ตอนที่ 147 เกิดเหตุสุวิสัยที่สนามม้า-อวิ๋นเหยาใช้ความรุนแรง 3

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนที่ 147 เกิดเหตุสุวิสัยที่สนามม้า-อวิ๋นเหยาใช้ความรุนแรง 3
กล่าวได้มีเหตุผล! เหยาเยี่ยนอวี่เอ่ยชมในใจ

ทว่าพอมองนัยน์ตาอันลุ่มลึกของคนผู้นี้อีกครั้ง สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที จึงทำปากเม้มแล้วพูดด้วยความเย็นชา “ใครบอกว่าข้าอยากฝึกขี่ม้า ข้าแค่อยากนั่งเล่นบนหลังม้าและเดินไปรอบๆ ชมนกชมไม้เท่านั้น อีกอย่าง ตอนนี้ข้านั่งเล่นจนพอแล้ว ไม่อยากเล่นอีกแล้ว”

กล่าวจบ นางก็ผลักมือของเว่ยจางที่กำลังยื่นบังเหียนม้ามา จากนั้นก็จับอานม้าเอาไว้แล้วไถลลงมา ใช่ คือการไถลลงมา

ม้าทั้งแข็งแกร่งทั้งสูงเยี่ยงนี้ คุณหนูเหยาคงไม่มีความกล้าเหมือนดั่งคุณหนูหัน ไม่มีทางกล้ากระโดดลงมาอยู่แล้ว

เว่ยจางมองใบหน้าที่ดื้อรั้นที่ดูโง่เขลาของแม่นางผู้นี้แล้วใคร่อยากจะหัวเราะ ทว่ายังไม่ทันได้หัวเราะก็ถูกทำให้ตื่นตกใจ

ตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่ลงจากม้าก็ไม่ระวังไปดึงโดนขนแผงคอม้า เสวี่ยซือจื่อถูกเลี้ยงดูอย่างรักใคร่ จู่ๆ ก็ทำให้รู้สึกเจ็บ จึงส่ายหัวอย่างไม่พอใจ ทำให้คุณหนูเหยาที่เงอะงะถูกสะบัดลงมา

“อ๊า…” เหยาเยี่ยนอวี่แค่รู้สึกว่ามือจับไม่โดนอะไรเลย ตนเองก็หงายหลังไปโดยมิอาจควบคุมได้

เว่ยจางพลันยื่นแขนออกไปเพื่อที่จะอุ้มนางไว้ ทว่าทุกอย่างกลับสายเกินไป และองศาของเขาก็ไม่ถูกต้อง ทั้งตัวของเหยาเยี่ยนอวี่จึงล้มไปกระแทกกับไหล่ของเขา พวกเขาสองคนล้มลงบนพื้นด้วยกัน เหมือนดั่งใบชาเถี่ยหล่อฮั่นที่คลุกคลีอยู่ด้วยกัน

เว่ยจางนึกไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นตามด้วยทักษะการเคลื่อนไหวร่างกายของเขา จะถูกกระแทกแล้วล้มลงบนพื้นเช่นนี้ได้อย่างไร

“โอ๊ย…เจ็บ” ข้อมือข้างหนึ่งของเหยาเยี่ยนอวี่พลิกตอนที่เอามือยันบนพื้น ทันใดนั้นก็รู้สึกปวดจนขอบตาแดงระเรื่อ

“ให้ข้าดูหน่อย” เว่ยจางไม่สนใจอะไรสักอย่าง พลันดึงข้อมือของเหยาเยี่ยนอวี่มาดูอาการ มือเรียวเล็กดุจดั่งหยกที่มีไว้รักษาผู้ป่วยแปดเปื้อนไปด้วยขี้โคลนและเศษหินทราย ทำให้คนมองแล้วรู้สึกสงสารและเอ็นดูยิ่งนัก มือเล็กเช่นนี้ ตนเองแค่จับเบาๆ ก็สามารถทำให้กระดูกร้าวได้ ทว่ามือข้างหนึ่งที่อ่อนโยนและเปราะบางเช่นนี้ ตอนที่จับเข็มเงิน กลับทำให้คนสามารถฟื้นขึ้นมาจากความตายได้

