ตอนที่ 89 หลี่ซื่อถูกบังคับให้ยอมแพ้

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 89 หลี่ซื่อถูกบังคับให้ยอมแพ้

หลี่ซื่อที่ฉลาดได้เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของฮูหยินผู้เฒ่าจึงคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้บ้างแล้ว

นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดหางตาที่มิมีน้ำตาอยู่จริง ใบหน้าแสดงความโศกเศร้าออกมา

“ข้ารู้ว่าช่วงนี้เกอเอ๋อมิค่อยชอบข้า แต่ก็มิจำเป็นต้องใช้คำเหล่านี้มาปรักปรำข้า ใครมิรู้บ้างว่าเว่ยอี๋เหนียงตลอดทั้งปีเอาแต่อยู่ในเรือนเพียนมิเข้าหาผู้ใด แล้วเกอเอ๋อรู้ได้เยี่ยงไรว่าฉุนเซี่ยนผู้นั้นจงรักภักดีต่อเจ้านาย ส่วนแม่นมซุนข้างกายข้ากลับกลายเป็นสาวใช้อำมหิตเชียวหรือ ? “

แม่นมซุนก็รีบพูดว่าตนถูกปรักปรำแล้วร้องไห้ออกมา

ฮูหยินผู้เฒ่าฟังพวกนางโวยวายจนปวดศีรษะจึงตบโต๊ะแรง ๆ ไปทีหนึ่ง

“พวกเจ้าพอได้แล้ว พวกเจ้าพูดว่าตนบริสุทธิ์สะอาด ข้ามิสามารถเชื่อได้เลย”

ฮูหยินผู้เฒ่านิ่งไปครู่หนึ่ง แววตาเหลือบมองเว่ยอี๋เหนียงแล้วหันมากล่าวกับหลี่ซื่อ

“เว่ยอี๋หนียงใช้ชีวิตยากลำบากเยี่ยงนี้ เจ้ารู้มาก่อนอย่างเห็นได้ชัดแต่มิแก้ไข อีกทั้งมิเคยพูดกับข้าในระหว่างที่ข้ากลับมาจวนได้หนึ่งเดือนกว่าแล้ว นี่คือการมิรับผิดชอบต่อหน้าที่ ข้าจักลงโทษเจ้าโดยงดจ่ายเบี้ยหวัด 3 เดือนและทดแทนของต่าง ๆ ตลอดหลายปีของสะใภ้เว่ยให้เสร็จภายในสามวัน”

“ท่านแม่สั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว ข้าจักทำตามที่ท่านสั่งเจ้าค่ะ” หลี่ซื่อมิพอใจ ทว่าใบหน้าแสดงความเคารพให้เกียรติออกมา

หลังกล่าวตอบรับจบ นางก็จ้องไปทางเว่ยอี๋เหนียงโดยไร้สีหน้าแสดงอารมณ์ ทว่าแววตาเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก

หากเว่ยอี๋เหนียงอยู่ที่เรือนเพียนอย่างประมาณตนก็แล้วไป นางยังสามารถเห็นแก่ความเจียมตนแล้วปล่อยให้เว่ยอี๋เหนียงอยู่อย่างสงบสุข ทว่าอีกฝ่ายมิรู้ชั่วดี ช่างกล้ายืมมือฮูหยินผู้เฒ่าสร้างตัวและตั้งตนเป็นศัตรูกับนาง ช่างมิเจียมว่ามีสิทธิ์อันใดมาแย่งชิงกับนาง

เมื่อได้ยินว่าหลี่ซื่อถูกฮูหยินผู้เฒ่าลงโทษ อันหลิงเกอก็กระตุกยิ้มมุมปาก ใบหน้างดงามแสดงความเมตตาและอ่อนโยนออกมา

“ท่านย่าปราดเปรื่องยิ่งนัก ต่อไปถ้าให้เว่ยอี๋เหนียงรับใช้ข้างกายท่าน นางต้องทำได้ดีที่สุดแน่นอนเจ้าค่ะ”

เว่ยอี๋เหนียงแม้ขวัญอ่อน แต่ก็มิใช่คนโง่เขลา เมื่อได้ยินคุณหนูใหญ่กล่าวเช่นนั้นก็รีบขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าทันที

ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือ หลับตาลงอย่างมีความเหนื่อยล้าแต่ก็เอ่ยกับเว่ยอี๋เหนียงว่า “เจ้าตามสาวใช้กลับเรือนที่เคยอยู่ในอดีตก่อนเถิด วันนี้ข้ามิต้องการให้เจ้ารับใช้แล้ว เริ่มพรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องมารับใช้ข้าวันละ 4 ชั่วยามโดยมิต้องทำอย่างอื่น เพียงชงชาให้ข้าก็พอ”

เว่ยอี๋เหนียงขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าด้วยความเคารพนอบน้อมและตื้นตันใจ ดวงตาของนางแดงเล็กน้อย แต่ก็กดความซาบซึ้งเอาไว้

แม้นางเป็นเพียงอี๋เหนียงที่มิถูกเอ็นดู ทว่าตอนอยู่ข้างกายฮูหยินใหญ่อัน เรื่องมารยาท วัฒนธรรมต่าง ๆ ก็มิเคยถูกจับความผิดว่าบกพร่อง ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางรู้จักการวางตัวให้เหมาะ แม้นิสัยอ่อนแอไปหน่อยแต่ก็มีความอดทนอยู่บ้าง จึงพยักหน้าให้นางออกไป

อันหลิงเกอและคนอื่นก็ขอตัวลาฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเดินออกจากเรือนชิงเฟิงอย่างมีระเบียบ

หลี่ซื่อพาแม่นมซุนเดินกลับเรือน ทันใดนั้นก็หยุดแล้วหันไปมองอันหลิงเกอที่เดินตามมาด้านหลังด้วยแววตาเย็นชาและแหลมคม

“ไพ่ใบนี้ของเกอเอ๋อวางได้ดีเหลือเกิน”

ใบหน้าของอันหลิงเกอยังคงเปื้อนยิ้ม ดวงตาสบสู้แววตาแหลมคมของหลี่ซื่ออย่างมิเกรงกลัว แล้วกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“อี๋เหนียงกล่าวถึงเรื่องอันใด เกอเอ๋อมิเห็นเข้าใจเลย”

“สารเลว ! เจ้าช่างเสแสร้งเก่งเสียจริง”

หลี่ซื่อรู้สึกโกรธแค้นอันหลิงเกอยิ่งนักจึงมิอาจทำตัวเป็นมิตรอีกต่อไป นางชี้หน้าอันหลิงเกอแล้วด่ากราด

“ข้าดูถูกคนสารเลวเยี่ยงเจ้าไปหน่อย เหตุใดเจ้าก่อเรื่องให้ข้าถึงเพียงนี้ ข้ามิได้หาเรื่องเจ้า เจ้ากลับดึงข้าลงน้ำต่อหน้าต่อตา อีกทั้งยังยุยงท่านแม่ด้วย”

ราวกับว่าหลี่ซื่อยังด่ามิสมใจจึงนิ่งไปชั่วครู่เพื่อนึกคำชั่วร้ายออกมา

“คนชั้นต่ำก็คือคนชั้นต่ำ แม่เจ้าเป็นคนชั้นต่ำที่ไร้หัวนอนปลายเท้า มิรู้โผล่มาจากไหน เจ้าก็เป็นบุตรของคนชั้นต่ำ อย่าคิดว่าเจ้าเป็นคุณหนูใหญ่แล้วข้าจักทำอันใดมิได้ วันนี้เจ้าหาเรื่องข้า วันหน้าข้าจักให้เจ้ามิมีแม้แต่โอกาสร้องขอความเห็นใจอย่างแน่นอน”

เดิมทีอันหลิงเกอมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า เมื่อได้ยินหลี่ซื่อเหยียบย่ำมารดา ใบหน้าจึงนิ่งขรึมขึ้นทันที นัยน์ตาดำลึกราวกับก้นทะเลที่ทั้งน่ากลัวและมองมิออกว่ากำลังคิดอันใดอยู่

นางหันไปมองหน้าหลี่ซื่อด้วยสายตาเย็นเยือก ทำให้อีกฝ่ายต้องเกรงกลัวจนถอยหลังไป อันหลิงเกอจึงหัวเราะเยาะออกมา

“มิว่าท่านแม่จักโผล่ออกมาจากไหน อี๋เหนียงก็ต้องก้มหัวต่อนางอยู่ดี แม่ข้าเป็นภริยาที่ท่านพ่อแต่งเข้าจวนโดยมีแม่สื่อเป็นทางการและครบทุกของกำนัล ส่วนท่านเป็นเพียงอี๋เหนียงที่ถูกยกมาจากประตูรองด้วยเกี้ยวขนาดเล็ก แม้ท่านแม่จักเสียไปแล้ว ท่านยังต้องคำนับให้ป้ายวิญญาณของนางและเรียกนางว่าฮูหยินใหญ่อันอย่างให้เกียรติ”

