ภาคที่ 3 บทที่ 72 บุกยามราตรี

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 72 บุกยามราตรี

ข่าวกองเรือสินค้าพันธมิตรตระกูลสายเลือดชั้นสูงถูกปล้นนั้นแพร่สะพัดดั่งลมพายุ ทุกตรอกซอกซอยในเมืองธารน้ำใสต่างรู้กันทั่ว

ทุกคนตกใจ ไม่คิดเลยว่าจะมีคนบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ได้

แต่พวกเขาไม่รู้ ว่าข่าวน่าตกใจเช่นนี้ เมื่อมีมาแล้วก็จะมีมาอีกเรื่อย ๆ

ซูเฉินที่เพิ่งบงการการปล้นสินค้าของพันธมิตรไปกำลังเตรียมการกับข่าวเรื่องใหม่ การตายสิงซาเป่ยนั่นเอง

ค่ำคืนเหน็บหนาวคืนหนึ่ง

ซูเฉินสวมชุดยามเย็นแล้วเตรียมตัวให้เรียบร้อย เขากำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย ทำให้มั่นใจว่าทุกอย่างไม่ขาดเหลือ

เขากำลังครุ่นคิดกับตนเอง พลันรู้สึกว่ามีเงาร่างทะมึนแวบผ่านหลังไป

หือ ?

ชายหนุ่มประหลาดใจ เขารีบดับเทียนแล้วมองออกไปด้านนอก พบเพียงสวนใหญ่ที่เต็มไปด้วยหมอกดำไร้ขอบเขต ส่วนนอกคฤหาสน์ซูกลับไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติ มีแต่คนที่เคยบ่มเพาะพลังต้นกำเนิดมก่อนจึงจะสัมผัสได้ว่ามีการผันผวนของพลังต้นกำเนิดอยู่ในคฤหาสน์ซู อีกทั้งยังเริ่มพุ่งสูงจนน่าตกใจ

ซูเฉินเห็นดังนั้นก็ตกใจอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยิ้มบางออกมา “อ้อ ? ยังไม่ทันได้ออกไปหาตัว แต่กลับมาหาข้าเองแล้ว น่าสนใจนี่”

เขาเปิดประตูห้องออกไป ในสวนมีคนสวมชุดดำกลุ่มหนึ่งยืนรออยู่แล้ว รอบกายมีหมอกมืดวนเวียน ส่งผลให้ทั้งสวนใหญ่กลายเป็นที่ทะมึนมืด และแม้จะมีผ้าปิดหน้าสีดำปกปิดไว้ แต่เขาก็สังเกตว่าคนที่มีร่างกายบึกบึนที่สุดด้านหน้าคงจะเป็นสิงซาเป่ย

แสดงว่าเขาอยากสังหารซูเฉินมากกว่าที่ซูเฉินอยากสังหารเขาเสียอีก

นอกจากสิงซาเป่ยแล้ว ซูเฉินก็ยังจำคนอื่น ๆ ได้ พวกเขาคือเค่อหมิงโส่ว โจวไป๋ และอู๋เสี่ยวเหลียง สามคนที่ยืนขวางถนนเพื่อคุยกับเขาเมื่อตอนนั้น

แม้ทั้งสามจะไม่ใช่คนด่านทะลวงลมปราณ แต่ก็มาจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง แข็งแกร่งไม่น้อย อีกทั้งนับเรื่องพื้นฐานการบ่มเพาะพลังที่อยู่ขึ้นสุดด่านกลั่นโลหิตแล้ว กระทั่งคนด่านทะลวงลมปราณแต่มีเลือดผสมธรรมดายังไม่อาจโค่นพวกเขาได้ ดังนั้นจะนับว่าพวกเขาอยู่ด่านทะลวงลมปราณก็ยังได้

คนด่านทะลวงลมปราณ 4 คน อีกทั้งยังมีลูกน้องด่านกลั่นโลหิตอีกเป็นโขยง มากันมากเช่นนี้แสดงว่าประเมินซูเฉินไว้สูงไม่น้อยเลย

ซูเฉินส่งคนไปเป็นโจรสลัดเสียมาก ดังนั้นในยามนี้คฤหาสน์ซูจึงแทบจะไร้ผู้คนที่สุด ทำให้ศัตรูสามารถบุกมาถึงเรือนใหญ่ของคฤหาสน์ซูได้ในคราเดียว

