บทที่ 71 เผชิญหน้า
หลังจากทำการแลกเปลี่ยนสำเร็จ ซูเฉินก็ไม่รั้งอยู่ต่อ รีบสั่งถังหมิง โจวจวินเจียและคนอื่น ๆ ให้เรียบร้อย จากนั้นก็ทิ้งกองกำลังสามสายธารไว้แล้วรีบกลับเมืองธารน้ำใสไป
ก่อนจากยังไม่ลืมตามหาตัวถังหมิง ขอเลือดไปขวดหนึ่งเอาไว้ใช้ทำวิจัย ทำให้ถังหมิงหน้าตาบูดบี้เลยทีเดียว
จากนั้นเขาก็รีบเดินทางกลับเมืองธารน้ำใสท่ามกลางความมืดยามราตรี ตอนนี้ฟ้ายังไม่สว่าง เมืองธารน้ำใสยังคงสงบไร้เรื่องใด
แต่ซูเฉินรู้ดีว่าความสงบสุขนี้จะอยู่ได้อีกไม่นาน
กลับไปเขาก็ไม่ได้ลงมือทำอะไรอีก ตรงไปยังคฤหาสน์ซูเพื่อพักผ่อนทันที
เช้าวันต่อมา ชายหนุ่มยังคงนอนหลับอยู่ เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งเบา ๆ ดังมาจากทิศท่าเรือ
เสียงกระดิ่งนั้นเป็นตัวแทนการสูญเสียและความล้มเหลว ชี้ให้เห็นว่าเพิ่งจะเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่มา
เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งนี้ ซูเฉินก็เผยรอยยิ้มบนหน้า
เขารู้ว่าคำของเขาถูกส่งไปถึงแล้ว
ยิ้มเสร็จก็พลิกตัวทีหนึ่งแล้วหลับตาลงต่อ
2 ชั่วยามต่อมา หมิงชูก็เดินมาเคาะประตู
“ท่านอี้หยางมาขอเข้าพบขอรับ”
“ให้เขาไปรอที่โถงรับแขก”
ครู่ต่อมา ซูเฉินก็ปรากฏตัว ก่อนพบเข้ากับบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ในห้องโถงรับแขก เขาคือข้ารับใช้ของอันซื่อหยวน หลี่อี้หยาง
เมื่อเห็นซูเฉินเดินมา หลี่อี้หยางก็ยกมือขึ้นโค้งตัวทำความเคารพ “อี้หยางเคารพผู้จัดการความรู้ซู”
“ท่านหลี่เกรงใจเกินไปแล้ว วันนี้ท่านมีเหตุอะไรถึงมาที่นี่หรือ ?” ซูเฉินเชิญหลี่อี้หยางให้นั่ง จากนั้นทำท่าสั่งหมิงชูให้รินชา
หลี่อี้หยางหัวเราะ “จริง ๆ แล้วใต้เท้าซูน่าจะรู้เหตุผลอยู่แล้ว”
ซูเฉินกระทุ้งกากใบชาในถ้วยชาเล่น “ท่านหลี่ ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูดอยู่บ้าง”
“หากผู้จัดการความรู้ซูไม่รู้ข้าก็จะบอก เมื่อคืน กองเรือสินค้าของพันธมิตรธารน้ำใสถูกปล้น”
“อ้อ ?” ซูเฉินยังคงสีหน้าไร้อารมณ์ไว้ “เรื่องนี้แปลกมากหรือ ? บึงหลิงหยวนเต็มไปด้วยโจรสลัดมากมาย เรือสินค้าผ่านไปถูกปล้นอยู่บ่อยครั้ง นับเป็นเรื่องแปลกหรือไร ?”
“แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เรือของทางพันธมิตรถูกปล้น”
“แล้วอย่างไรเล่า ?” ซูเฉินเงยหน้ามองหลี่อี้หยาง
หลี่อี้หยางหัวเราะ “ก็ไม่อย่างไรหรอกขอรับ ข้าเพียงกังวลว่าจะมีคนคิดว่าท่านมีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น เลยมาตรวจตามคำสั่งของท่านเจ้าเมือง จากนี้คงจะมีคนอีกมากที่จะมาขอเข้าพบใต้เท้าก็เป็นได้”
ได้ยินดังนั้น ซูเฉินจึงเก็บสีหน้าขี้เล่นกลับไป “ท่านเจ้าเมืองว่าอย่างไร ?”
