ตอนที่ 148 เกิดเหตุสุวิสัยที่สนามม้า-อวิ๋นเหยาใช้ความรุนแรง 4

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนที่ 148 เกิดเหตุสุวิสัยที่สนามม้า-อวิ๋นเหยาใช้ความรุนแรง 4
“พวกเจ้า…ทะเลาะกันหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่เอ่ยถามด้วยความตกใจ

“เขาไม่เห็นด้วย บอกว่าหลังจากเทศกาลตรุษจีนก็จะขอให้ฮ่องเต้ทรงพระราชทานงานสมรสให้” หันหมิงชั่นนึกถึงท่าทางที่บ้าคลั่งของอวิ๋นคุน ภายในใจจึงรู้สึกเจ็บปวด ขอบตาของนางแดงระเรื่อ ทว่ากลับพยายามอดกลั้นน้ำตาไว้อย่างฝืนทน

“ฮ่องเต้จะทรงพระราชทานงานสมรสให้ด้วยหรือ” ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดว่าหากเป็นงานสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ เฉิงหวังเฟยคงจะทำดีกับสะใภ้คนนี้ขึ้นมาบ้างหรือเปล่า

“ข้าจะอธิบายกับเสด็จแม่อย่างชัดเจน…หากเสด็จแม่ไม่ยินยอม ฮ่องเต้ไม่มีทางพระราชทานงานสมรสอย่างง่ายดายหรอก”

“…” ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่กำลังครุ่นคิดว่า อย่างไรก็ตามหากมีมารดาที่มีอำนาจสักหน่อย ชีวิตก็คงสุขสบายขึ้นมาบ้าง แต่เหตุใดเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วนางถึงไม่มีความสุขล่ะ เรื่องราวใต้หล้านี้ ยากที่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายได้ในสิ่งที่ดีที่สุดกันจริงๆ

พอเห็นหันหมิงชั่นทุกข์ทรมานเช่นนี้ เหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่รู้ว่าควรปลอบโยนอย่างไร ทั้งสองคนจึงพิงอยู่บนรถม้าไม่พูดไม่จา ต่างฝ่ายต่างมีเรื่องภายในใจที่ไม่เหมือนกัน ทว่ากลับทำให้รู้สึกไม่มีความสุขเหมือนกัน

การเดินทางกลับเมืองหลวงด้วยรถม้าต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าๆ เวลานี้ก็หลังบ่ายแล้ว ตรงประตูเมืองหลวงก็มีประชากรที่กำลังเดินทางออกนอกเมืองกันมากมาย หลังจากที่เข้าเมืองหลวง สิ่งที่เห็นก็คือบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความครึกครื้น ดั่งสุภาษิตที่ว่าเมื่อย่างเข้าสู่เดือนสิบสองก็คือปีใหม่ วันนี้ก็เป็นแรมสิบสามค่ำเดือนสิบสองแล้ว บนถนนหนทางมีเสียงประทัดดังขึ้นไม่หยุด ยิ่งไปกว่านั้นก็คือมีเด็กน้อยซุกซนมากมายกำลังถือประทัดแล้ววิ่งเล่นอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยความคึกคัก พอเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินทางจึงสะดุ้งตกใจ แล้วรีบหลีกทางพลางหัวเราะ

บรรยากาศที่ครึกครื้นข้างนอกไม่ได้เกี่ยวข้องกับแม่นางสองคนข้างในรถม้าเลย เหยาเยี่ยนอวี่กำลังครุ่นคิดว่า หากหันหมิงชั่นกลับจวน อวิ๋นคุนคงจะตามไป หันหมิงชั่นคงจะรู้สึกอึดอัดใจแน่นอน เทศกาลตรุษจีนนี้ หันหมิงชั่นอยู่อย่างอึดอัดใจ องค์หญิงใหญ่เองก็คงไม่มีความสุข ดังนั้นจึงเอ่ยถามหันหมิงชั่นด้วยเสียงเบา “พี่สาวหิวหรือไม่ ไปกินมื้อค่ำที่จวนข้าหรือไม่”

