บทที่ 154
ยอมตายไม่ยอมแพ้
“ลูกพี่ใหญ่ พวกเรารีบลงเขากันเถอะ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงได้ขาดใจตายไม่เร็วก็ช้าแน่”
แล้วผู้คนที่กำลังตื่นตระหนกก็ได้เดินไปหาอู๋จื้อเฟิง แล้วเตือนให้เขาฟังถึงความอันตรายของควันหนานี้
อู๋จื้อเฟิงก็ได้หรี่สายตาลง แล้วสายตาที่กระหายเลือดของเขาก็มองกวาดไปที่ผู้คนแล้วกล่าวอย่างหนาวเย็น “บางทีฝ่ายตรงข้ามเองก็กำลังหว่านแหดักรอพวกเราอยู่ ถ้าพวกแกอยากที่จะรอด ก็อย่าได้ลงจากภูเขาไป”
“แต่หัวหน้า ถ้าพวกเราไม่ลงเขาไป พวกเราก็จะตายกันก่อนนะ”
โจรเหล่านี้ได้มารวมตัวกันก็เพื่อทองและชีวิตที่สุขสบาย แต่ถ้าพวกเขาไร้ซึ่งชีวิตแล้ว จะเอาทองไปทำไมอีก? แล้วในขณะนั้นเองก็มีคนที่ขลาดกลัวจนทนไม่ไหวและวิ่งลงจากเขาไป
“ถูกจับก็ยังดีกว่าถูกเผาจนตายอยู่ในภูเขา” เหล่าคนที่หลบหนีก็ได้ตะโกนอย่างเสียงดัง แต่เขาไม่รู้เลยว่าเสียงตะโกนของเขานั้นได้กระตุ้นให้คนอื่นๆทำตาม
มองไปที่คนที่กำลังพากันหนีไป ดวงตาของอู๋จื้อเฟิงก็ได้ปรากฏแววตาดุดันขึ้นมา แล้วดาบยาวในมือของเขาก็ได้ถูกขว้างออกไป แล้วปักเข้ากับหินแกรนิตเกิดเสียงดังแสบแก้วหูขึ้นมา “ใครอยากที่จะหนีไป ก็ข้ามศพข้าไปก่อน”
ผู้คนที่กำลังหนีด้วยความตื่นตระหนกนั้นแม้ว่าจะได้ยินที่เขาพูด แต่ก็ไม่มีใครเลยที่คิดลังเลใจและหยุดวิ่งเลย
อู๋จื้อเฟิงก็มองดูทั้งหมดนี้ด้วยสีหน้าที่เย็นยะเยือก แล้วก็พุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยความโมโหแล้วดึงเอาดาบยาวของเขาออกมาแล้วฟันคนที่วิ่งหนี หลังจากที่ฟันไป 5-6 คนรวดเดียวแล้ว พวกโจรที่เหลือก็เริ่มกลัวขึ้นมาทันที พวกเขาได้เกาะกลุ่มรวมกันเป็นก้อนแล้วจ้องไปที่อู๋จื้อเฟิงด้วยความกระวนกระวายใจ “ลูกพี่ใหญ่ พวกเราขอร้อง ได้โปรดปล่อยให้พวกเรารอดชีวิตไปเถอะ!”
“ทำไมข้าถึงจะปล่อยให้พวกเจ้าตายกัน?” มีคำพูดล้อเล่นปนอยู่ในคำพูดของอู๋จื้อเฟิง เขามองไปที่ผู้คนที่หวาดกลัวอยู่ตรงหน้าเขา แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
การหัวเราะของลูกพี่ใหญ่นั้นทำให้ผู้คนรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล จนพวกเขานั้นไม่กล้าที่จะพูดหรือทำเสียงอะไรดังแม้แต่น้อย
อู๋จื้อเฟิงก็ได้สะบัดผ้าชุบน้ำของเขา “มีลำธารไหลอยู่ที่ภูเขาลูกนี้พวกเราไม่ตายหรอก”
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่คิดหรอกว่าพวกเขานั้นจะโหดร้ายได้มากพอที่จะจุดไฟเผาป่า อย่างไรก็ดีเหมืองทองในภูเขาลูกนี้นั้นคือสิ่งที่ใครๆต่างก็อยากได้ทั้งนั้น”
เสียงที่หนาวเย็นนี้ได้ทำให้หัวใจที่ตื่นกลัวของผู้คนได้สงบลงอย่างช้าๆ แต่ก่อนที่พวกเขาจะถอนหายใจโล่งอก เสียงที่เลือดเย็นของลูกพี่ใหญ่ก็ได้ดังเข้ามาในหูของพวกเขา “ต่อให้พวกเขาจุดไฟเผาภูเขาลูกนี้จริงๆ แต่ถ้าใครคิดกล้าที่จะหลบหนีไป ข้าจะฆ่าคนคนนั้นทิ้งเสีย”
ทันทีที่เขาพูดเช่นนี้ออกไป ยังจะมีใครที่กล้าต่อต้านเขาอีก? พวกเขารู้ดีว่าลูกพี่ใหญ่ของพวกเขานั้นพูดคำไหนคำนั้น ถึงพวกเขาจะมีวรยุทธ์ที่แกร่งกล้า แต่ก็ไม่อาจต้านทานเขาได้เลย เรียกได้ว่าเรือโจรนั้นลงง่ายแต่คิดจะขึ้นจากเรือนั้นยาก