เว่ยจางดึงนางไปอยู่ข้างๆ แล้วเช็ดมือของเหยาเยี่ยนอวี่ให้สะอาดอย่างเบามือ จากนั้นก็จับข้อมือเรียวเล็กแล้วจับตรงจุดที่รู้สึกเจ็บ เหยาเยี่ยนอวี่เจ็บจนร้องทุกข์ออกมา “โอ๊ย! เจ็บ!”

“ไม่เป็นไร” แค่กระดูกเคลื่อนเท่านั้น เว่ยจางคุ้นเคยกับอาการเช่นนี้ หากกระดูกเคลื่อน ก็แค่ดึงข้อให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ไม่เป็นไรแล้ว ทว่าพอได้ยินนางบอกว่าเจ็บ ดวงใจของแม่ทัพเว่ยที่แข็งกระด้าง เพราะผ่านร้อนผ่านหนาวมามากยังอดที่จะสงสารนางไม่ได้

“ประเดี๋ยวก็ไม่เป็นไรแล้ว” เว่ยจางพูดไป ก็ใช้นิ้วมือทั้งห้าประสานกับนิ้วมือทั้งห้าของเหยาเยี่ยนอวี่ จากนั้นก็พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ประเดี๋ยวหากเจ็บ…”

เหยาเยี่ยนอวี่ที่กำลังรอฟังคำพูดด้านหลังของเขา กลับไม่ทันตั้งรับความเจ็บปวดที่ส่งมาจากข้อมือ ดังนั้นจึงผลักเจ้าสารเลวนี้ออกอย่างโมโห “โอ๊ย… เจ้ากำลังทำอะไร!”

เว่ยจางหัวเราะด้วยเสียงต่ำ “ลองดู ยังเจ็บอีกหรือไม่”

เหยาเยี่ยนอวี่นิ่งงันไป แล้วลองขยับข้อมือดู…เหมือนไม่เจ็บจริงๆ ด้วย? อืม แค่รู้สึกเมื่อย และไม่ค่อยสบาย ทว่าไม่เจ็บแล้วจริงๆ ทว่า! เหยาเยี่ยนอวี่ก็เงยหน้าจ้องมองเว่ยจาง “เจ้านั่นแหละ ยังไม่ทันได้พูดจบก็ลงมือแล้ว? อย่างน้อยเจ้าก็ควรรอให้ข้าเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมเสียก่อนสิ!”

“ข้าบอกว่า ประเดี๋ยวหากเจ็บก็ให้ตีข้า ไม่ได้บอกให้เจ้าผลักข้า ทว่า แน่ใจหรือว่าจะไม่ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อม?” เว่ยจางเลิกคิ้วพลางยิ้ม แล้วมองขอบตาที่แดงระเรื่อของนาง ภายในใจจึงรู้สึกดีใจอย่างน่าแปลก เหมือนการได้กลั่นแกล้งแม่นางผู้นี้ แล้วพอเห็นท่าทางที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้วยังปากแข็งของนาง ทำให้เขารู้สึกประสบความสำเร็จอย่างมาก

อืม แม่ทัพเว่ยรู้ตัวว่าตนเป็นเช่นนี้แล้วค่อนข้างเลวทราม ทว่า ก็รู้สึกมีความสุขมาก

“เจ้า!” เหยาเยี่ยนอวี่กัดฟัน หลังจากฝึกด้านการแพทย์มาหลายปี นางกลับลืมไปด้วยซ้ำว่า ความเจ็บปวดนั้นจะต่ำที่สุดก็ต่อเมื่อผู้คนมีการเตรียมพร้อมน้อยที่สุด

เว่ยจางกลับหยอกล้ออย่างอารมณ์ดี “ว่าไป เหตุใดเจ้าถึงได้โง่เขลาเยี่ยงนั้น แค่ลงจากหลังม้าก็ยังหล่นลงมาได้?”