หากหันหมิงชั่นไปจวนของเหยาเยี่ยนอวี่ ต่อให้อวิ๋นคุนไปพูดอะไรที่จวนองค์หญิงใหญ่ ก็จะมีองค์หญิงใหญ่และหันซังเย่ว์คอยรับหน้า อย่างน้อยทั้งสองไม่อยู่ด้วยกัน ต่างฝ่ายก็จะได้สติขึ้นมาบ้าง

หันหมิงชั่นนิ่งงันไปสักพัก แล้วล่วงรู้ถึงความหมายของเหยาเยี่ยนอวี่ ดังนั้นจึงคลี่ยิ้ม แล้วพยักหน้า “ดี”

เหยาเยี่ยนอวี่เพิ่งจะเอ่ยถามหันหมิงชั่นว่าอยากกินอะไร รถม้าจึงโยกเยกไปมาสองทีแล้วหยุดลงอย่างกะทันหัน

“เกิดอะไรขึ้น” เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วเอ่ยถาม ซูอิ่งที่นั่งอยู่ตรงประตูรถม้าจึงรีบเลิกม่านรถม้าพลางเอ่ยถาม “คุณหนูเอ่ยถามว่าเหตุใดถึงหยุดรถม้า”

คนขับรถม้ารีบตอบกลับ “เรียนคุณหนูขอรับ ข้างหน้าเหมือนเกิดเรื่องอะไรขึ้น มีคนมากมายกำลังมุงดู ทำให้ทางตันขอรับ”

เหยาเยี่ยนอวี่เลิกม่านรถม้าพลางมองออกไปข้างนอก ทว่าก็เห็นแค่ศีรษะของคนที่กำลังขยับ แล้วได้ยินเสียงด่าทอกับเสียงเด็กร้องไห้ กลับดังสนั่นไปทั่วฟ้า ฉะนั้นจึงขมวดคิ้วขึ้น “เหตุใดถึงเสียงดังเช่นนี้ ใครทะเลาะวิวาทกัน ในสถานที่ที่อยู่ใต้ฝ่าละอองพระบาทของฮ่องเต้ ไม่มีใครเข้ามาห้ามปรามเลยหรือ”

หันหมิงชั่นก็นั่งตัวตรงด้วยความแปลกใจทันที จากนั้นก็เลิกม่านมองออกไปข้างนอก ทว่าทางนี้อยู่ห่างไกลไปหน่อย ข้างหน้าก็แออัดไปด้วยผู้อื่นมากมาย จึงมองไม่เห็นอะไรจริงๆ

เว่ยจางพวกเขาสามคนที่คอยคุ้มกันพวกนางมาตลอดทางต่างก็จับบังเหียนม้าให้แน่น หันซังเย่ว์เอ่ยถามด้วยคิ้วขมวด “สร้างเรื่องโวยวายกลางถนน เหตุใดเจ้ากรมเมืองก็ไม่เข้ามาจัดการ ทหารรักษาการณ์ล่ะ หรือว่าพวกเขาต่างก็กลับบ้านเกิดไปดื่มสุราตรุษจีนกันแล้ว”

อวิ๋นคุนกลับไม่ได้เป็นคนที่นิสัยดีเยี่ยงนี้ ทีแรกภายในใจก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว พอเวลานี้ถูกคนขวางทางก็รู้สึกโมโหมากกว่าเดิม ดังนั้นจึงสั่งการผู้ติดตามด้านหลัง “ไปดูว่าใครมาสร้างเรื่องโวยวายเช่นนี้! จับผู้นำของคนที่ก่อเรื่องแล้วส่งไปที่คุกแห่งเรือนซุ่นเทียน แล้วปล่อยให้ไปฉลองปีใหม่ในคุก”

ผู้ติดตามขานรับแล้วเดินเบียดเข้าไปในกลุ่มคน ไม่นานก็กลับมาด้วยหยาดเหงื่อเต็มศีรษะ แล้วเข้าใกล้กระซิบข้างหูอวิ๋นคุนด้วยเสียงต่ำ “ท่านซื่อจื่อขอรับ จวิ้นจู่…กำลังลงโทษคนๆ หนึ่ง…ที่เป็นสามัญชนทั่วไปที่…หูป่าตาเถื่อนขอรับ”

อวิ๋นคุนขมวดคิ้วแล้วจับจ้องผู้ติดตามเอาไว้ แล้วตวาดด้วยเสียงต่ำ “พูดความจริง!”