แต่ถึงไม่มีทหารยามอยู่ กองทหารเกราะโลหิตและคนจากกรมพลังต้นกำเนิดก็ควรจะอยู่ แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นเงาคน

ไม่เห็นคนจากกรมพลังต้นกำเนิดยังอธิบายได้ สิงซาเป่ยอย่างไรก็เป็นเจ้ากรมพลังต้นกำเนิด ส่งคนไปทำภารกิจก่อนลงมือก็สิ้นเรื่อง ทั้งยังไม่ต้องแจ้งซูเฉินอีกด้วย

แต่การที่กองทหารเกราะโลหิตหายไปเช่นนี้ก็นับว่าทำให้ใจสะท้านได้อยู่

ซูเฉินนัยน์ตาเย็นเยียบลงเล็กน้อย

สิงซาเป่ยใช้คนด่านสู่พิสดารกดดันเขาตอนกลางวัน แต่กลับลงมือเองตอนกลางคืน เห็นได้ชัดว่ารู้จักการใช้เล่ห์กล แต่หากรีบลงมือเช่นนี้ สิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงต้องมีเอี่ยวด้วยเป็นแน่ ดูท่าจะตัดสินใจกันแล้วว่าเขาเป็นตัวการ ไม่ว่าจะต้องจ่ายราคาใดก็ต้องกำจัดเขาให้ได้

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังนับว่าดูถูกเขาเกินไป

หากพวกเขาลงมือเช่นนี้ตอนซูเฉินเพิ่งมาถึงใหม่ ๆ ก็อาจสำเร็จ

แต่ตอนนี้… มันสายไปเสียแล้ว

ตอนนี้ซูเฉินยังยืนอยู่ที่หน้าประตู มองคนชุดดำทั้งหลายในส่วนนิ่ง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่เห็นตัวเขา ยังคงเดินวนอยู่ในสวนอย่างนั้นต่อไป

ซูเฉินเอ่ยคำ “คงคิดว่าตนหาจังหวะเหมาะแล้วกระมัง หากข้าเป็นคนลงมือที่บึงหลิงหยวนจริง เช่นนั้นคฤหาสน์ซูก็ควรร้างคน ตกเป็นเป้าให้โจมตีง่าย แต่หากข้ากล้านำกองกำลังออกจากฐานทัพ มีหรือจะไม่เตรียมการไว้ก่อน ? สิงซาเป่ย ในเมื่อท่านคิดบุกรังข้า ข้าก็ไม่ขอไว้หน้าท่าน”

พูดจบก็ค่อย ๆ ยกมือขึ้น ทำให้ควันดำรอบกายผู้บุกรุกพลันเปลี่ยนเป็นอสูรร้ายน่าเกรงขาม จากนั้นพุ่งเข้าใส่พวกเขา

ควันดำเหล่านี้ไม่ใช่ฝีมือของพวกเขา แต่เป็นสิ่งที่ติดตั้งไว้ในคฤหาสน์ซูต่างหาก

ยามควันดำเปลี่ยนรูปร่าง อสูรร้ายนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้น กระโจนเข้าใส่คนชุดดำในสวน

คนชุดดำร้องขึ้น “แย่แล้ว ! พวกเราถูกลอบโจมตี !”

“อสูรร้ายพวกนี้มาจากไหนกัน ?”

“ไม่ นี่คือค่ายกล ! มันเป็นค่ายกล ! บัดซบ ซูเฉินมันสร้างค่ายกลเป็นได้อย่างไรกัน ? ไม่เห็นมีใครเคยบอกว่ามันทำได้”

“ช่วยข้าด้วย ! ข้าสังหารอสูรร้ายพวกนี้ไม่ได้”

“ไม่มีประโยชน์ อสูรร้ายพวกนี้สร้างจากพลังต้นกำเนิด ฆ่าไม่ตายอยู่แล้ว”

“บักซบ ค่ายกลนี้จะน่ากลัวเกินไปแล้ว”

“แล้วจะทำอย่างไรดี ?”

“เราต้องทำลายค่ายกล ! ทำลายค่ายกลเสีย !”