ว่าข้าโง่เขลา? เจ้านี่มันผีหัวโต เจ้ามันโง่กันทั้งตระกูล!

เหยาเยี่ยนอวี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยายามอดกลั้นความโมโหในใจ จากนั้นก็คอยย้ำเตือนตนเอง อย่าโกรธ! อย่าโกรธ! เจ้าสารเลวนี่เจตนาชัดๆ เขาแค่อยากจะเห็นว่าตนเองทำตัวน่าขบขัน นี่เขากำลังแก้แค้น! ตนเองยิ่งโมโหเขาก็ยิ่งได้ใจ อย่าทำให้เขาได้ใจ อย่าทำ…

นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ติดต่อกันสามครั้ง เหยาเยี่ยนอวี่ผลักเว่ยจางออกด้วยความเย็นชา แล้วลุกขึ้นจากพื้น จากนั้นก็ปัดขี้โคลนออกจากเสื้อผ้า แล้วทำเสียงฮึดฮัดในลำคอ พร้อมกับหันหลังเดินจากไป

“นี่!” เว่ยจางกระโดดลุกขึ้น จากนั้นก็สาวเท้าเดินมาขวางทางเหยาเยี่ยนอวี่ไว้โดยเร็ว “นี่ก็โกรธแล้วหรือ”

เหยาเยี่ยนอวี่ยังคงทำหน้าบูดบึ้ง และไม่พูดไม่จา

“เอาเหอะน่า ข้าจะสอนเจ้าขี่ม้า ถือเป็นการแก้ตัว” ท่านแม่ทัพเว่ยยอมลดตัวลงมากล่อมแม่นางคนหนึ่งให้ดีใจ

“ขอบคุณเจ้าแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่กัดฟันพูด “เพียงแต่ข้าโง่เกินไป ถ้าหากข้าหล่นลงจากหลังม้าอีกครั้ง คนอื่นจะหัวเราะเยาะท่านแม่ทัพที่สอนข้าไม่ดี หากเป็นเช่นนั้น เกรงว่าคงจะทำให้ชื่อเสียงของท่านแม่ทัพต้องเสียหาย สุดท้ายกลายเป็นข้าที่กระทำผิดอีก”

กล่าวจบ คุณหนูเหยาที่แสนทระนงจึงยกมือผลักท่านแม่ทัพที่กำลังอารมณ์ดีอย่างรุนแรง จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ ไปข้างหน้า มุ่งหน้าไปยังที่ตั้งค่ายทหารในสนามม้า

ช่างน่ารักน่าชังยิ่งนัก อย่างน้อยก็น่ารักน่าชังกว่าเมื่อครู่ตอนที่ทำท่าทางหวาดกลัวจนตัวสั่นอยู่บนหลังม้า เว่ยจางจับนิ้วทั้งห้านิ้ว แล้วสัมผัสถึงความรู้สึกที่ได้เอามือประสานกับนิ้วมือทั้งห้าของแม่นางที่ตนหมายปอง จึงยิ้มอย่างรู้เท่าทันตัวเองดี

ตอนที่หันหมิงชั่น หันซังเย่ว์ และอวิ๋นคุนกลับมา สีหน้าก็ดูไม่ค่อยดียิ่งนัก

อวิ๋นคุนยิ่งทำสีหน้าที่มืดหม่นดั่งเมฆดำปกคลุม สีหน้าที่ไม่ให้ใครเข้าใกล้ หากใครเข้ามาใกล้จะถูกสังหารทันที เหยาเยี่ยนอวี่เหลือบมองเขาเพียงชั่วพริบตา แล้วดึงสายตากลับมาโดยดี ภายในใจกำลังครุ่นคิด บุรุษตระกูลราชนิกุลแห่งราชวงศ์ต้าอวิ๋นนั้นไม่ควรสร้างเรื่องบาดหมางใจด้วยจริงๆ

