในเร็ววันด้วย!”

เสิ่นเทียนตบๆ บ่าของจ้าวเฮ่า “สหายจ้าว จำนวนห้าสิบแห่งวิถีสวรรค์ มันลิขิตไว้ว่าสี่สิบมีเก้า อีกหนึ่งที่เหลือคือพลังชีวิต พลังชีวิตของเจ้าอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ ขอแค่เจ้าเฝ้าหลุมศพให้มารดาในหุบเขาแห่งนี้สามวันสามคืน ภายในสามวันนี้จะต้องมีโชคลิขิตจากสวรรค์ช่วยให้มังกรคะนองน้ำหลับใหลอย่างเจ้าลงสู่ทะเล ให้มังกรซ่อนอย่างเจ้าออกจากหุบเหว วิหคเทพนิพพาน หงส์ร่ายรำสวรรค์เก้าชั้น”

จ้าวเฮ่าพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น “แม้จะไม่มีโชคลิขิต แต่แซ่จ้าวก็จะเฝ้าหลุมศพให้ท่านแม่แสดงความกตัญญูอย่างถึงที่สุดอยู่แล้ว เพียงแต่คำพูดสหายเสิ่นมันดูน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อย แซ่จ้าวแค่คุกเข่าสามวันสามคืนก็จะมีโชคลิขิตจากสวรรค์ฟื้นพลังบำเพ็ญให้ข้ารึ”

เสิ่นเทียนส่ายหน้า “ไม่ใช่อยู่แล้ว ถ้าสหายจ้าวคิดว่าคุกเข่าสามวันสามคืนไม่ไหว จะยืนก็ย่อมได้”

จ้าวเฮ่าส่ายหน้าด้วยความแน่วแน่ “จะทำแบบนั้นได้อย่างไร จิตวิญญาณท่านแม่อยู่บนสวรรค์ยังคอยปกป้องข้า ข้าจะไม่เคารพได้รึ

คุกเข่า! แซ่จ้าวจะคุกเข่าสามวันสามคืนอย่างแน่นอน ขอให้สหายเสิ่นอย่าโน้มน้าวข้าอีกเลย ให้ข้าได้แสดงความกตัญญูอย่างถึงที่สุดเถอะ!”

เสิ่นเทียนเห็นจ้าวเฮ่ามีสีหน้าแน่วแน่แล้วก็จนปัญญาอยู่ในใจ แล้วเขาจะทำอย่างไรดี!

……

ในภาพโชคลิขิตนั้น เสิ่นเทียนเห็นเป็นคืนจันทร์เต็มดวง หรือก็คือน่าจะราวๆ วันที่สิบห้า

วันนี้วันที่สิบสี่แล้ว ตามการคาดการณ์ของเสิ่นเทียน เวลาที่จ้าวเฮ่าจะเจอโชคลิขิตจากฟ้าน่าจะภายในสามวัน

ถึงอย่างไรเสิ่นเทียนก็เห็นจากในภาพโชคลิขิตว่าเป็นโชคลิขิตที่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ไม่มีทางเห็นข้ามไปวันที่สิบห้าเดือนหน้าหรอกกระมัง!

เมื่อเห็นจ้าวเฮ่าคุกเข่าหน้าหลุมศพอย่างแน่วแน่แล้ว เสิ่นเทียนก็พูดด้วยความจำใจ “ในเมื่อสหายเจ้ากตัญญูเช่นนี้ แซ่เสิ่นก็จะไม่พูดโน้มน้าวเจ้าแล้ว”

จากนั้นหยิบเบาะนั่งอันหนึ่งกับอาหารแห้งอีกถุงออกมาจากแหวนเวหา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “สหายจ้าวคุกเข่าอยู่นี้อย่าขยับนะ อาหารแห้งกับเบาะนั่งนี่ให้เจ้า รู้ไว้นะว่าการยืนหยัดคือชัยชนะ สู้ๆ ข้าจะส่งแรงให้!”

พูดจบเสิ่นเทียนก็หมุนตัวจากไป ทิ้งจ้าวเฮ่าที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง

เสิ่นเทียนไม่ใช่แค่เสี่ยงอันตรายถูกวิถีสวรรค์แว้งกัดแก้ปัญหาให้เขา แต่ยังคิดถึงเผื่อเขารอบคอบเช่นนี้ด้วย

เป็นคนที่ทั้งหล่อเหลา ทั้งมีเอกลักษณ์ ทั้งไม่ยอมแพ้ต่อดวงชะตา ซ้ำยังเป็นมิตรกับคนอื่น นี่จะสมบูรณ์แบบเกินไปแล้ว

ตอนนี้ในที่สุดจ้าวเฮ่าก็เข้าใจว่าที่องค์หญิงเสวี่ยอู๋เสียถอนหมั้นไปปันใจให้คนอื่นไม่ใช่แค่เพราะเสิ่นเทียนหน้าตาหล่อเหลาอย่างเดียวเท่านั้น

สหายเสิ่น ได้แพ้ในมือเจ้า ข้าจ้าวเฮ่ายอมรับได้จากใจจริง!

……

อีกด้าน เสิ่นเทียนไม่รู้ว่าจ้าวเฮ่ากำลังใส่เสริมปรุงแต่งในหัวอย่างบ้าคลั่ง ความจริงในใจเขาคือกำลังเจ็บปวดอย่างยิ่ง

บอกไปแล้วว่ายืนเฝ้าหน้าหลุมศพก็ได้ แต่เจ้านี่จะคุกเข่าอย่างเดียว ทั้งยังไม่ให้ข้าโน้มน้าวอีก

แม้จะมีใจกตัญญูอยู่เต็มอกจะน่าซาบซึ้งใจจริงๆ แต่รู้สึกเหมือนว่าข้ากำลังทำร้ายเจ้าอยู่เลย

ช่างเถอะ ถึงอย่างไรต่อให้สิ้นพลังบำเพ็ญทั้งหมด แต่พื้นฐานร่างกายก็ยังอยู่ แค่คุกเข่าสามวันสามคืนไม่น่าจะทำอันตรายจ้าวเฮ่า

อย่างมากรอจ้าวเฮ่าฟื้นพลังบำเพ็ญแล้ว ข้าก็ลากเขาไปแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ค่อยๆ ชดใช้ให้ก็จบ

เมื่อนึกถึงตรงนี้ เสิ่นเทียนก็วางเรื่องของจ้าวเฮ่าไว้ข้างๆ ก่อนเริ่มศึกษาโชคลิขิตของฟางฉาง ก่อนหน้านี้มหาโชคลิขิตที่เห็นเหนือศีรษะฟางฉางอยู่ตรงส่วนลึกหุบเขาหมอกลับแล

ตอนนี้ตะวันโด่งฟ้า อยู่ในช่วงที่หมอกวิญญาณสลายไปมากที่สุดของวัน

เสิ่นเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง ‘ถึงเวลาต้องไปเก็บเกี่ยวสุดยอดโชคลิขิตนั่นแล้ว!’

……………………