เสียงตะโกนตื่นตกใจดังขึ้นทั่วทิศ

ในสายตาผู้บุกรุกทั้งหลาย พวกเขาได้เข้ามาอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยอสูรร้ายจากพลังต้นกำเนิด แม้จะเป็นเพียงภาพมายา แต่ก็สามารถโจมตีได้จริง อีกทั้งเบื้องหลังพวกมันยังสร้างจากพลังต้นกำเนิด พวกมันอาจจะอ่อนแอกว่าอสูรร้าย แต่หากสร้างขึ้นได้นับไม่ถ้วนก็ถือว่าเหนือกว่า

ประมือกับอสูรร้ายมายาเช่นนี้ คนชุดดำจึงต่อสู้ราวกับคนบ้า แต่กลับถูกโจมตีกลับมาหนักหน่วงกว่าเดิม

ไม่เพียงแต่ภาพมายาโจมตีใส่เท่านั้น แต่ค่ายกลยังมีสายฟ้าเจือมาด้วย เสียงลมพายุโหยหวนอยู่ภายใน ราวกับมีปีศาจร้ายนับล้านกรีดเสียง ที่ใครได้ยินเป็นต้องขนลุกเกรียว

หากแต่ในสายตาซูเฉิน เขาเห็นเพียงคนชุดดำทั้งหลายตวัดดาบไปมาอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น

หากใช้เนตรมองโลกจุลภาคแล้วจะเห็นว่าพลังต้นกำเนิดถูกใช้ผ่านวิถีเฉพาะตัว จนสร้างกระแสพลังประหลาดที่ส่งผลต่อศัตรูขึ้นได้

กระแสพลังเมื่อรวมตัวกันแล้วจะสามารถใช้โจมตีได้จริง แต่ไม่แกร่งมากมายนัก กระแสพลังทั้งหลายจะฝังลงบนร่างคน เกิดเป็นภาพลวง แต่ถึงกระนั้น เมื่อมีกระแสพลังเป็นตัวคาบเกี่ยว มันก็ส่งผลให้เกิดความรู้สึกสลับระหว่างโลกมายาและความจริง และไม่เพียงแต่อสูรมายาจากพลังต้นกำเนิดจะถูกโจมตีได้เท่านั้น แต่พลังโจมตีที่คนในค่ายกลซัดออกไปยังถูกนำกลับมาใช้ต้านกันเองด้วย

การโจมตีของคนชุดดำ เมื่ออยู่ภายในค่ายกลแล้ว พวกมันจึงถูกหันเห ซัดเข้าใส่สหายร่วมศึกแทน หากแต่ในสายตาของผู้บุกรุกชุดดำ พลังซัดเหล่านั้นมาจากอสูรมายา

ดังนั้นยามติดอยู่ในค่ายกลเช่นนี้ จึงเกิดความโกลาหลไม่น้อง ได้แต่เสือกดาบตวัดแทงไปทั่ว

นี่คือค่ายกลสิบอสูรพันร่าง

ค่ายกลสิบอสูรพันร่างไม่ใช่ฝีมือซูเฉิน แต่เป็นผลงานของเจียงหานเฟิง เว่ยหยาง หม่าเซวียน และเหยียนหลิง

หน้าที่แรกหลังมาถึงเมืองธารน้ำใสคือการสร้างค่ายกลที่ต้องสามารถข่มพลังคนด่านทะลวงลมปราณได้อย่างน้อย ๆ 7-8 คน หรือสามารถถ่วงเวลาคนด่านสู่พิสดารได้

หากเป็นตัวคนเดียว พวกเขาย่อมไม่อาจสร้างมันขึ้นมาได้ แต่หากร่วมมือกัน อีกทั้งยังมีซูเฉินคอยลงทุนหาของให้ พวกเขาจึงสามารถรังสรรค์มันขึ้นมาได้

