บทที่ 132 ผู้สมรู้ร่วมคิด

คู่ชะตาบันดาลรัก

หมิงเวยยิ้มเย็นแล้วหันกลับมา “เอาล่ะ พูดต้นสายปลายเหตุกันจบแล้ว ถึงเวลาคิดบัญชีเสียที!”

นางกวาดตามองไปทั่วแล้วหยุดอยู่ที่นายท่านหก เมื่อเห็นนางค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาตนเอง นายท่านหกก็มีสีหน้าหวาดกลัว

แท่งหยกของเขาถูกหมิงเวยทำลายด้วยน้ำมือของนางเอง พอเห็นหน้านางเขาก็รู้สึกเจ็บที่ท้องน้อย

“เจ้าจะทำอะไร” เขาร้องถาม

หมิงเวยหลุบสายตาลง “ผู้ที่สมควรตายเป็นคนแรกก็คือท่าน หากไม่มีเดรัจฉานอย่างท่าน ท่านแม่คงไม่ต้องตกไปอยู่ในจุดที่แม้แต่ความตายก็ยังไม่สามารถทำได้”

น้ำเสียงของนางเรียบนิ่ง แต่นายท่านหกได้ยินก็รู้สึกหนาวสั่นในใจ โชคดีที่ทันใดนั้นสายตาของนางก็เลื่อนไปมองนายท่านสอง

“ส่วนท่านเป็นคนที่สองที่ผลักนางตกลงไปในนรก!” นายท่านสองก้มหน้าลงไม่กล้ามองนาง หมิงเวยแค่นหัวเราะแล้วมองนายท่านสามที่ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง

“ท่าน…แน่นอนว่าคนสุดท้ายที่สมควรตายก็คือท่าน! เพื่อความทะเยอทะยานของตนเองแล้วแกล้งตายถอนตัวออกมา มองดูภรรยาตนเองตกอยู่ในนรก ไม่แม้แต่จะยื่นมือออกไปช่วยเท่านั้นซ้ำยังผลักนางลงไปอีก!”

นางพูดเสียงเบา “นายท่านสามลงโทษด้วยวิธีฆ่าหั่นศพก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดใช้บาปที่ท่านก่อไป”

ในเวลานี้นายท่านสามเป็นคนที่สงบนิ่งมากที่สุด เขาขาหัก กระดูกสะบักถูกแทงทะลุอีก หยางชูจงใจทำให้เขาทรมาน แม้จะได้รับการรักษา แต่กลับไม่รักษาให้หายดีซึ่งดูไม่ต่างจากคนใกล้ตายเท่าไรนัก

แต่ในเวลานี้เขาดูสงบไม่ว่าหมิงเวยจะพูดอะไรเขาก็ไม่โต้ตอบ

เพราะเขารู้ดีตอนนี้นางเป็นคนมีอำนาจชี้ต้นตายชี้ปลายเป็น ไม่ว่าเขาจะพูดมากแค่ไหนเขาก็ไม่ได้รับความเมตตาอยู่ดีเพราะฉะนั้นไม่พูดจะดีกว่า

หมิงเวยเองก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขาคนอย่างนายท่านสามมีหรือจะพ่ายแพ้ด้วยคำพูดไม่กี่คำ คนที่ต้องสะสางในตอนนี้ไม่ใช่เขารอให้ถึงคราวของเขาก่อน!

หมิงเวยเงยหน้ามองคนอื่น ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านสี่ ฮูหยินสอง ฮูหยินสี่และฮูหยินหก

“ยังมีพวกท่านที่ไม่มีผู้ใดเป็นผู้บริสุทธิ์เลย!”

คนที่โต้เถียงกลับมาคนแรกคือฮูหยินหก นางดูกลัวแต่ก็ไม่ยอมรับ “เกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย นางแอบทำเรื่องลับหลังกับสามีข้า ข้ายังไม่เห็นว่านางเดือดร้อนเลย!”