หันหมิงชั่นมองเสื้อผ้าของเหยาเยี่ยนอวี่ที่ดูสกปรก ทันใดนั้นก็ได้ละทิ้งความทุกข์ใจของตนเองไว้ แล้วดึงมือของเหยาเยี่ยนอวี่พลางสังเกตมองไปหนึ่งรอบ แล้วเอ่ยถาม “เจ้าตกม้าหรือ”

“อืม” เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าโดยดี “ทว่าค่อยยังชั่ว ไม่เป็นไรแล้ว”

หันหมิงชั่นขมวดคิ้วมองเว่ยจาง นัยน์ตาเจือด้วยการตำหนิ เจ้าเป็นแม่ทัพภาษาอะไร แม้แต่แม่นางผู้หนึ่งยังดูแลได้ไม่ดี ทำให้คนอื่นตกลงจากม้าได้?

แววตาเว่ยจางเป็นประกาย แล้วหันหน้าข้างพลางทำเป็นมองไม่เห็น

“พวกเรากลับกันเถอะ” หันหมิงชั่นไม่เอ่ยให้มากความ อย่างไรวันนี้ไม่ใช่วันดี ต่อให้ทำอะไรก็ไม่มีความสุข

“อืม” เหยาเยี่ยนอวี่ก็รู้สึกว่ากลับเร็วหน่อยก็ดี ขืนอยู่ที่นี่ต่อก็คงถูกอวิ๋นซื่อจื่อทำให้กลายเป็นหุ่นน้ำแข็ง

“เจ้าเดินได้หรือไม่” หันหมิงชั่นเพิ่งได้สติกลับมาว่าเหยาเยี่ยนอวี่เพิ่งตกจากม้า จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เป็นกระไร” เหยาเยี่ยนอวี่จึงรีบลุกขึ้นแล้วดึงหันหมิงชั่นเดินไปข้างนอก บรรยากาศที่นี่แปลกพิลึกเกินไป นางไม่อยากจะอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว

ทั้งสองจึงจูงมือกันออกจากค่าย ซูอิ่งและชุ่ยเวยที่อยู่ข้างหลังก็รีบเดินตามออกไป

อวิ๋นคุนทำหน้าหม่นหมองไม่พูดไม่จา หันซังเย่ว์เอ่ยถามเว่ยจาง “ไปกัน?”

“ไป” เว่ยจางมองอวิ๋นคุนอีกครั้ง แล้วเดาไม่ออกว่าทั้งสามคนนี้กำลังปิดบังอะไรกันอยู่ จึงไม่อยากคาดเดาอะไรอีกต่อไป

หันซังเย่ว์ตามหลังเว่ยจางออกไป ก่อนจะไปก็ชำเลืองมองอวิ๋นคุนเพียงประเดี๋ยว อวิ๋นคุนก็เดินตามออกไปอย่างไม่พูดไม่จา บุรุษทั้งสามต่างก็ขึ้นม้าของตนเองอย่างเงียบๆ เหล่าทหารที่เฝ้าสนามม้าก็กล่าวอำลาด้วยความเคารพ จากนั้นพวกเขาจึงจากไป

ในรถม้า เหยาเยี่ยนอวี่จับมือหันหมิงชั่นไว้ แล้วถามด้วยเสียงต่ำ “เจ้าบอกเขาแล้วหรือ”

“อืม” ภายนอกหันหมิงชั่นดูนิ่งสงบ ทว่านัยน์ตากลับแฝงด้วยความเสียใจและความรู้สึกเจ็บปวดที่ข่มใจตัวเองอย่างปิดบังไว้ไม่อยู่