ที่ตีนเขาอูวิ๋น หลินซีเหยียนกับคนอื่นๆก็ได้รอกันเงียบๆอยู่นานแล้วแต่ก็พบว่าไม่มีใครลงมาจากเขาเลยแม้แต่คนเดียว
ปรากฏการณ์เช่นนี้เรียกได้ว่าแปลกประหลาดสุดๆ เว้นเสียแต่ว่าอู๋จื้อเฟิงนั้นจะมองแผนการของพวกเขาออก และไม่ยอมลงมาจากเขา
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว พวกเขานั้นประมาทในความเลือดเย็นและดุดันของอู๋จื้อเฟิงเกินไป
“ข้าจะขึ้นไปตรวจดูบนเขา พวกท่านคอยเฝ้าดูบริเวณนี้ต่อไป”
เมื่อรู้สึกได้ถึงทิศทางลมที่กำลังเปลี่ยน หลินซีเหยียนก็คิ้วขมวดขึ้นมา ภูเขาอูอวิ๋นนี้จะต้องถูกจัดการโดยทันทีไม่อย่างนั้นแผนการนี้จะล้มเหลว
แล้วเยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้ดึงมือของนางเอาไว้ด้วยสีหน้าที่ไม่เห็นด้วย “ถ้าเจ้าไปข้าจะไปด้วย ข้าจะเปล่าให้เจ้าไปคนเดียวในที่ที่อันตรายได้อย่างไร?”
“ท่านเป็นผู้บังคับบัญชา ท่านจะต้องอยู่ที่นี่” หลินซีเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจังแล้วจากนั้นก็ยิ้ม “ยิ่งไปกว่านั้น ถึงวรยุทธ์ของข้าจะไม่ดี แต่ความสามารถในการเอาตัวรอดของข้านั้นชั้นหนึ่ง ท่านวางใจได้เลย!”
เยี่ยจุนเจี๋ยเองก็รู้ดีว่านี่เป็นช่วงเวลาวิกฤติ เขาจึงทำได้แค่กัดฟันเฝ้าดูที่นี่แล้วปล่อยให้หลินซีเหยียนไปคนเดียว ทุกคนต่างก็มองดูแผ่นหลังของหลินซีเหยียนด้วยความน่าเกรงขาม แต่ไม่มีใครที่รู้เลยว่ารองแม่ทัพที่ถูกหลินซีเหยียนจัดการนั้นก็ได้แอบหายไปด้วย
บนภูเขาหลินซีเหยียนก็พบลำธารจึงได้เอาผ้าเช็ดน้ำชุบน้ำ แล้วจากนั้นก็เดินไปตามลำธารแล้วมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง
อย่างที่คาดเอาไว้ แล้วหลินซีเหยียนก็ได้พบคนของอู๋จื้อเฟิงเข้า นางก็ได้เผยรอยยิ้มที่มุมปากของนางแล้วก็เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายได้ในทันที นางหยิบเอาขวดยาออกมาจากกระเป๋าข้างเอวของนางแล้วโปรยลงไปในน้ำ ทันทีที่คนเหล่านี้เอาผ้าชุบน้ำในลำธาร พวกเขาก็จะถูกพิษในน้ำทันที
ในขณะที่หลินซีเหยียนเฝ้ารอดูสถานการณ์อย่างเงียบๆอยู่นั้น ก็ได้มีเสียงหินขยับดังขึ้นมาจากข้างหลังของนาง
“ใครน่ะ?” ถึงแม้จะอยู่ในภาวะตื่นตระหนก แต่อู๋จื้อเฟิงก็ยังระแวดระวังและไม่ปล่อยให้เสียงใดๆหลุดรอดไปได้ เขาก็ได้เดินไปตรงนั้นด้วยความระมัดระวัง
หลินซีเหยีนที่ได้ยินเสียงก็ได้คิดที่จะหนีทันที นางกลับหลังหันแล้วมองไปยังป่าโล่งๆ ดวงตาสีดำของนางก็ได้ดำมืดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนที่นางจะได้คิดอะไรมากกว่านั้น นางก็ได้เริ่มออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต
“ต้องอย่าให้ถูกจับได้”
เพราะสภาพพื้นที่ที่ขรุขระและไม่สม่ำเสมอ ทำให้ หลินซีเหยียนต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการหลบหนีโดยปราศจากซึ่งวิชาตัวเบา ส่วนอู๋จื้อเฟิงก็กระโดดแค่ไม่กี่หนก็เข้าใกล้หลินซีเหยียนแล้ว
เมื่อเห็นว่าคงหนีไม่พ้นแน่ หลินซีเหยียนจึงได้หยุดวิ่งแล้วหันกลับมาจ้องมองอู๋จื้อเฟิงอย่างใจเย็น แล้วเผยรอยยิ้มที่มุมปากออกมา “เจ้าคงจะเป็นผู้นำกองโจรสินะ!”