ริมฝีปากของหลี่ซื่อถึงกับสั่นด้วยความโกรธจนมิสามารถทนเก็บโทสะไว้ในใจได้อีกจึงฟาดฝ่ามือลงไปที่แก้มของอันหลิงเกอทีหนึ่ง เสียงดังบ่งบอกว่าแรงตบนั้นรุนแรงแค่ไหน เสียงตบเป็นเหตุให้ผู้คนที่พบเห็นตะลึงงัน หลี่ซื่อเองก็ดึงมือกลับอย่างตกใจ แววตาจดจ้องแก้มที่บวมแดงของอันหลิงเกอ

อันหลิงเกอถูกหลี่ซื่อตบหน้าหนึ่งที ทว่ามิได้กุมข้างแก้มของตนไว้ นางปล่อยน้ำตาไหลลงมา

ใบหน้าของนางงดงามมาโดยตลอดราวกับมีแสงที่สามารถเปล่งประกายออกมาได้ ตอนนี้ใบหน้าที่สวยงามเปื้อนไปด้วยน้ำตา ทำให้ใบหน้ามีความอ่อนโยนมองแล้วช่างน่าสงสารยิ่งนัก

“นี่พวกเจ้ากำลังทำอันใดกัน ? “

เสียงเข้มของอันอิงเฉิงดังขึ้น เดิมทีเขาจักไปเรือนของหลี่ซื่อ พอได้ยินเสียงคล้ายคนทะเลาะกันจึงรีบเดินมาทางนี้ก็เห็นใบหน้าที่แดงก่ำของอันหลิงเกอ พลันสองคิ้วของเขาก็เลิกขึ้นและแววตาแฝงไปด้วยความมิชอบใจอยู่ ความมิชอบใจนี้เป็นเพราะหลี่ซื่อนั่นเอง

หลี่ซื่อกำลังจักอธิบาย ทว่าอันหลิงเกอเร็วกว่า

“ท่านพ่อเจ้าคะ อี๋เหนียงด่าท่านแม่เป็นคนต่ำต้อย ลูกรับมิได้จึงโต้ตอบไปเพียงมิกี่คำ ใครจักคิดว่าอี๋เหนียงจักโกรธจนตบหน้าลูกเจ้าค่ะ”

ใบหน้าอันอิงเฉิงแย่กว่าเดิม เมื่อเห็นรอยฝ่ามือแดงปรากฏอยู่ที่แก้มของอันหลิงเกอก็ได้ยืนยันคำกล่าวของนางแล้ว

หลี่ซื่อรีบเข้าไปใกล้อันอิงเฉิงด้วยใบหน้าออดอ้อนแต่ก็มิอาจปิดบังความละอายไว้ได้

“ท่านโหวเจ้าคะ อย่าโมโหไปเลย นี่เป็นความผิดของข้าเอง เดิมทีอยากสั่งสอนเกอเอ๋อแต่มิคิดว่าเกอเอ๋อจักเถียงกลับ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นผู้ใหญ่ เกอเอ๋อมิฟังคำสอนข้าทั้งยังถกเถียงผู้ใหญ่ หากผู้อื่นรู้คงคิดว่าคุณหนูใหญ่แห่งจวนโหวถูกอบรมมาเยี่ยงนี้ ข้าใจร้อนไปชั่ววูบจึงออกแรงตีนางเจ้าค่ะ”

นางอยากให้อันอิงเฉิงละเลยเรื่องนี้ไป ทว่าอันหลิงเกอจักให้นางได้ดั่งใจหรือ ?

เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้น อันหลิงเกอก็หันหน้าให้อันอิงเฉิงเห็นรอยแดงชัดเจนขึ้นแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“อี๋เหนียงด่าท่านแม่ว่าเป็นคนชั้นต่ำมิรู้โผล่มาจากไหน ยังด่าลูกเป็นคนชั้นต่ำ ลูกจึงโต้ตอบอี๋เหนียงเจ้าค่ะ”

นางเงยหน้าขึ้น พลันน้ำตาเม็ดโตที่คลออยู่ในขอบตาก็ร่วงหล่นลงมา