ภาค 1 บทที่ 98 คุกเข่าพูด

จอมศาสตราพลิกดารา

ตอนที่หลี่มู่มาถึงหน้าประตูที่ว่าการ กลับไม่ได้คุกรุ่นเหมือนที่คิดเอาไว้

ผู้ช่วยขุนนางเมืองคนใหม่ฉู่ซูเฟิงใบหน้ายิ้มแย้ม นำทหารชุดเกราะสีดำเดินมาต้อนรับ

“ขอต้อนรับใต้เท้าหลี่มู่กลับอำเภอ”

ฉู่ซูเฟิงทำหน้ายิ้มแย้ม ท่าทีเคารพนอบน้อมยิ่ง แสดงทีท่าถ่อมตัวอย่างขุนนางผู้น้อยต้อนรับเจ้านายได้อย่างถึงใจ

ทหารชุดเกราะข้างหลังก็ทำความเคารพหลี่มู่เช่นเดียวกัน

หลี่มู่ไม่มองเขา เดินไปยังประตูที่ว่าการอำเภอทันที

เฝิงหยวนซิง หม่าจวินอู่ และเจินเหมิ่งที่อยู่ข้างหลังไม่พูดอะไรสักคำ มีพัศดีเป็นผู้หามตามหลังหลี่มู่มาติดๆภายใต้การดูแลของหมอ

คนกลุ่มนี้ก็เมินฉู่ซูเฟิงไปเช่นเดียวกัน

ราวกับว่าผู้ช่วยขุนนางเมืองที่มารับตำแหน่งใหม่เป็นธาตุอากาศอย่างไรอย่างนั้น

สีหน้าของฉู่ซูเฟิงเปลี่ยนไปทันควัน ค่อนข้างกระอักกระอ่วน

ไม่นานนัก เมื่อเขาเห็นข้างหลังกลุ่มคนมีหนิงจ้งซานและหลี่ปิงที่โดนลากมาเหมือนสุนัขตาย หางตาของเขาก็ฉายประกายโหดเหี้ยม

แต่เขาเก็บซ่อนมันลงไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อฉู่ซูเฟิงเงยหน้าขึ้นมา บนใบหน้าของเขาก็กลายเป็นรอยยิ้มจริงใจ ถ่อมตัว และมีมารยาทเป็นที่สุด

เขาเดินไล่ตามมาข้างๆ หลี่มู่ หัวเราะก่อนพูดขึ้นว่า “ได้ยินว่าใต้เท้าเดินทางกลับมา ข้าน้อยให้ที่ว่าการเตรียมพร้อมทุกอย่างเอาไว้ อาจารย์เจิ้งแขกผู้สูงศักดิ์จากเมืองฉางอันก็ได้สั่งให้คนจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับใต้เท้าเอาไว้แล้วเช่นกัน”

หลี่มู่ไม่พูดอะไร

ฉู่ซูเฟิงเหมือนโดนหักหน้า แต่กลับไม่รู้สึกรู้สา ยังคงยิ้มอย่างถ่อมตัวและทำท่าทีนำทางให้หลี่มู่

ในที่ว่าการอำเภอ ทุกมุมทางเดินล้วนมีทหารชุดเกราะสีดำพกอาวุธครบครันยืนอยู่

ทั่วทั้งที่ว่าการรักษาความปลอดภัยเอาไว้อย่างแน่นหนา

“นี่คือกองกำลังทหารเกราะดำที่ท่านเจ้าเมืองฉางอันส่งมาคุ้มกันอาจารย์เจิ้ง อาจารย์เจิ้งมีฐานะพิเศษ ดังนั้นท่านเจ้าเมืองจึงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเขามาก ทหารชุดเกราะทุกคนล้วนเป็นบุคคลชั้นยอดที่เลือกเฟ้นมาจาก ‘กองกำลังฉางอัน’ กองกำลังทหารจากเมืองฉางอัน” ฉู่ซูเฟิงยิ้มกล่าว