และเมื่อค่ายกลสร้างสำเร็จ ซูเฉินก็ได้แต่หวังว่าตนจะไม่ต้องใช้มัน

ไม่คิดเลยว่าคนที่จะได้ลองค่ายกลเป็นคนแรกจะมาถึงภายในไม่กี่วัน

ในตอนนี้ ลมพายุพลันซัดอยู่ใจกลางค่ายกลสิบอสูรพันร่าง ท้องฟ้าเปลี่ยนสี สายฟ้าคำรามก้อง คนชุดดำที่อยู่ในค่ายกลถูกแรงลมและสายฟ้าซัดเข้าใส่จนร้องโหยหวน แต่เพราะค่ายกลปิดกั้นทั้งแสงและเสียง คนภายนอกจึงไม่ได้ยินอะไร ไม่ว่าฟ้าจะถล่มอยู่ภายในค่ายกลรุนแรงแค่ไหน ภายนอกค่ายกลก็ยังคงเป็นภาพสงบสุขไร้เสียงใดอยู่ดี

“บัดซบ สู้สุดฝีมือไปเลย !” สิงซาเป่ยคำรามลั่น พลังของด่านทะลวงลมปราณปะทุออกจากร่างเป็นคลื่นพลังน่าเกรงขาม ชนิดที่ว่าหากไม่มีค่ายกลแล้ว เขาคนเดียวก็สามารถพังคฤหาสน์ซูให้ราบเป็นหน้ากลองได้

แต่ถึงกระนั้น ค่ายกลสิบอสูรพันร่างนี้สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือคนด่านสู่พิสดารโดยเฉพาะ ดังนั้นคนด่านทะลวงลมปราณไม่กี่คนจึงไม่อาจหลบหนีออกจากค่ายกลได้ง่าย แม้จะโจมตีออกมาพร้อมกันก็ตาม คล้ายกับทำได้เพียงส่งหนึ่งหมัดใส่ต้นไม้ใหญ่ ไร้ประโยชน์สิ้นดี

เขาสำแดงพลังออกมาไม่น้อย หากแต่มีเพียงซูเฉินที่ยืนรับชมภาพนั้น

ตู้ม !

จากนั้นก็พลันเกิดเสียงระเบิดลั่นดังมาจากในค่ายกล เป็นแสงสว่างวาบออกมา ก่อนสิงซาเป่ยล้มคว่ำลงพื้นไป

ผู้บุกรุกคนสุดล้ายลมไปแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบซูเฉินยังไม่ได้ลงมือสักนิด

เมื่อเขามองภาพสิงซาเป่ยล้มลงไป ซูเฉินก็โบกมือสลายค่ายกล จากนั้นเปิดประตูห้องหลี่ชู่

หลี่ชู่ยังไม่เข้านอน กำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างในหนังสืออยู่ข้างแสงเทียน

“เหตุใดจึงยังไม่นอน ?”

เมื่อหลี่ชู่เห็นว่าเป็นซูเฉิน เขาก็รีบลุกขึ้นเอ่ย “ข้ากำลังวางแผนขั้นต่อไปขอรับ”

“อ้อ ? ขอข้าดูหน่อย”

ซูเฉินหยิบกระดาษขึ้นมาดู พบกับตัวอักษรสามตัวทันที

สิงซาเป่ย !

หลี่ชู่อธิบาย “เขาเป็นเจ้ากรมพลังต้นกำเนิด สิงซาเป่ยต้องกลายเป็นก้างชิ้นโตให้นายท่านแน่หากไม่รีบรับมือ ข้ากำลังคิดหาทางจัดการเขา”

“อืม…… เรื่องนี้ล่ะที่ข้าจะมาคุย” ซูเฉินเอ่ย

“เช่นนั้นเราก็คิดเหมือนกันสินะขอรับ” หลี่ชู่เอ่ยเสียงตื่นเต้น

“เปล่าหรอก ข้าเพียงมาบอกให้เจ้าช่วยหาคนสัก 2-3 คนไปเก็บกวาดข้างนอกให้ข้าที”

“เก็บกวาด ? เก็บกวาดอะไรหรือ ?” หลี่ชู่ไม่เข้าใจ

ซูเฉินสะบัดกระดาษในมือไปมา “เจ้าไปดูก็รู้เอง”

ครู่ต่อมา เขาก็ได้ยินเสียงร้องตกใจของลี่ชู่ดังขึ้น

ซูเฉินเหลือบมองกระดาศในมืออีกคราก่อนคลี่ยิ้มบาง จากนั้นเปลวเพลิงพลันลุกขึ้นจากฝ่ามือ เผามันจดมอดไหม้เป็นจุล