“ก็อย่างเรื่องอื่น ๆ ที่ผู้จัดการความรู้ซูเคยลงมือ ห้ามยอมรับเด็ดขาดว่าทำ”
“เกรงว่าถึงข้าไม่ยอมรับ พวกเขาก็คิดว่าเป็นฝีมือข้าอยู่ดี”
“ข้าเชื่อว่าผู้จัดการความรู้ซูมีวิธีรับมือ” หลี่อี้หยางเอ่ย
“อืม” ซูเฉินเอ่ยเสียงเรียบ หยิบกากใบชาแล่น “อีกสัก 2-3 วัน ข้าจะออกไปปรากฏตัวสู่สายตาคนอื่นสักหลายครั้ง ผ่านไปอีกหลายวันพอเกิดเรื่องการปล้นขึ้นอีก ข้าย่อมมีหลักฐานว่าข้าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ”
“เช่นนั้นก็ได้ แม้พวกเขาอาจไม่เชื่อท่านก็ตาม…… แต่แล้วเหตุใดท่านต้องทำให้พวกเขาเชื่อด้วยเล่า ? หากเอาตัวรอดได้ก็พอแล้วกระมัง แต่หากใต้เท้าซูไม่อยู่แล้ว ท่านมีคนไว้ใจได้คอยดูแลสถานการณ์หรือ”
“บอกท่านเจ้าเมืองว่าข้ามีสหายที่ไว้ใจได้”
“รับทราบขอรับ ! เช่นนั้นข้าขอลา”
เมื่อได้คำตอบที่ต้องการแล้ว หลี่อี้หยางก็ไม่เสียเวลาอีก ขอตัวจากไปทันที
หลี่อี้หยางเพิ่งจะจากไป หัวหน้าพ่อบ้านเหลาก็เข้ามาอีกครั้ง
แน่นอนว่าครั้งนี้ไม่ได้มาในนามตระกูลเหลียน แต่มาในนามสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงเลยทีเดียว
ตระกูลเหลียนเป็นตระกูลแรก ๆ ที่มีเรื่องกับซูเฉิน แต่ด้วยหลังจากนั้นมีการพูดคุยต่อรองกัน ตระกูลเหลียนจึงไม่สร้างปัญหาให้เขาอีก อีกทั้งหัวหน้าพ่อบ้านเหลารู้หน้าที่ตนเองดี ดังนั้นความสัมพันธ์ของซูเฉินกับตระกูลเหลียนจึงค่อนข้างดี
หลังจากเกิดเหตุปล้นเรือ ตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหมดต่างก็อยากมาพบชายหนุ่มในทันที แต่ใช้เวลาอยู่นานจึงพบว่าส่งหัวหน้าพ่อบ้านเหลามาจะเป็นการดีที่สุด
หลังจากหัวหน้าพ่อบ้านเหลามาถึงแล้วจึงเริ่มการพูดคุย
ประการแรก หัวหน้าพ่อบ้านเหลาแสดง ‘การทักทายอย่างจริงใจ’ ในฐานะของพันธมิตรตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหมด จากนั้นเอ่ยความเห็นเรื่องเกี่ยวกับโจรสลัดหลิงหยวนขึ้นมา
และเมื่อชายหนุ่มได้ยินแบบนั้น ซูเฉินจึงร่วมด้วย แสดงความคิดเห็นว่าตน ‘ตกตะลึง’ และไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งในเรื่องภัยพิบัติหลิงหยวนนี้ โดยเชื่อว่าภัยพิบัติหลิงหยวนเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ว่าใครก็ต้องร่วมมือกันแก้ปัญหา สุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็มีข้อตกลงร่วมกันว่าจะจัดการกับพวกโจรสลัดอย่างไร โดยตกลงกันว่าจะเพิ่มกำลังกำจัดพวกโจรสลัดให้สิ้นไป จากนั้นหัวหน้าพ่อบ้านเหลาจึงขอตัว ก่อนจะเป็นซูเฉินที่เดินออกไปส่งเขาเอง เพื่อแสดงให้เห็นว่าการพูดคุยผ่านไปได้ด้วยดี
แต่แน่นอนว่าหลังจากออกคฤหาสน์ซูมา หัวหน้าพ่อบ้านเหลาก็หน้าคว่ำทันที
หลังส่งหัวหน้าพ่อบ้านเหลาไปแล้ว คนจากกรมพลังต้นกำเนิดก็มาถึง
สิงซาเป่ยอยากพบเขา
เมื่อเขาเดินทางมาถึงกรมพลังต้นกำเนิด สิงซาเป่ยก็นั่งอยู่บนที่นั่งสูง สีหน้าเคร่งขรึมนัก
และเมื่อซูเฉินเข้ามาเขาก็เอ่ยตามตรง “ผู้จัดการความรู้ซู ! ระยะนี้ดูเหมือนจะว่างเสียเหลือเกินนะ”
สิงซาเป่ยเป็นคนชอบสั่งนั่นนี่ ไม่คิดอ้อมค้อมอันใด คนมาถึงก็ชี้หน้ากล่าวหาทันที เห็นได้ชัดว่าในใจตัดสินไปแล้วว่าซูเฉินคือคนปล้นกองเรือสินค้า
โชคไม่ดีที่ซูเฉินไม่อ่อนแอ กล่าวคำไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง “ท่านเรียกพบข้าเพื่ออยากรู้ว่าข้าเป็นอย่างไรบ้างเท่านั้นหรือ ?”
