เสบียงอาหารบรรเทาทุกข์แต่ละคนรวมกันมีปริมาณไม่มากนัก

ปริมาณเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ที่ได้รับในหนึ่งเดือนก็น่าจะหลายพันจินอยู่เหมือนกัน สามารถกินจนจุกเลยหละ

และเป็นข้าวสารที่ไม่ขัดสี อีกทั้งไม่แจกเป็นข้าวขัดขาวได้ ในการแจกแต่ละครั้งก็ไม่ได้มากมายอะไร เพราะไม่ต้องการให้คนที่อพยพมาอยู่ใหม่กินอิ่มหนำสำราญอยู่แต่ในบ้าน โดยไม่ยอมออกไปทำงาน

เซี่ยเหวินอวี่ ลูกชายท่านอู่อานโหวเดินเข้าไปในเรือนเพื่อหาท่านแม่ พร้อมกับคิดใคร่ครวญวิเคราะห์ในใจ

ถึงแม้ว่าเขาจะทราบจำนวนคนไม่แน่ชัดจากปากของเด็กน้อย แต่เขาก็พอจะคาคคะเนได้ไม่ผิดพลาดมากนัก

อาจเป็นเพราะเขาใช้วิธีการคิดคำนวณจนเกิดความชำนาญ แต่สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึง และคิดไม่ออก

เขาคำนวนด้วยจำนวนคนที่คาดคะเนไว้มากสุด และจำนวนข้าวสารหลายพันจินก็ตาม แต่เมื่อรวมกันแล้ว ก็ตีเป็นมูลค่าเงินมากสุดแค่ยี่สิบสามสิบตำลึงต่อหนึ่งเดือนเท่านั้น

เพื่อเงินแค่ยี่สิบสามสิบตำลึง ครอบครัวสามีของพี่สาว(ลูกสาวบ้านเล็กของท่านพ่อ) กล้าทุจริตเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์เลยหรือ

ไม่ได้ยินคำที่เด็กน้อยนั่นป่าวประกาศขอความเป็นธรรมกับหมินหรุ่ยหรอกหรือ พูดถึงหมู่บ้านเหรินจยา หลี่เจิ้งของหมู่บ้านเหรินจยา ไม่ผิดแน่นอน พี่สาวบ้านเล็กของเขาแต่งงานกับเริ่น จื่อเซิง ได้ข่าวมาว่า พ่อของเริ่นจื่อเซิงเป็น หลี่เจิ้งของหมู่บ้านเหรินจยา

เพื่อเงินเพียงยี่สิบสามสิบตำลึง

เซี่ยเหวินอวี่ไม่อาจหยุดคิดถึงจำนวนเงินนี้ได้ ยิ่งคิด ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนมีไฟมาสุมอยู่ในอก

มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ ไม่อาจเข้าใจได้

หน้าตาและชื่อเสียงของจวนโหว ถ้าเรื่องนี้เล็ดลอดออกไป คงไม่มีหน้าไปพบปะผู้คน

ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปทั่ว ชาวบ้านข้างนอกคงหัวเราะเยาะจนฟันแทบหลุด คงกลายเป็นเรื่องเล่าซุบซิบนินทากันทั่วซอยและพากันหัวเราะเยาะจวนโหว

อวี๋ซื่อ เป็นนายหญิงของจวนโหว เมื่อฟังลูกชายพูดจบก็ยังสบตากับลูกชาย สายตาของนางบ่งบอกถึงความไม่เชื่อในเรื่องที่เกิดขึ้น

เซี่ยเหวินอวี่รับน้ำชามาจากสาวใช้ จิบน้ำชาดับไฟความโกรธในหัวใจ เขายังพูดทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ “ท่านแม่ไม่ต้องมองข้า ข้าคาดการณ์ไว้ เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องจริง ท่านก็คงคิดไม่ถึงใช่หรือไม่ ข้าก็เหมือนกัน”

อวี๋ซื่อให้สาวใช้ไปเรียกท่านน้าไป๋ เซี่ยเหวินฮุ่ยกลับมาเยี่ยมแม่ของนาง(ท่านน้าไป๋)ไม่ใช่หรือ?