“เด็กคนหนึ่งโยนประทัดไปตรงขาม้าของจวิ้นจู่ ม้าของจวิ้นจู่จึงตื่นตกใจ เกือบจะทำให้จวิ้นจู่ตกจากม้า ดังนั้น…จวิ้นจู่กำลังลงโทษเด็กผู้นั้น คนของเจ้ากรมเมืองก็อยู่ ทว่า…ไม่มีใครกล้าพูดอะไรขอรับ”

“ช่างเลวทราม!” อวิ๋นคุนกระโดดลงจากม้าด้วยความโมโห แล้วผลักผู้ติดตามพลางเดินเบียดเข้าไปในกลุ่มคนแออัด

ในกลุ่มคน อวิ๋นเหยากำลังใช้แส้ม้าเฆี่ยนตีเด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบ

เด็กผู้นี้ถูกเฆี่ยนตีจนเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีน้ำเงินกระจุยกระจาย ปุยฝ้ายที่แปดเปื้อนด้วยเลือดฟุ้งกระจายไปทั่วพื้น

ตอนแรกเด็กผู้นี้ยังกลิ้งไปกลิ้งมาแล้วร้องไห้ขอความช่วยเหลือ ตอนที่อวิ๋นคุนเบียดเข้าไป เขาก็ไม่มีแรงตะโกนและไม่มีแรงดิ้น แค่พยายามยื่นมือ เหมือนอยากจะคลานเข้าไปท่ามกลางกลุ่มคน อวิ๋นเหยาจึงเดินไปเหยียบแผ่นหลังของเขา เขาจึงขยับไปไหนไม่ได้

ข้างๆ มีทหารคุ้มกันสองนายจากจวนเฉิงอ๋องกำลังกดตัวของสตรีราวๆ วัยสามสิบกว่าที่สวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบไว้ สตรีผู้นั้นร้องไห้จนเสียงแหบ แล้วคุกเข่าอยู่บนพื้นพลางขอร้องไม่หยุด “จวิ้นจู่ได้โปรดอภัยความผิด! จวิ้นจู่ได้โปรดเมตตา ข้าน้อยขอร้องได้โปรดปล่อยบุตรชายของข้าน้อยไป…บุตรชายที่น่าสงสารของข้าน้อย! ได้โปรดเอาตัวข้าน้อยไปรับโทษแทน!”

“หยุดเดี๋ยวนี้!” อวิ๋นคุนจับข้อมือของอวิ๋นเหยาไว้ แล้วยื่นมือไปแย่งแส้ม้าในมือของนางมา

“พี่ชาย?” อวิ๋นเหยาสะดุ้งตกใจทันที แล้วกำลังจะก่นด่าคน พอหันไปแล้วเห็นว่าคนที่มาคือพี่ชายของตน ดังนั้นจึงสาวเท้าเดินไป แล้วมุ่งไปตรงหน้าอวิ๋นคุนพลางทำปากเม้มแล้วทำท่าทางเหมือนเด็กประจบประแจงขึ้น “ไอ้เด็กสารเลวนี่ทำให้ม้าของข้าตื่นตกใจ ข้าเกือบจะตกม้าตาย!”

