บทที่ 41.1 โรงเรียนทหารเฟยหลี่ (1)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

หลังจากที่หม่าฉุนจ่ายค่าปรับที่ตนทำลายทรัพย์สินของโรงเรียนแล้ว เหล่าอาจารย์ก็ยอมจากไปโดยดี

โจวเหว่ยชิงตบไหล่ของหม่าฉุนแล้วยิ้มขณะที่เขาพูดว่า “เจ้าฉลาดมาก ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้สถานะของตัวเองเป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้ลูกเตะของข้าใช้พลังไปเพียง 4 ใน 10 ส่วนเท่านั้น! หึ เจ้ายักษ์ทึ่ม เจอกันในอีก 3 วัน!” เมื่อโจวเหว่ยชิงพูดจบ เขาก็หันกลับมาจับมือซ่างกวนปิงเอ๋อร์และเดินออกไปจากโรงเรียนพร้อมกัน

เมื่อมองเห็นร่างของโจวเหว่ยชิงหายลับตาไป หม่าฉุนก็ก้มลงกุมท้องของตัวเอง เขารู้สึกคล้ายล้ำไส้บิดเกลียวจนจะสำรอกออกมาอยู่แล้ว! ไม่นานก็พึมพำกับตัวเองว่า “เจ้านั่นโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว! ไอ้เสือหน้ายิ้มนั่น[1]! เฮ้อ โชคร้ายของข้าจริงๆ เสียดายหญิงสาวที่งดงามขนาดนั้น เฮ้อ ใช้ของสวยๆ งามๆ ไปโดยเปล่าประโยชน์แท้ๆ ทำไมของดีๆต้องถูกจับจองไปหมดแล้วนะ แต่ว่าไอ้เสือหน้ายิ้มนั่นก็แข็งแกร่งอย่างแท้จริง แม้ว่ามันจะไม่ได้ใช้มณีสวรรค์โจมตี ข้าก็ยังรู้สึกเจ็บปวดได้ขนาดนี้ ช่างเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ”

ขณะที่โจวเหว่ยชิงลากซ่างกวนปิงเอ๋อร์ออกมาจากโรงเรียนทหารเฟยหลี่ เขาก็ดูรีบร้อนมาก “อ้วนน้อย ทำไมเจ้าต้องรีบขนาดนี้? พวกเราจะไปที่ไหนกัน?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ที่รักของข้า ข้าคิดถึงเจ้ามากเชียว! แน่นอนว่าเรากำลังมุ่งหน้ากลับไปที่โรง เตี๊ยมเพื่อทำในสิ่งที่ควรทำ”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นหญิงสาวอายุ 19 ปีแล้ว ด้วยเหตุนี้เธอจะไม่เข้าใจสิ่งที่โจวเหว่ยชิงพูดได้อย่างไร ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด จากนั้นก็เอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่”

“ทำไมล่ะ? เจ้าเพิ่งบอกว่าทำได้หากไม่มีใครอยู่?” โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เอ่ยตอบด้วยท่าทีเงียบสงบ “ข้าพูดเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ้าพูดเองต่างหาก ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่ข้าจากบ้านมา ท่านแม่บอกข้าว่าอย่าเพิ่งทำกับเจ้า”

“ทำอะไรหรือ?” โจวเหว่ยชิงเอ่ยออกมาด้วยท่าทาง ‘ไร้เดียงสา’

ใบหน้าแดงก่ำของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีแดงยิ่งขึ้น “กะ ก็นั่นไง เจ้าก็รู้ดี! ท่านแม่บอกว่าก่อนแต่งงานข้าไม่ได้รับอนุญาตให้ทำกับเจ้า ท่านแม่บอกว่าถ้าเจ้าได้มันมาง่ายเกินไป เจ้าจะไม่รู้จักถนอมมัน ยิ่งไปกว่านั้น ถ้า…ข้าท้องล่ะ”

เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนั้น โจวเหว่ยชิงก็ตกตะลึงไปเช่นกัน อย่างไรตามความเป็นจริงแล้วเขาก็ยังเป็น ‘หนุ่มบริสุทธิ์’ อยู่ แม้ว่าเขาจะเคยมีความสัมพันธ์กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาก่อน แต่ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกตัวเสียหน่อย เมื่อจู่ๆ ปิงเอ๋อร์พูดเรื่องการตั้งครรภ์และยืนกรานไม่ให้เขา ‘ทำ’ อย่างนั้นขึ้นมา เขาก็จึงอดไม่ได้ที่จะนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทำปากยื่นและพูดว่า “อ้วนน้อย ที่เจ้าอยู่กับข้าก็เพื่อจะทำแค่เรื่องอย่างว่าหรือ? เจ้า…” เมื่อเธอพูดเช่นนั้น ดวงตาที่งดงามของเธอก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ

โจวเหว่ยชิงกลัวตอนซ่างกวนปิงเอ๋อร์ร้องไห้มากที่สุด เขาจึงลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุขทันที  ไม่นานก็เปิดปากพูดอย่างรวดเร็ว “ไม่ ไม่ ไม่ใช่แน่นอน ข้ารักเจ้า รักทุกอย่างที่เป็นเจ้า แม้การ ‘ทำ’ เช่นนั้นจะเป็นเรื่องยอดเยี่ยมก็จริง แต่ปิงเอ๋อร์ที่รักของข้าสำคัญกว่า พวกเราจะเชื่อฟังท่านแม่ของเจ้า ข้าจะไม่บังคับเจ้า ตกลงไหม?”

“จริงหรือ?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามอีกครั้งพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในดวงตา โจวเหว่ยชิงพยักหน้าอย่างรวดเร็วและยกมือขึ้นตบหน้าอกราวกับให้สัญญา

ใบหน้าเคล้าน้ำตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์แปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะอย่างรวดเร็ว “อ้วนน้อยที่แสนดีของข้า มาสิ พี่สาวจะมอบรางวัลให้เจ้า” เมื่อพูดจบ เธอก็ยืดเขย่งเท้าและจูบแก้มของเขา

“เอ๋?” เท่านั้นโจวเหว่ยชิงก็รู้ทันทีว่าเขาโดนหลอกเสียแล้ว “ปิงเอ๋อร์! เจ้าก็ริจะเป็นคนเจ้าเล่ห์เหมือนกันรึ!”

“ฮึ่ม ข้าก็เรียนรู้มาจากทุกคนในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์นั่นแหละ! อ๊ะ!! อย่าเข้ามานะ!” เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงกำลังเดินเข้ามาหาเธอด้วยแววตาชั่วร้าย เธอก็รีบวิ่งหนีไปทันที ทั้งสองคนวิ่งข้ามถนนตามกันไปติดๆ ระหว่างกันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและเสียงหยอกล้อดังสลับไปมา

เนื่องจากพวกเขากำลังจะเข้าโรงเรียนทหารเฟยหลี่เพื่อศึกษาเล่าเรียนอย่างจริงจัง ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะหยุดพักผ่อนในเวลา 3 วันที่เหลือก่อนเข้าเรียน เมืองเฟยหลี่มีขนาดใหญ่และมีสถานที่สนุกสนานมากมายไว้ใช้หาความบันเทิง โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใช้เวลาทั้ง 3 วันไปกับการสำรวจและเที่ยวชมเมืองทั้งหมด แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงก็ไม่ลืมแวะไปที่สำนักกักเก็บทักษะวันละ 2 ครั้งเพื่อกักเก็บทักษะทั้งหมดให้เสร็จ ท้ายที่สุดแล้ว นอกเหนือจากทักษะธาตุปีศาจและทักษะธาตุกาลเวลาที่ไม่สามารถหาทักษะเหมาะๆ มากักเก็บได้ ทักษะธาตุอื่นๆ ในมณีทั้ง 3 ดวงต่างก็ถูกเขากักเก็บทักษะไว้จนหมดแล้ว ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ครอบครองพลังที่แท้จริงของไพฑูรย์ตาแมวสองสีทั้ง 3 ในมือเสียที

ตั้งแต่ทั้งคู่พบกัน นี่เป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายที่สุดที่พวกเขาได้ใช้ร่วมกัน อนิจจา อ้วนน้อยโจวกลับล้มเหลวในการพยายามหาความเพลิดเพลินกับปิงเอ๋อร์ผู้งดงาม เพื่อป้องกันไม่ให้เขาล้ำเส้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงคอยป้องกันตนเองและปฏิเสธทุกสัมผัสที่ดูใกล้ชิดจนเกินควรอยู่ตลอดเวลา

เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ พริบตาเดียวเวลา 3 วันก็ผ่านไปแล้ว ฝูงชนที่เคยพลุกพล่านในบริเวณโรงเรียนก็สลายไปอย่างช้าๆ ผู้ที่สามารถสอบเข้าเรียนได้ต่างก็กระโดดโลดเต้นด้วยความสุข ในขณะที่ผู้ที่สอบไม่ผ่านก็ต้องกรุ่นคิดวางแผนอีกครั้งอย่างมืดมนว่าจะลองใหม่ในปีหน้าหรือหันไปลองทำอย่างอื่นแทน