สิ้นเสียงนั้นก็มีเสียง ‘เพี๊ยะ’ ดังขึ้น เป็นเสียงกระทบที่ดังชัดเจน ศีรษะของฮูหยินหกหันไปด้านข้าง แก้มของนางบวมแดง นางโดนตบหน้า

นางตกใจแล้วถ่มเลือดออกมา

“เจ้า…” ฮูหยินหกไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น นางมองหมิงเวยด้วยความงุนงงและพูดออกมาไม่เป็นภาษา ตบนี้รวดเร็วฉับพลันมาก ภายในห้องไม่มีใครตอบสนองกลับเลยสักคน

หมิงเวยหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดมือสีหน้าของนางเย็นชา “ข้าตบแทนท่านแม่ ท่านมันเป็นหญิงโง่! ตัวเองไม่มีปัญญาห้ามสามีแล้วยังผลักความผิดไปให้ผู้อื่นอีก”

ผ่านไปสักพักฮูหยินหกถึงได้มีปฏิกิริยา ปากของนางชาแล้วยังถูกหมิงเวยต่อว่า นางทั้งรู้สึกเจ็บและอับอายจนร้องไห้ออกมา

หมิงเวยกวาดสายตามองแล้วหยุดอยู่ที่นายท่านสี่ นางพ้นคำพูดออกไป

“การเฝ้ามองอย่างนิ่งดูดายก็ถือว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด!”

นายท่านสี่ที่สำนึกผิดและตำหนิตนเองมาก่อนอยู่แล้วพอได้ยินคำพูดนี้ใบหน้าของเขาซีด รู้สึกจะล้มแหล่มิล้มแหล่ คำว่า ‘ผู้สมรู้ร่วมคิด’ ดังก้องอยู่ในหัวของเขา

ผู้สมรู้ร่วมคิด เขาคือผู้สมรู้ร่วมคิด ผู้สมรู้ร่วมคิดที่ทำให้ฮูหยินสามตกลงมาอยู่ในสถานการณ์นี้…

“ท่านพี่ๆ!” ฮูหยินสี่ตะโกนอย่างเป็นกังวลนางพูดกับหมิงเวย “ถึงแม้ท่านอาสี่ของหลานจะผิด แต่เขาก็สำนึกผิดพอแล้วหลานจะทำเช่นไร ป้ารับแทนเขาเอง!”

“ท่านแม่!” หมิงเฉิงตะโกนหน้าซีด “ไม่ขอรับ เป็นความผิดของลูกเอง ลูกยอมรับแทนเอง!”

“เฉิงเอ๋อร์!”

หมิงเวยมองดูครอบครัวตรงหน้าสามคนอย่างไม่แยแสแล้วพูดกับพวกเขาตรงๆ ไปว่า “ท่านอาสะใภ้สี่ แม้ท่านจะคับแค้นใจ แต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อท่านแม่ ท่านไม่ได้ผิดหลานจึงไม่ได้โกรธเกลียดท่าน พี่สี่ก่อนหน้านี้พี่ทำไปเพราะความสับสน ภายหลังได้แก้ไขเพื่อช่วยกู้สถานการณ์ น้องเองก็ไม่อยากเก็บมาใส่ใจต่อไป ส่วนท่านอาสี่ในบรรดาสัตว์ร้ายในตระกูลหมิง ท่านยังถือว่าเป็นคนอยู่”

พูดถึงตรงนี้นางก็หยุดชะงัก และพูดต่ออย่างเงียบๆ “แต่ข้ารับไม่ได้ที่พวกท่านทั้งครอบครัวรักใคร่กลมเกลียว ในขณะที่ท่านแม่ตายอย่างน่าสังเวช หลังจากที่พวกท่านเสียใจโทษตัวเองแล้วทำไมจากนั้นก็ได้กลับมาเป็นครอบครัวที่รักใคร่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกัน”

นายท่านสี่ตกใจไปชั่วขณะแล้วถามอย่างระวัง “หลานต้องการอะไร”

หมิงเวยหัวเราะอย่างเย็นชา “หลานควรถามว่าท่านอาสี่จะทำเช่นไร!” นางเดินเข้าไปหานายท่านสี่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท่านอาสี่ ท่านบอกหลานมาหน่อย ท่านแม่นอนในนั้นอย่างหนาวเหน็บ นางทุกข์ทรมานมาทั้งชีวิตหากท่านรู้สึกเจ็บปวด ท่านจะต้องลบความผิดก่อนหน้านี้ทั้งหมด นับจากนี้ต่อไปภรรยามีคุณธรรม บุตรกตัญญู นำครอบครัวดำเนินไปตามศีลธรรมวันนี้ท่านยอมรับได้หรือไม่”