ความหมายแฝงก็คือ ใต้เท้าเจ้าเมืองยังให้ความสำคัญกับอาจารย์เจิ้งอยู่

หลี่มู่ก็ยังคงไม่พูดจาเช่นเดิม

ทหารชุดเกราะชั้นยอดใจเหล็กพวกนั้น กระทั่งไม่สามารถดึงดูดสายตาของเขาได้แม้แต่น้อย

ทำให้ฉู่ซูเฟิงที่แอบสังเกตอยู่กรุ่นโกรธในใจ

‘หึๆ ปล่อยให้เจ้าได้ใจไปก่อนเถอะ อีกไม่นานได้มีช่วงที่เจ้าต้องหลั่งน้ำตาแน่ ก็แค่คนบุ่มบ่ามป่าเถื่อนเท่านั้น คิดจะกำเริบเสิบสาน ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องตกหลุมพรางที่อาจารย์เจิ้งวางไว้ให้เจ้าอย่างว่าง่ายแน่นอน’

ฉู่ซูเฟิงสาปแช่งในใจ

แต่ต่อหน้าเขาก็ยังคงควบคุมเอาไว้ได้อย่างดี ไม่แสดงความไม่พอใจออกมาแม้แต่น้อย

ไม่นานนัก ทะลุผ่านโถงทางเดินก็มาถึงยังโถงหลักของที่ว่าการ

ทหารเกราะดำชั้นยอดประมาณสี่สิบกว่าคนจัดขบวนต้อนรับ อาวุธพรั่งพร้อม ธงโบกสะบัด มีกลิ่นอายเด็ดเดี่ยว แข็งแกร่งกว่าทหารชุดเกราะดำหน้าประตูคุกก่อนหน้านี้ซึ่งหนีทั้งที่ยังไม่ได้ต่อสู้มาก บนร่างของทหารชุดเกราะทุกคนต่างแผ่กลิ่นอายเยือกเย็นห้ามเข้าใกล้ออกมา

ขุนนางฝ่ายอักษรน้อยใหญ่ทั้งหลายในอำเภอขาวพิสุทธิ์ล้วนยืนตัวตรงอยู่ในโถง

การมาถึงของหลี่มู่ทำให้พวกเขาส่งเสียงฮือฮาเบาๆ ทุกสายตามองมายังหลี่มู่ สีหน้าซับซ้อน แต่ในสายตาส่วนมากล้วนแฝงไว้ด้วยความสงสาร กระทั่งมีบางคนสะใจบนความทุกข์คนอื่น มีเพียงส่วนน้อยที่ค่อนข้างเป็นกังวล แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร

ที่ประตูโถงหลัก มีบัณฑิตร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลาในชุดแพรยืนอยู่ด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

การแต่งตัวของเขาราวกับผู้ปลีกวิเวกไม่สนใจเรื่องทางโลก พัดขนนกกระเรียนในมือโบกเบาๆ ท่าทางบริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนคาวโลกีย์ แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือปานสีแดงที่แก้มของเขาทำลายรัศมีบุคคลสูงส่งสันโดษ ทำให้เขาดูชั่วร้ายขึ้นหลายส่วน

คนนี้ก็คือ ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เจิ้งฉุนเจี้ยนนั่นเอง

ข้างกายเจิ้งฉุนเจี้ยนมีร่างชุดสีดำยืนอยู่ หน้าตาหล่อเหลา แต่สีหน้ากลับซีดขาวนัก เขายืนอย่างเงียบสงบ ท่าทางนิ่งเฉย เป็นเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิงนั่นเอง

“ฮ่าๆ ได้ยินว่าใต้เท้าหลี่กลับมาแล้ว ในที่สุดข้าก็ได้เจอใต้เท้าเสียที”

ใบหน้าของเจิ้งฉุนเจี้ยนแย้มยิ้มที่ทำให้คนเบิกบานใจ พลางเดินจากบันไดสูงหน้าประตูลงมาทีละก้าวๆ แล้วทำความเคารพหลี่มู่ราวกับสหายเก่าแก่ที่ไม่ได้เจอกันมานาน

ท่าทางเช่นนี้ทำให้หนิงจ้งซานที่ถูกพัศดีลากมาไม่เข้าใจ สมองมึนงงไปเล็กน้อย

ไม่ใช่ออกหมายจับหลี่มู่ บอกเอาไว้ว่าจะฆ่าจิ้นซื่อน้อยคนนี้ให้ตายหรอกรึ?

ทำไมตอนนี้อาจารย์เจิ้งกลับต้อนรับอย่างมีมารยาทเช่นนี้?