อวิ๋นคุนมีสีหน้าเคร่งขรึมพลางมองอวิ๋นเหยาและไม่พูดไม่จา จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าเด็กที่หมดสติพลางนั่งยองๆ และก็ยื่นมือไปจับชีพจรตรงซอกคอของเด็กน้อย ชีพจรเต้นอ่อนยิ่งนัก แสดงให้เห็นว่าเด็กน้อยคนนี้ ถึงแม้จะยังหายใจ ทว่าสภาพร่างกายกลับย่ำแย่ยิ่งนัก

อวิ๋นคุนจึงทำสีหน้าที่บึ้งตึงกว่าเดิม สายตาเคล้าด้วยความโหดเหี้ยมและเลือดเย็น หากผู้ที่เฆี่ยนตีคนอื่นไม่ใช่น้องสาวทางสายเลือดที่เขาเห็นเป็นแก้วตาดวงใจ เขาคงจะตบคนๆ นี้เพียงฝ่ามือเดียวจนตัวกระเด็นไปไกลแน่นอน

สตรีวัยกลางคนที่ถูกทหารคุ้มกันกดตัวอยู่ข้างๆ เห็นคนที่มาเยือน จึงรีบตะโกนขึ้นด้วยเสียงสูง “ได้โปรดอภัยความผิด! ใต้เท้าเจ้าคะ! บุตรชายของข้าน้อยไม่รู้จักกาลเทศะ! ได้โปรดใต้เท้าปล่อยเขาไปเถอะเจ้าค่ะ! หากพวกท่านจะตี! ก็ตีข้าเถอะ! อย่าตีเขาอีกเลย เขายังเป็นเด็ก…ใต้เท้าโปรดเมตตา! ใต้เท้าได้โปรดเมตตา!”

อวิ๋นคุนหันไปจ้องหน้าแล้วตวาดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ปล่อยเดี๋ยวนี้”

ทหารคุ้มกันต่างสะดุ้งตกใจกลัว จึงรีบปล่อยมือ

สตรีวัยกลางคนที่ถูกปล่อยจึงรีบวิ่งพุ่งไปอุ้มบุตรชายที่สลบไม่รู้เรื่องของตน แล้วร้องไห้ด้วยเสียงดัง

จนถึงตอนนี้ เว่ยจางและหันซังเย่ว์ก็ได้เบียดผู้คนที่มุงล้อมเข้ามา แล้วก็เห็นถึงสถานการณ์เช่นนี้ หันซังเย่ว์สั่งให้ผู้ติดตามของตนไล่สามัญชนที่มามุงดูให้แยกย้ายกันไป อย่างไรนี่ก็เกี่ยวกับชื่อเสียงของจวนเฉิงอ๋อง หากชื่อเสียงของราชวงศ์ถูกทำลาย สำหรับองค์หญิงใหญ่และจวนเจิ้นกั๋วกงก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร

ศักดิ์ศรีของเหล่าราชนิกุลก็ไม่ง่ายต่อการไปท้าทาย ทว่าความเกรี้ยวโกรธของสามัญชนก็ไม่ง่ายต่อการดูถูกเช่นกัน เหล่าสามัญชนถูกการใช้ความรุนแรงของอวิ๋นเหยาทำให้โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ เวลานี้สถานการณ์กำลังน่าสนใจเลยทีเดียว ทุกคนต่างก็รอให้มีคนสามารถออกหน้าเพื่อจัดการเรื่องนี้ด้วยความเป็นธรรม ไม่ว่าใครก็ไม่อยากจากไปเยี่ยงนี้

อวิ๋นคุนจึงค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วมองอวิ๋นเหยา จากนั้นก็ว่ากล่าวตำหนิด้วยเสียงโมโห “เจ้ารีบกลับจวนประเดี๋ยวนี้ แล้วไปสารภาพความผิดกับเสด็จพ่อ!”

“พี่ชาย!”

อวิ๋นเหยายังอยากจะพูดอะไรต่อ ทว่ากลับถูกเสียงตวาดอันโมโหสุดขีดของอวิ๋นคุนขัดขวาง “กลับไป!”

“…” อวิ๋นเหยาแบะปากที่ดูน้อยอกน้อยใจ แล้วพ่นเสียงในลำคออย่างไม่พอใจ ก่อนสะบัดแส้ม้าพร้อมกับหันหลังเดินจากไป

“พวกเจ้า!” อวิ๋นคุนชี้ไปยังอารักขาหลายนายของอวิ๋นเหยา แล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “กลับไปหาหัวหน้าในจวน ไปรับการลงโทษด้วยการโบยคนละห้าสิบที! ไสหัวไป!”