สามวันกลับมาครั้งหนึ่ง เป็นช่วงจังหวะพอดี

นางสูดลมหายใจลึกและสั่งให้สาวใช้ไปเรียกเซี่ยเหวินหยวนซึ่งเป็นพี่ชายของเซี่ยเหวินฮุ่ยมาด้วย ในสายตาของท่านโหว เขาเป็นลูกเมียรองที่มีพรสวรรค์มากกว่าลูกชายของนาง

นอกจากนี้ นางยังให้เรียกพ่อบ้านและแม่บ้านที่อยู่ในเรือนหลายหลังเรียกออกมากันทั้งหมด

เมื่อสั่งการเสร็จแล้ว อวี๋ซื่อก็พูดกับเซี่ยเหวินอวี่ “ลูกชาย เจ้าไปยังเรือนหน้าแล้วเล่าเรื่องราวกับท่านพ่อของเจ้าตามความเป็นจริง บอกเรื่องที่เขาทำเพียงเพื่อเงินยี่สิบสามสิบตำลึง และบอกว่าบ้านตระกูลลู่ได้ทราบเรื่องนี้แล้ว”

“ท่านแม่?”

“หึ” อวี๋ซื่อเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมา และโบกมือให้เซี่ยเหวินอวี่ออกไป “ออกไปเถอะ เจ้าอย่าได้มารับรู้เรื่องสกปรกพวกนี้เลย”

เซี่ยเหวินฮุ่ย ภรรยาของเริ่นจื่อเซิง นางนั่งคุกเข่าอยู่กลางเรือน

เดิมทีท่านน้าไป๋อยากถามท่านฮูหยิน ทำไมต้องให้เหวินฮุ่ยนั่งคุกเข่า และยังเรียกทุกคนในบ้านออกมาดู

อากาศหนาวเย็นเยี่ยงนี้ ลูกสาวที่แต่งออกจากบ้านไปแล้ว ท่านฮูหยินยังต้องการทำอะไรอีก

นางยังไม่ทันอ้าปากถาม คิดไม่ถึงว่าแก้วน้ำชาจะถูกโยนมาที่หัวของนาง นางตกใจจนร้องเสียงหลง

ชิงเหอ สาวใช้ใหญ่ที่รับใช้ใกล้ชิดอวี๋ซื่อ บอกกับนาง “คุกเข่าลง!”

เซี่ยเหวินหยวนขมวดคิ้วเดินเข้ามา “ท่านแม่ นี่ท่าน?”

แก้วใบแล้วใบเล่าถูกโยนมา เซี่ยเหวินหยวนก็คุกเข่าลง ในใจก็คิดว่า ต้องเป็นเพราะน้องสามกลับมาบอกเรื่องราวอะไรแน่เลย

“พวกไม่มีสมอง” อวี๋ซื่อด่าออกมาเสียงดังด้วยความโมโห

เมื่อชิงเหอสาวใช้ใหญ่บรรยายเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในเรือนก็เงียบจนน่าอัศจรรย์

พ่อบ้านและแม่บ้าน คนรับใช้ทั้งหมดต่างกลั้นหายใจ ก้มหน้าและคิดตำหนิในใจ

คุณหนูรองเซี่ยเหวินฮุ่ย ครอบครัวพ่อแม่สามีของนางต้องขี้เหนียวขนาดไหนถึงทำเรื่องทุจริตข้าวสารบรรเทาทุกข์เพียงเพื่อเงินสิบยี่สิบตำลึง…

…แม้แต่คนในครอบครัวของพวกเขาก็ยังไม่ทำเรื่องที่น่าอับอายเช่นนี้…

…มันไม่คุ้มค่าเลยใช่ไหม? มันไม่คุ้มกับการโดนโบยหรือการถูกตัดสินประหารชีวิตเลย นี่ไม่ใช่สมองมีปัญหาหรอกหรือ? นี่ครอบครัวต้องลำบากถึงขนาดไหนกัน…