ในใจของเขาตกใจสงสัยระคนคับแค้น แต่ก็ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว รอดูการเปลี่ยนแปลงอยู่เงียบๆ ฝีมือของอาจารย์เจิ้งบางครั้งเขาก็ไม่อาจคาดเดาได้ กลัวว่าพูดออกมาแล้วจะทำให้แผนของอาจารย์เจิ้งเสียเอา

เฝิงหยวนซิงและเจินเหมิ่งที่ถูกหามอยู่บนเปลหามฝืนไม่ให้ตนสลบไป เห็นภาพนี้แล้วในใจก็อดร้อนรนขึ้นมาไม่ได้ โฉมหน้าที่แท้จริงของเจิ้งฉุนเจี้ยนและฉู่ซูเฟิงในวันนั้น พวกเขาสัมผัสได้อย่างดี เป็นงูพิษสองตัวอย่างจริงแท้แน่นอน ทั้งสองชัดเจนว่าเป็นงูพิษที่คิดไม่ซื่อต่อหลี่มู่

แต่ตอนนี้งูพิษสองตัวนี้กลับไม่ได้เผยเขี้ยวและลิ้นพิษออกมา กลับแสดงใบหน้ายิ้มแย้ม ทำให้คนยิ่งรู้สึกว่าชั่วร้ายอันตราย

เพียงแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขากลับไม่รู้จะเอ่ยปากเตือนหลี่มู่อย่างไร

“ฮ่าๆ ได้ยินมาว่าใต้เท้าหลี่มู่ไล่สังหารพวกชั่วช้าในยุทธจักร หลายวันที่ผ่านมานี้หายไปไร้ร่องรอย ทำให้ข้าน้อยกังวลยิ่งนัก วันนี้ใต้เท้ากลับมา ในที่สุดข้าน้อยก็โล่งใจได้เสียที” เจิ้งฉุนเจี้ยนยิ้มอย่างสัตย์ซื่อและจริงใจ เดินมาจับมือของหลี่มู่ ท่าทางเหมือนสหายเก่าพบหน้ากัน ก่อนจะเอ่ยว่า “เมื่ออยู่ที่ฉางอันก็ได้ยินว่าในอำเภอขาวพิสุทธิ์มีวีรบุรุษ กำลังรบไม่เป็นสองรองใคร วันนี้ได้พบแล้วเป็นอย่างที่เลื่องลือจริงๆ วีรบุรุษอายุน้อย เลิศล้ำเหนือใคร”

หลี่มู่มองเขาแวบหนึ่ง

สายตาเย็นเยียบ

จากนั้นก็มองมือที่ยื่นมาของเจิ้งฉุนเจี้ยนอย่างเย็นชาโดยไม่พูดอะไร สีหน้ายิ่งเย็นชากว่าเดิม

จิตสังหารกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งออกมาทันที

ร่างของเจิ้งฉุนเจี้ยนแข็งทื่อ ความเย็นพวยพุ่งมาจากกระดูกก้นกบ

เขามีความรู้สึกเหมือนว่าหลี่มู่ในตอนนี้เป็นมังกรบรรพกาลดุร้ายที่อยู่ในอารมณ์เดือดดาล ขอแค่ตนแตะมือสัมผัสร่างของหลี่มู่อย่างไม่รู้ดีชั่ว ก็จะเรียกภัยพิบัติทำลายล้างมาในทันที

ดังนั้นฝ่ามือของเขาจึงค้างอยู่กลางอากาศอย่างกระอักกระอ่วน

มุมปากของหลี่มู่ปรากฏรอยยิ้มเย็นเหยียดหยามดูถูก

เขาเดินผ่านร่างของเจิ้งฉุนเจี้ยน ย่างไปบนบันไดหินมาถึงข้างกายของชิงเฟิง

ชุดเด็กรับใช้บัณฑิตเหมาะสมสะอาดสะอ้าน เส้นผมดกดำก็หวีเรียบร้อยไม่ยุ่งเหยิง ใบหน้าหล่อเหลาและมือที่ขาวเนียนก็สะอาดดี บนร่างยังมีกลิ่นดอกกล้วยไม้หอมจางๆ นอกจากริมฝีปากปิดสนิทที่บวมแดงเล็กน้อย สีหน้าขาวซีดไปบ้างแล้ว เด็กรับใช้บัณฑิตยืนตัวตรง ทั่วร่างไม่มีร่องรอยได้รับการทรมานอะไร

หลี่มู่โล่งใจเล็กน้อย

ความตึงเครียดบนใบหน้าในที่สุดก็ผ่อนคลายลงมาบ้าง เขาขยี้ผมของชิงเฟิงเบาๆ

อย่างไรเสียก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ไม่มีฐานะตำแหน่งอะไร ท่าทางคนที่มาจากเมืองฉางอันพวกนี้จะไม่ได้สร้างความลำบากใจอะไรให้กับเขา