อู๋จื้อเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมความใจกล้าของอีกฝ่ายเมื่อเขาเห็นอีกฝ่ายที่ยังคงใจเย็นอยู่ได้หลังจากที่ตื่นตระหนกเมื่อสักครู่
ชื่นชมก็เรื่องหนึ่ง แต่เป็นศัตรูหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อู๋จื้อเฟิงก็ได้จับจ้องไปที่ใบหน้าของหลินซีเหยียนแล้วกล่าว “เจ้าเป็นใคร? เป็นสุนัขรับใช้ราชสำนักงั้นเหรอ?”
“ดูเหมือนว่าคุณลูกพี่ใหญ่จะดูไม่ค่อยพอใจกับคนในพระราชสำนักสินะ” หลินซีเหยียนก็ได้ทำเป็นใจเย็นราวกับ เซียน แล้วนางก็ได้ทำเป็นเขินเล็กน้อยแล้วกล่าว “ข้านั้นเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านแม่ทัพเยี่ย ท่านแม่ทัพได้ให้ข้ามาส่งข้อความให้ท่าน”
“ว่ามา?” อู๋จื้อเฟิงก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนอย่างสงสัย ซึ่งความระแวดระวังในดวงตาของเขานั้นไม่ได้ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขานั้นสามารถบิดคอของนางได้ทันทีที่นางทำอะไรตุกติก
หลินซีเหยียนก็ได้กระแอมแล้วจากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านแม่ทัพเยี่ยได้ให้ข้ามาบอกกับท่านว่าหากว่าพวกท่านทุกคนยอมแพ้ เขาก็จะปล่อยให้พวกท่านมีชีวิตรอดให้พวกท่านได้กลับตัวกลายเป็นคนใหม่”
ราวกับว่าควันหนานี้ทำให้เขาตาพร่า อู๋จื้อเฟิงก็ได้ขยี้ตาของเขาแล้วจากนั้นก็กล่าวอย่างประชดประชันด้วยความโมโห “หึหึ แม่ทัพเยี่ยนี่ช่างมั่นใจจริงนะ นี่ข้าจะต้องขอบคุณสำหรับความใจกว้างของแม่ทัพเยี่ยไหมเนี่ย?”
หลินซีเหยียนที่ยังมีสีหน้าใจเย็นอยู่ แต่ในใจนางร้อนรนมาก นางนั้นกำลังเสี่ยงดวงอยู่โดยหวังให้อู๋จื้อเฟิงนั้นเป็นคนที่โอหัง แล้วบอกให้นางนำคำของเขากลับไปบอกแม่ทัพเยี่ย
“หึ แม่ทัพเยี่ยทั้งยังหนุ่มแน่นและมีความสามารถ อีกทั้งยังมีทุนทรัพย์ ข้าไม่นึกเลยว่าเขาจะอุตส่าห์ส่งคนมาบอกให้ยอมแพ้ ดังนั้น……”
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ ก็ได้มีดาบคมๆเย็นๆจ่อที่คอหอยของนาง นางได้เปิดปากออกแล้วใช้แรงเล็กน้อยเพื่อให้หายใจออก ทันใดนั้นก็ได้มีของเหลวชื้นๆอุ่นๆไหลออกมาจากคอของนาง
“เจ้าไม่กลัวตายบ้างรึยังไง?” เมื่อไม่เห็นว่าจะร้องขอชีวิตอย่างที่เขาคาดเอาไว้ อู๋จื้อเฟิงก็ได้คิ้วขมวดขึ้นมาและปรากฏแววตาไม่พอใจในดวงตาของเขา
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่อู๋จื้อเฟิงอย่างไร้ความหวาดกลัว “ในตอนที่ข้าตัดสินใจที่จะเป็นคนส่งข้อความให้ท่านแม่ทัพ ข้าก็ได้เตรียมพร้อมที่จะตายเอาไว้แล้ว เจ้าจะฆ่าข้าหรือฟันข้าให้ขาดก็เชิญ ขอแค่ท่านฟังข้าก็พอแล้ว….”
“มีอะไรจะสั่งเสียแค่นี้ใช่ไหม?”
อู๋จื้อเฟิงก็ได้ขยับดาบของเขาเล็กน้อยด้วยท่าทีที่ไม่พอใจ ซึ่งทำให้หลินซีเหยียนนั้นรู้สึกได้ถึงความเจ็บของการมีของแหลมคมมาเฉือนผิวหนังของนาง แล้วนางก็ได้บิดริมฝีปากของนางแล้วปิดปากเงียบสนิท