…ท่านน้าไป๋ก็ตกที่นั่งลำบาก นางอายุก็ไม่น้อยแล้ว หน้าตาดูมีอายุมากกว่าท่านน้าฟาง เป็นเพราะนางอาศัยพึ่งพาเซี่ยเหวินหยวนลูกชายคนโตของนาง และหลายปีมานี้คอยรับใช้ท่านโหวถึงมีหน้ามีตาขึ้น…

…ต่อไปจากนี้ไปคงต้องระวังรู้จักหลบหลีก คาดว่าท่านโหวคงรู้สึกเสียหน้ามาก เสียหน้าครั้งใหญ่จริงๆ

“เหวินฮุ่ย?” ท่านน้าไป๋สายตาบ่งบอกไม่อยากจะเชื่อ

แม้แต่แม่แท้ๆ เมื่อได้ยินเรื่องนี้ก็ยังคิดว่าหูฝาดไป มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาก

เซี่ยเหวินฮุ่ยสีหน้าแดงก่ำ นางร้องไห้พร้อมกับส่ายศีรษะ “ท่านน้าไป๋ ข้าไม่รู้เรื่อง” แล้วหันหน้ากลับไปมองอวี๋ซื่อ นางรีบคลานไปข้างหน้า แล้วพูดว่า “ท่านแม่ ข้าไม่รู้เรื่องนี้ ข้าไม่รู้จริงๆ”

บ้านเริ่นจื่อเซิง

เซี่ยเหวินฮุ่ยบิดผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือไปมา นางเม้มริมฝีปากแน่น

ครู่หนึ่งนางกัดฟันโกรธแค้นอวี๋ซื่อ ที่ให้นางแต่งงานกับครอบครัวแบบนี้ แต่งงานอย่างนี้ก็ไม่มีทางจะมีเกียรติได้

ครู่หนึ่งนางก็กัดฟันโกรธแค้นพ่อสามีเริ่นหลี่เจิ้ง นำคำพูดที่อวี๋ซื่อด่านาง นำมาด่าเริ่นหลี่เจิ้งในใจ พวกไม่มีสมอง

“ฮูหยิน วันนี้กลับจวนไปเยี่ยมท่านแม่(ท่านน้าไป๋)ไม่ใช่หรือ ทำไมถึงกลับบ้านเร็วขนาดนี้ เรียกข้ามามีเรื่องอันใดหรือ?”

เพล้ง…เซี่ยเหวินฮุ่ยโยนแก้วน้ำชาตกแตกใกล้เท้าของเริ่นจื่อเซิง “บ้านตระกูลเริ่นทำเสื่อมเสียชื่อเสียง เจ้าถามข้า? เจ้าน่าจะกลับไปหมู่บ้านเหรินจยาของเจ้า ไปสอบถามพ่อที่โง่เขลาของเจ้า!”

เริ่นจื่อเซิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

ต่อหน้าคนรับใช้หลายคน นางชี้หน้าเขาและด่าทอพ่อของข้า

เซี่ยเหวินฮุ่ยไม่กลัวเขา เจ้าเป็นใคร และข้าเป็นใคร ข้าเป็นบุตรสาวของท่านโหว

นางโก่งคอตะโกนด่าทอต่อไป

“พ่อของเจ้าทุจริตเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์เพียงเพราะเงินสิบยี่สิบตำลึง ช่างกล้านัก โง่เขลาไม่มีใครเกิน…

…ข้าก็ให้เงินเลี้ยงดูเขาไม่ใช่หรือ? ให้เงินเขาไปไม่พอหรือไง…

…ครอบครัวเริ่นของพวกเจ้า เป็นพวกไม่มีสมองและยังเป็นภาระถ่วงคนอื่นอีก…

…ข้าจะบอกเจ้า เริ่นจื่อเซิง เจ้าไม่ต้องมองข้าอย่างนั้น เจ้าอย่าคิดว่าเงินสิบยี่สิบตำลึงจะไม่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร…