“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” เขาถาม

เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยใบหน้าประดับรอยยิ้ม เม้มปากพยักหน้า

“หมิงเยวี่ยล่ะ? ทำไมไม่เห็นนาง? ไม่ใช่ว่ายังกลับมาไม่ถึงที่ว่าการหรอกนะ?” หลี่มู่ถามอีก

เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยใบหน้ายังคงแย้มยิ้ม พยักหน้าต่อไป

หลี่มู่ขมวดคิ้ว

หมิงเยวี่ยยังไม่ได้กลับมาที่ว่าการอย่างนั้นหรือ?

เจ้าขอทานเฒ่าสมควรตายนั่น คงไม่ได้ตระบัดสัตย์ลักพาตัวโลลิหน้ามึนไปหรอกนะ?

หลี่มู่คิดเช่นนี้ ก่อนมองไปยังริมฝีปากบวมแดงของชิงเฟิงที่ยังมีรอยเลือดอยู่น้อยๆ ได้กลิ่นยาจางๆ เห็นได้ชัดว่าทายาสมานแผล จึงถามขึ้น “ปากเจ้าเป็นอะไรไป?”

“อ้อ เจ้าหนูนี่เมื่อวันก่อนไม่ระวัง สะดุดล้มกระแทกบันไดหินจนปากแตก ทั้งยังกระแทกจนฟันหน้าหักไปหลายซี่…” ผู้ช่วยขุนนางเมืองคนใหม่ฉู่ซูเฟิงรีบร้อนเดินมาตอบ จากนั้นกล่าวยิ้มๆ “ไม่เชื่อ ท่านถามชิงเฟิงดู”

ชิงเฟิงยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้าให้

แต่ในใจของหลี่มู่เกิดความสงสัยขึ้นแล้ว

เขาย่อตัวลงมองเด็กรับใช้บัณฑิตน้อย ยกมือขึ้นจับปากของเด็กชาย

เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยสีหน้าตกใจลนลาน ก้าวถอยไปข้างหลัง

“อยู่นิ่งๆ” หลี่มู่ยืนมืออกไปเลิกแขนเสื้อของเขาขึ้นมา ท่อนแขนมีรอยรัดน่าสยดสยองบาดลึกเข้าไปในเนื้อ เนื้อเน่าเฟะจนแทบจะเห็นกระดูกข้างใต้ หลี่มู่ตกใจ “นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น”

เด็กรับใช้บัณฑิตก้มหน้า ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร

ร่างของเขาเริ่มสั่นเทาน้อยๆ

บนหน้าผากมีเหงื่อไหลลงมาทีละเม็ดๆ

สีหน้าก็ยิ่งขาวซีดลงเรื่อยๆ ราวกระดาษขาวก็ไม่ปาน

หลี่มู่มองออก นี่เป็นเพราะเจ็บปวด

หลี่มู่ฉีกแขนเสื้อทั้งสองข้างของเด็กรับใช้บัณฑิตออกทั้งหมด

เมื่อได้เห็น เขาสูดลมหายใจเย็น

รอยรัดราวกับงูพิษเหี้ยมโหดแต่ละรอย รัดไปทั่วแขนทั้งสองของเด็กรับใช้บัณฑิต เนื้อเน่าเฟะส่งกลิ่นเหม็น ก่อนหน้านี้มีกลิ่นกล้วยไม้อ่อนๆ บนร่างกลบอยู่จึงไม่ชัดนัก ในใจของหลี่มู่โมโหเดือดดาล เขาฉีกคอเสื้อของเด็กรับใช้บัณฑิตออก ก็เห็นรอยรัดสลับซับซ้อนเต็มไปหมด ผิวแห้งแตกดุจแม่น้ำแห้งขอด มองไปแล้วชวนให้สยดสยอง

บาดแผลเช่นนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว

ยากที่จะเชื่อจริงๆ ว่าได้รับบาดแผลสาหัสเช่นนี้มา ชิงเฟิงยังยืนยิ้มอยู่ตรงนี้ได้อีก

“เกิดอะไรขึ้น? ใครทำร้ายเจ้า?” หลี่มู่ถามเสียงต่ำ

ฉู่ซูเฟิงที่อยู่ข้างๆ เห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงรีบยิ้มอธิบาย “ใต้เท้าหลี่ เรื่องนี้เข้าใจผิดกันเล็กน้อย เขาทะเลาะกับทหารชุดเกราะคนหนึ่งนิดหน่อย…”