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์จับมือกันมารายงานตัวกับโรงเรียนในตอนเช้าตรู่ เมื่อมีซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ด้วย เธอก็ไม่ยอมให้โจวเหว่ยชิงอยู่ในสภาพที่ดูสกปรกเหมือนไม่ได้รับการดูแล แม้ว่าเขาจะยังคงแต่งกายด้วยชุดผ้าเรียบๆ แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็สะอาดและดูดี ใบหน้าของเขาอาจเรียกไม่ได้ว่าหล่อเหลาหรือสง่างาม แต่ร่างกายที่สูงใหญ่และกล้ามเนื้อที่ตึงแน่นทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูกล้าหาญคล้ายกับนักรบคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น หญิงงามก็ยังถือว่าเป็นเครื่องประดับที่ดีที่สุดของผู้ชายเช่นกัน เมื่อมีคนงามเช่นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างๆ พวกเขาจึงดึงดูดสายตาผู้คนรอบข้างได้เป็นอย่างดีขณะที่เดินไปตามถนน

ทางเข้าโรงเรียนทหารเฟยหลี่ดูเงียบสงบกว่าครั้งก่อนที่พวกเขาเคยเข้ามา มีนักเรียนรุ่นพี่ประมาณ 20 คนยืนอยู่บริเวณนั้นเพื่อคอยแนะนำนักเรียนใหม่เรื่องรายงานตัวเข้าเรียน

ภายใต้คำแนะนำของพวกเขา โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เดินข้ามสนามหลักเข้าไปในอาคารเรียนขนาดใหญ่ จากนั้นพวกเขาก็พบจุดรายงานตัวสำหรับเรียนใหม่อย่างรวดเร็ว

พวกเขามาถึงค่อนข้างเร็ว สถานที่ซึ่งจัดไว้สำหรับรายงานตัวจึงยังดูไร้ผู้คนและเงียบสงบมาก ขณะนี้มีอาจารย์เพียง 3 คน ที่รับผิดชอบอยู่บริเวณจุดลงทะเบียนสำหรับนักเรียนใหม่

“อรุณสวัสดิ์ท่านอาจารย์ พวกเราเป็นนักเรียนใหม่ที่มารายงานตัวในวันนี้” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ ความงามที่ไม่มีใครเทียบได้ของเธอสามารถดึงดูดความสนใจของอาจารย์ทั้ง 3 ได้อย่างเป็นธรรมชาติ โชคดีที่พวกเขาทั้งหมดเป็นอาจารย์หญิง ไม่เช่นนั้นโจวเหว่ยชิงคงจะต้องไปปรากฏตัวที่ด้านข้างของเธออีกครั้งเพื่อข่มขวัญ

“เจ้าทั้งคู่เป็นนักเรียนสามัญชนใช่ไหม?” อาจารย์หญิงผมขาวที่ดูมีอายุมากคนหนึ่งถามออกมา

โจวเหว่ยชิงถามอย่างไม่แน่ใจ “ในระหว่างการทดสอบ ขุนนางและสามัญชนมีความแตกต่างกันในเรื่องของเกณฑ์คะแนนรับเข้า แต่ว่าตอนนี้ทุกคนได้รับการตอบรับเข้าเรียนแล้ว ยังมีความแตกต่างระหว่างชนชั้นอยู่อีกหรือ?”

อาจารย์หญิงผู้นั้นอธิบายว่า “แน่นอนว่าแตกต่าง ตัวอย่างเช่นค่าเล่าเรียนของสามัญชนนั้นจ่ายเพียง 20 เหรียญทองต่อปี ในขณะที่ค่าเล่าเรียนสำหรับขุนนางคือ 2,000 ต่อปี การเรียนการสอนเหมือนกัน แต่หอพักและความสะดวกสบายอาจแตกต่างกัน ความแตกต่างอีกประการหนึ่งคือสามัญชนจะต้องมีสถานะเป็นจ้าวมณีเป็นอย่างน้อย แต่ไม่มีข้อกำหนดสำหรับขุนนาง”

เมื่อโจวเหว่ยชิงได้ยินเกี่ยวกับความแตกต่างของค่าเล่าเรียน หัวใจของเขาก็พลันรู้สึกดีมากยิ่งขึ้น ท้ายที่สุดแล้วโรงเรียนก็จำเป็นต้องใช้เงินเช่นกัน ดังนั้นผู้ที่จ่ายเงินมากกว่าก็สมควรได้รับการดูแลที่ดีกว่า แม้ว่าเขาจะไม่ชอบการแบ่งชนชั้นเช่นนี้เพราะทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ มีสมอง ปาก และแขนขาเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ควรมีการแบ่งแยกความแตกต่าง อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าการแบ่งชนชั้นที่นี่ไม่ได้ดูรุนแรงจนเกินไป เขาจึงไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้ต่อ “เช่นนั้นพวกเราก็ต้องขอรบกวนท่านอาจารย์ช่วยลงทะเบียนให้พวกเราด้วยเถิด” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สะกิดโจวเหว่ยชิง บอกเป็นนัยๆ ให้เขาหยุดถามคำถามขณะที่เธอส่งกระดาษตอบรับการเข้าเรียนให้อาจารย์อีกคน