สีหน้าของนายท่านสี่ซีดจนน่ากลัวเขาเงยหน้ามองนางตรงๆ

หมิงเวยมองกลับมาอย่างเย็นชา

ในที่สุดนายท่านสี่ก็ทนไม่ไหวเขาพึมพำออกมา “ข้า…ข้าไม่สามารถ…ข้าไม่มีคุณสมบัติ…”

เขาปิดหน้าร้องไห้ออกมา “ขอโทษ ข้าขอโทษ…”

ในที่สุดหมิงเวยก็ถอยออกมา

“หลานบอกแล้วในบรรดาสัตว์ร้ายในตระกูลหมิงท่านอาสี่ยังถือว่าเป็นคน จำเป็นต้องทำอะไรคงไม่ต้องให้หลานพูดเยอะ ชีวิตที่เหลือของท่านต่อจากนี้จะทำเช่นไร จะชดเชยความผิดหรือโยนทิ้งไปก็แล้วแต่ท่านเถิด”

นายท่านสี่ตื่นตระหนก เขามองแม่นมถงที่อยู่ด้านหลังหมิงเวยที่มองเขาด้วยสายตาซับซ้อนยากที่จะเข้าใจแล้วสุดท้ายนางก็ส่งเสีย ‘เหอะ’ ออกมา เบือนหน้าไปทางอื่น เขารู้สึกโหรงเหรงในใจขึ้นมาทันที

หากนางยังมีชีวิตอยู่แล้วรู้เรื่องราวภายในก็คงมีท่าทางเช่นนี้ใช่หรือไม่

ในที่สุดเขาก็สูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดในใจไป…

หมิงเวยเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่า

“ท่านย่า” นางถามเสียงเบา “หลานขอถามท่านสักคำถาม หลายปีมานี้ท่านย่าทราบเรื่องพวกนี้หรือไม่”

สายตาที่มองนางทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจแล้วหลุบสายตามองลง “แม่ของหลานมาคารวะย่าแล้วไปพบกับลูกหกโดยบังเอิญ ลูกหกแอบมองนาง ย่าก็รู้ว่าสัตว์ร้ายตัวนี้มีความคิดชั่วร้าย แต่ไม่คิดว่าเขาจะกล้า…จนกระทั่งวันนั้นแม่ของหลานแขวนคอตาย ย่าถึงรู้ว่าเขาลงมือไปนานแล้ว…”

หมิงเวยพยักหน้า “ท่านย่ารู้ช้าไป หลานคงไม่พูดอะไรอีก การปกป้องบุตรของตนเป็นเรื่องปกติ สิ่งที่ท่านย่าจะเผชิญต่อไปนี้อาจจะโหดร้ายไปหน่อย”

นางยืนอยู่ต่อหน้าฮูหยินสอง

“ท่านป้าสอง ท่านล่ะ”

ฮูหยินสองพูดเสียงเบา “ป้ารู้นานแล้วว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์กันแล้วก็รู้ว่าแม่ของหลานไม่เต็มใจ เพียงแค่…”

“ท่านไม่สนใจ”

ฮูหยินสองพยักหน้า “ป้าไม่มีอะไรจะพูด หากหลานต้องการทำสิ่งใดทำตามที่ต้องการเถิด”

นางอาจจะเป็นคนที่มีอารมณ์สงบที่สุดในตอนนี้ นางเคยคาดไว้ว่าเรื่องนี้จะมาถึง อีกทั้งสำนึกผิดมานานแล้วเป็นเพราะหมิงเวยชี้ทางให้นางเห็นก่อนหน้านี้ ทำให้นางมีโอกาสได้ช่วยลูกตอนนี้นางจึงยินดีที่จะรับผลกระทบที่ตามมา

หมิงฮ่าวทนไม่ได้ “พี่เจ็ด เรื่องนี้ท่านแม่ไม่ผิดนางแค่ไม่มีทางเลือก ท่านพ่อไม่มีทางฟังท่านแม่อยู่แล้ว”

หมิงเวยเดินจากไปแล้ว

นางหยุดอยู่ตรงหน้าเปลอีกครั้งหลุบสายตามองนายท่านหก

“ผู้สมรู้ร่วมคิดได้รับผลกรรมแล้ว ถึงตาท่านแล้วล่ะ”

………………………………………………..