…ไม่ใช่เลย เป็นเพราะเงินสิบยี่สิบตำลึงนี่แหละ เจ้าถึงต้องระวัง…

…อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไป ไม่เพียงแค่ข้าไม่มีหน้ากลับไปที่จวน พี่ชายของข้าคงไม่กล้าเงยหน้ามองคนอื่น ไม่แม้กระทั่งท่านแม่ของข้าก็คงอับอายไม่กล้าพบหน้าผู้คน…

…เพราะเจ้ามีพ่อที่โง่เขลาแบบนั้น เจ้าคงถูกพวกร่วมงานหัวเราะเยาะจนฟันแทบหัก ต่อไปเจ้าเดินไปที่ไหนก็ต้องถูกคนชี้หน้าซุบซิบนินทา”

เริ่นจื่อเซิงได้ยินเรื่องนี้ เขาก็มีสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด

เรื่องนี้ทำไมถึงมีจวนกั๋วกงเข้ามาดูแล? ตระกูลลู่ ตระกูลลู่ดูแลเรื่องเล็กเช่นนี้ด้วยหรือ?

พวกผู้อพยพลี้ภัยที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านเหรินจยาใหม่ ทำไมถึงสามารถติดต่อกับตระกูลลู่ได้? มันไม่น่าจะเป็นไปได้

อีกทั้งเรื่องเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ เริ่นจื่อเซิงไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ

ถึงแม้เขาจะรู้มาว่า ตั้งแต่ท่านพ่อของเขาเป็นหลี่เจิ้ง มีความสัมพันธ์กับคนในหมู่บ้านที่ให้สิ่งของเพราะเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ขายให้ท่านพ่อของเขาได้ราคาดี และสนับสนุนพ่อของเขาอย่างมาก แต่เขาคิดไม่ถึงว่าพ่อของเขาอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แบบนั้น ยังกล้าที่จะทำเรื่องใหญ่โตโดยไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเยี่ยงนี้

เริ่นจื่อเซิงรีบเรียกคนให้เตรียมรถ เขาต้องรีบไปหมู่บ้านเหรินจยา กลับไปถามท่านพ่อของเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น และไปพบคนพวกนั้นที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ ดูว่าจะทำให้เรื่องนี้เงียบได้อย่างไร

ผู้ติดตามของเริ่นจื่อเซิงได้ยินเรื่องนี้ ก็มีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา

ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งน่าตกใจ ไม่เพียงแค่จวนโหวทราบข่าวนี้ แม้กระทั่งจวนกั๋วกงยังเข้ามาดูแลโดยตรง

จวนกั๋วกงคือใคร คนทั้งเมืองเฟิ่งเทียนไม่มีใครไม่รู้จัก

จวนกั๋วกงออกหน้ามาดูแลเรื่องนี้ ไม่ต้องพูดถึงจวนโหวกับจวนเริ่นเล็กๆ ของพวกเขาเลย แม้กระทั่งท่านอ๋องก็หยุดเรื่องนี้ไม่ได้

ผู้ติดตามรายงานกับเริ่นจื่อเซิงและเซี่ยเหวินฮุ่ย วันนี้เรือนนอกมีคนมาส่งผัก พ่อบ้านได้กระซิบบอกว่า เมื่อคืนวานท่านเริ่นหลี่เจิ้งได้พักอยู่เรือนนอกและลากเสบียงอาหารมาหลายคันรถ

เซี่ยเหวินฮุ่ยฟังจบ ก็ถอนหายใจอย่างแรง นางโมโหจนแทบจะเป็นลม

ยังกล้าที่จะขนย้ายมาไว้ที่เรือนนอกของนาง

ถ้าเป็นเช่นนี้ ต่อให้นางพูดแก้ต่างอย่างไรก็ไม่สามารถแสดงความบริสุทธิ์ใจได้

นางใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีตะโกนออกคำสั่ง “ไป รีบไป รีบรวบรวมเสบียงอาหารของที่บ้านขนไปหลายคันรถ ไม่ได้สิ ขนไปหลายสิบคันรถก่อน รีบส่งไปที่หมู่บ้านเหรินจยาให้เร็วที่สุด”