“ภาคการศึกษานี้มีนักเรียนสามัญชน 29 คน ทุกๆ ปีจะมีห้องเรียนชั้นสามัญชนเพียงห้องเดียวและชนชั้นสูง 4 ห้อง ดังนั้นห้องเรียนของเจ้าจึงถูกเรียกว่าห้องเรียนเอกสามัญ พวกเจ้าแต่ละคนต้องจ่าย 20 เหรียญทอง นั่นจะครอบคลุมค่าเล่าเรียนและหอพักด้วย แต่หากต้องการอาหารและเครื่องดื่มเพิ่ม พวกเจ้าจะต้องจ่ายอีกคนละ 50 เหรียญทอง หอพักตั้งอยู่ด้านหลังอาคารเรียนหลักแห่งนี้ ห้องของสามัญชนอยู่ชั้นแรก แบ่งเป็นห้องผู้ชายทางด้านซ้าย และห้องของผู้หญิงทางขวา เจ้าจะต้องอยู่กับเพื่อนร่วมห้องอีก 7 คน”

“หลังจากเปิดภาคเรียนแล้ว พวกเจ้าจะต้องอยู่ในหอพักและไม่ออกนอกบริเวณโรงเรียนโดยไม่ได้รับอนุญาต พวกเจ้าไม่ควรขึ้นไปที่หอพักชั้นอื่นๆ โดยไม่ได้รับเชิญเช่นกันเพราะห้องพวกนั้นเป็นของนักเรียนชนชั้นสูง รับไป นี่คือชุดนักเรียนของเจ้า ได้คนละ 2 ชุด ส่วนเช้าวันพรุ่งนี้จะมีพิธีเปิดภาคเรียนจัดขึ้นที่หอประชุมชั้นแรกของอาคารเรียนหลัก และแน่นอนว่านักเรียนทุกคนจะต้องเข้าร่วม เอาล่ะ เจ้าสองคนไปได้แล้ว”

โจวเหว่ยชิงได้รับชุดนักเรียน กุญแจหอพัก รวมถึงป้ายนักเรียนของพวกเขา หลังจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์จ่ายเงินแล้ว คนทั้งสองก็ออกจากสถานที่รายงานตัว

ทันทีที่พวกเขาออกจากห้อง ริมฝีปากของโจวเหว่ยชิงก็โค้งขึ้นอย่างดูถูกขณะที่พูดว่า “ปิงเอ๋อร์ ดูเครื่องแบบสีขาวเทานี่สิ เนื้อผ้าไม่ดีไปกว่าชุดที่ข้าใส่เลยด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับสิ่งที่นักเรียนชั้นสูงพวกนั้นใส่แล้ว แม้ในแง่ของรูปลักษณ์พวกเราก็ยังดูแตกต่างกันมาก เห็นได้ชัดว่าโรงเรียนทหารเฟยหลี่แห่งนี้เลือกปฏิบัติ!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รีบเข้ามากระซิบว่า “เบาๆ หน่อย! อ้วนน้อย เจ้าต้องจำไว้ว่าเรามาที่นี่เพื่อศึกษาหาความรู้ ตอนนี้อยู่ใต้ชายคาของพวกเขา เราจะทำอะไรได้อีกนอกจากปฏิบัติตามกฎของพวกเขา ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจ แต่เจ้าก็ห้ามโวยวายเสียงดังเช่นนี้อีก มาเถอะ ไปที่หอพักและจัดข้าวของกัน ข้าจะช่วยเจ้าทำความสะอาดห้องด้วย”

“อืม…” บางทีอาจเป็นเพราะเขาค่อยๆ ถูกไข่มุกสีดำเข้าครอบงำ อารมณ์ของโจวเหว่ยชิงตอนนี้จึงค่อนข้างแปรปรวนอยู่บ้าง

หอพักอยู่หลังอาคารเรียนหลักและมีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย ถึงกระนั้นมันก็ยังมีขนาดที่น่าประทับใจทีเดียว พวกเขารีบไปที่ห้องพักของโจวเหว่ยชิงตามตัวเลขในกุญแจที่ได้รับมา