“หุบปาก”

หลี่มู่เดือดดาล หันกลับมาตวาด

เสียงตวาดดั่งเสียงอัสนีบาต ราวกับมีลมพายุออกมาจากปากของเขาซัดไปยังหน้าอกของฉู่ซูเฟิง ท่ามกลางเสียงกระดูกหักชัดเจน ฉู่ซูเฟิงร้องครางเจ็บปวด ร่างลอยจากบันไดหินกระเด็นห่างออกไปสองจั้ง

คนทั่วทั้งลานต่างรู้สึกเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงข้างหูของตน ในหูมีดังหึ่งๆ

สีหน้าของเจิ้งฉุนเจี้ยนเปลี่ยนทันควัน

ฉู่ซูเฟิงตะเกียกตะกายขึ้นมา สีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว มองไปยังหลี่มู่อย่างชั่วร้ายโดยไม่เสแสร้งอีกต่อไป

เคร้ง เคร้ง!

หอก ดาบ กระบี่ของทหารชุดเกราะดำชี้ไปยังหลี่มู่

หลี่มู่ไม่สนใจ

“เจ้าพูดมา” หลี่มู่หันกลับมาจ้องชิงเฟิง

ชิงเฟิงส่ายหน้า ยื่นมือออกมาเขียนกลางอากาศ

‘ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องสืบเสาะแล้ว’

เนื้อหาที่เขาเขียนกลางอากาศเป็นคำพูดเช่นนี้

“เป็นพวกมันบีบบังคับไม่ให้เจ้าพูดความจริงใช่หรือไม่?” หลี่มู่ไม่รู้ว่าควรจะโกรธหรือซาบซึ้งดี “หากข้าเดาไม่ผิด ต้องมีคนพูดกับเจ้าว่ามีแค่เจ้าเงียบปากไว้ถึงจะปกป้องข้าได้ หากพูดจาเลอะเทอะอาจนำความลำบากมาให้ข้า อย่างเช่นข้าจะถูกถอดจากตำแหน่งขุนนาง ต้องติดคุก หรือไม่ก็โดนประหารใช่หรือไม่?”

ชิงเฟิงยกมือ คิดอยากจะเขียนอะไรในอากาศอีก

แต่เมื่อสายตาของเขาประสานกับหลี่มู่ จู่ๆ เขาก็เขียนต่อไปไม่ได้

“ข้าไม่ต้องการการปกป้องจากเจ้า โดยเฉพาะการปกป้องแบบนี้ จำไว้ จำเอาไว้ให้ขึ้นใจ เข้าใจแล้วใช่ไหม” หลี่มู่ขยี้ผมชิงเฟิงก่อนลุกยืน จากนั้นหมุนตัวมากล่าว “ท่านหมอ มารักษาเขาหน่อย”

หมอคนนั้นรับคำแล้วรีบร้อนวิ่งมา

หลี่มู่มองไปยังพวกเจิ้งฉุนเจี้ยน

“ใต้เท้าหลี่ ระหว่างพวกเราอาจเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง ข้า…” เจิ้งฉุนเจี้ยนคิดอยากจะพูดอะไรอีก ข่าวที่ส่งมาจากในคุกทำให้เขาตระหนักได้ว่าตนเองอาจประเมินพลังของหลี่มู่ต่ำไป ดังนั้นเขาจึงแสดงทีท่าเช่นนี้ และพยายามหลีกเลี่ยงการฝืนปะทะ

เขากำลังรอการมาถึงของคนคนหนึ่ง

ขอแค่คนคนนั้นมาถึง ก็ไม่ต้องกลัวหลี่มู่แล้ว

แต่ทว่าหลี่มู่ขัดจังหวะคำพูดของเขาทันที

“คุกเข่า” หลี่มู่พูด

เจิ้งฉุนเจี้ยนอึ้งตะลึง “อะไรนะ?”

“คุกเข่าพูด” หลี่มู่มองเขา “พวกเจ้าทำอะไรกับชิงเฟิง ใครเป็นคนออกคำสั่ง ใครเป็นคนลงมือ คุกเข่าแล้วบอกข้ามาให้ละเอียด…ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดีมาก คุกเข่าลงเสีย ถึงจะทำให้ข้าควบคุมตัวเองไม่ให้สับมือของพวกเจ้าทิ้งได้”

……………………………………………………