คำพูดเหล่านี้น่าโมโหนัก สิงซาเป่ยเกือบพ่นเลือดออกมาแล้ว
เขาจ้องหน้าซูเฉิน “ซูเฉิน เจ้า……”
ซูเฉินยกมือขึ้น “อย่าอ้อมค้อมกันอีกเลย ข้ามีงานล้นมือทุกวัน วันนี้ก็มีคนมาหาข้ามากมายแล้ว ดังนั้นข้าจึงรู้ว่าท่านจะพูดอะไร ข้าจะตอบท่านตามตรง ข้าไม่เกี่ยวข้องกับการปล้นเรือสินค้าของพันธมิตรธารน้ำใส ข้าจะพูดเช่นนี้ ท่านเชื่อหรือไม่ก็เรื่องของท่าน”
พูดจบ ซูเฉินก็หันหลังเดินจากไป
“ซูเฉิน !” สิงซาเป่ยตบโต๊ะปัง “เจ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะอยู่เหนือกฎหมายได้งั้นหรือ ?”
ซูเฉินหันมามองสิงซาเป่ย “อยู่เหนือกฎหมาย ? กล่าวได้ดีนี่ ! หลายปีมานี้ ตระกูลสายเลือดชั้นสูงร่วมมือกับโจรสลัดเพื่อครอบครองทางน้ำและทรัพยากรทั้งหลายโดยไม่จ่ายภาษี ไม่เพียงเท่านั้น ยังเอาพวกกลุ่มอัธพาลต่าง ๆ เข้ามาก่อการในเมือง ท่านคิดว่าพวกเขาทำตัวอยู่เหนือกฎหมายหรือไม่ ?”
สิงซาเป่ยจ้องซูเฉินแขม็ง ซูเฉินก็จ้องกลับไปไม่ไว้หน้า ระหว่างคนทั้งสองราวกับมีกระแสไฟลั่นเปรี๊ยะ
ครู่หนึ่งผ่านไป สิงซาเป่ยจึงหัวเราะเสียงทะมึน “ดี ดีมากไอ้หนู ! กล้าดีนี่ ! ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้ายังจะทำตัวหยิ่งผยองไปได้อีกสักแค่ไหน”
“ก็นานกว่าท่านแล้วกัน” ซูเฉินตอบแล้วเดินออกจากกรมพลังต้นกำเนิดไป
สิงซาเป่ยมองอีกฝ่านเดินจากไปแล้วก็พลันตะโกนขึ้น “ซูเฉิน รู้เอาไว้เสียว่ากองทหารเกราะโลหิตกับเหรียญผู้กล้าไม่อาจคุ้มหัวเจ้าได้ตลอด ! หากเจ้าบีบคนจนจนตรอก ไม่ต้องใช้คนมากมายหรอก ผู้เชี่ยวชาญคนเดียวก็อาจลบล้างตัวตนเจ้าหายไปสิ้นได้ !”
ซูเฉินหยุดฝีเท้าไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรแล้วเดินจากไป
แต่กลิ่นสังหารในใจกลับโชยแรงขึ้นกว่าเก่า
เดิมทีเขาไร้ความแค้นใดกับสิงซาเป่ย แต่ตอนนี้ดูเหมือนอีกฝ่ายจะทำตัวรกหูรกมากเกินไปแล้ว
ดูท่าคงจะต้องหาทางกำจัดอีกฝ่ายเสียแล้วกระมัง ไม่เช่นนั้นการมีเจ้ากรมพลังต้นกำเนิดไม่ค่อยจะสมประกอบอยู่เช่นนี้คงปวดหัวไม่น้อย
แต่อีกด้านหนึ่ง คำของสิงซาเป่ยก็ทำให้เขาระวังตน
ชายหนุ่มรู้ว่าสิงซาเป่ยหมายความว่าอย่างไร
หากเขาบีบสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงจนจนตรอก และหากอีกฝ่ายคิดสังหารเขา คนพวกนั้นก็สามารถทำได้แม้ว่าจะต้องจ่ายมากแค่ไหนก็ตาม
หาคนด่านสู่พิสดารสักคนมาจัดการก็สิ้นเรื่อง
บางที… ข้าอาจต้องเริ่มเตรียมพร้อมรับมือเรื่องนี้เสียแล้ว ซูเฉินคิด