ทันทีที่ประตูเปิดออก เขาก็ถูกต้อนรับด้วยกลิ่นอันน่าสยดสยอง กลิ่นคล้ายเท้าของพวกนักกีฬาที่หมักหมมมานานหลายปี! กลิ่นนั้นเกือบทำให้โจวเหว่ยชิงหงายหลังล้มตึงไปแล้ว เขารีบยกมือขึ้นกั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ให้ตามเข้ามาและกลั้นหายใจวิ่งเข้าไปเปิดหน้าต่างออกดังปัง ส่งผลให้อากาศภายนอกเริ่มถ่ายเทเข้ามา ทว่านั่นก็ยังทำให้อากาศโล่งขึ้นเพียงเล็กน้อย

ห้องพักรวมมีขนาดไม่เล็กมาก พื้นที่ใช้สอยทั้งหมดราวๆ 40 ตารางเมตร มีเตียง 2 ชั้นจำนวน 4 เตียงตั้งอยู่ในแต่ละมุมห้อง นอกจากนี้ยังมีพื้นที่โล่งๆ แบ่งออกเป็น 8 ส่วน มีตู้โลหะขนาดใหญ่ 2 ตู้ โต๊ะขนาดใหญ่ 2 ตัว และเก้าอี้ 4 ตัว นอกจากนั้นแล้ว ในห้องก็ว่างเปล่า อ้อ เว้นก็แต่พวกขยะที่เกลื่อนกลาดไปทุกที่ ทั้งห้องจึงดูสกปรกและยุ่งเหยิงมาก เตียง 2 ชั้น นั้นยังเหลือแค่โครงเผยให้เห็นแผ่นไม้ด้านล่าง แน่นอนว่าไร้เงาฟูก เครื่องนอน และผ้าปูที่นอน ปากของโจวเหว่ยชิงกระตุกเล็กน้อย นี่ยังเทียบไม่ได้กับเตียง 2 ชั้นของเขาในกองทัพด้วยซ้ำ!

ทว่าในทางตรงกันข้าม ดูเหมือนซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะปรับตัวได้ดีกว่าเขา “อ้วนน้อย เจ้าพักผ่อนสักหน่อยเถิด ข้าจะจัดการให้เอง ห้องของเจ้าไม่มีพื้นที่แม้แต่จะให้พวกเรานั่งด้วยซ้ำ”

“เดี๋ยวข้าทำเอง” โจวเหว่ยชิงรีบห้ามเธออย่างรวดเร็ว

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หัวเราะคิกคักและพูดว่า “การทำความสะอาดเป็นงานของเด็กผู้หญิง ทำไมเจ้าถึงจะแย่งข้าทำล่ะ? ผู้ชายรับผิดชอบนอกบ้าน ผู้หญิงดูแลเรื่องในบ้าน ถ้าเจ้าพยายามจะแย่งงานข้า ข้าจะโกรธเจ้า อย่างน้อยก็ให้ข้าเรียนรู้วิธีดูแลเจ้าเถิด เอาล่ะ ข้าจะไปซื้อกะละมังมารองน้ำทำความสะอาด” เมื่อพูดจบ เธอก็หมุนตัวจากไปทันที

สายตาของโจวเหว่ยชิงมองตามเธอไป ในใจพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เมื่อมองไปที่เตียง 2 ชั้น ทั้ง 4 เตียงซึ่งสามารถจุผู้ชายได้ 8 คน เขาก็พูดขึ้นมาอย่างโกรธๆ “หึ! คนอื่นๆ เลยได้ประโยชน์ไปด้วย!” ขณะที่พูดเช่นนั้นเขาก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ แม้ ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยากจะช่วยเขาทำความสะอาด แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้เธอเก็บขยะสกปรกพวกนั้นได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงฉวยโอกาสขณะที่เธอออกไปซื้อกะละมัง รีบเก็บขยะที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆ ทิ้งไปทั้งหมด เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับมาพร้อมกับอ่างน้ำ ห้องนั้นก็ดูสะอาดตาและพร้อมสำหรับถูแล้ว “ปิงเอ๋อร์ ต่อไปข้าจะตามเจ้าไปที่หอพักหญิงและช่วยเจ้าเก็บขยะ ข้าจะได้รู้ด้วยว่าเจ้าพักห้องไหน ฮิๆ” โจวเหว่ยชิงยกยิ้มอย่างมีเลศนัย

…………………………………………..

[1]เสือหน้ายิ้ม 笑面虎 แปลว่า คนที่มีรอยยิ้มแต่จิตใจแฝงความชั่วร้ายเอาไว้; คนหน้าเนื้อใจเสือ