ภาค 1 บทที่ 99 ชั่วช้าสามานย์

จอมศาสตราพลิกดารา

สีหน้าของเจิ้งฉุนเจี้ยนเปลี่ยนไป

เหตุที่เขาแสดงท่าทีไม่อยากขัดแย้งเช่นนี้ ก็แค่เพราะสัตบุรุษมิควรอยู่ในที่อโคจร เขาไม่อยากเสี่ยงเกินไปก็ไม่ได้หมายความว่ากลัวหลี่มู่จริง

หลายครั้ง แม้จะเป็นตอนที่เขามั่นใจอย่างสมบูรณ์ เขาก็ยังชอบใช้แผนการบางอย่าง ใช้วิธีที่เกือบจะเป็นการปั่นหัวมาจัดการเรื่องราว

เมื่ออีกฝ่ายตื่นเต้นดีใจสุดฤทธิ์ ก็จะพลันตื่นขึ้นจากฝัน จากนั้นจึงตกอยู่ในหุบเหวแห่งความสิ้นหวัง ขั้นตอนพวกนี้ทำให้เขารู้สึกถึงความสำเร็จที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ขณะมองใบหน้าประจบประแจงของแต่ละคน ต่อให้ลึกๆ ในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นก็ไม่กล้าพูดอะไร ภาพเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นที่สุด

แต่ตอนนี้ คู่ต่อสู้ที่เหมือนหนูตัวหนึ่งในสายตาของเขา เสมือนคนที่เขาหลอกปั่นหัว จู่ๆ กลับสั่งให้เขาคุกเข่าอย่างหยิ่งทะนง หลังจากที่เขาตกตะลึงและยากจะเชื่ออยู่ชั่วครู่ เจิ้งฉุนเจี้ยนก็ตกอยู่ในความโกรธกริ้วทันที

เหตุใดจึงกล้าถึงเพียงนี้?

ทำไมหลี่มู่ถึงกล้าเพียงนี้?

“ฮ่าๆ หลี่มู่ เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?”

ผู้ช่วยขุนนางเมืองคนใหม่ฉู่ซูเฟิงกุมหน้าอก ก้าวเดินยาวๆ มายังข้างกายของเจิ้งฉุนเจี้ยน ก่อนจะหัวเราะเสียงเย็น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาจารย์เจิ้งมีฐานะอะไร เจ้ารู้หรือไม่ว่าต่อให้เป็นเจ้าเมืองฉางอันก็ยังต้องเคารพนบนอบต่ออาจารย์เจิ้ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาจารย์เจิ้งเอ่ยแค่ประโยคเดียว ขุนนางระดับอำเภอของเมืองฉางอันไม่มีใครกล้าขัดขืนแม้แต่คนเดียว เจ้ารู้หรือไม่ว่า…”

สายตาของหลี่มู่หยุดอยู่ที่ชายหนุ่มค่อนข้างอ้วนจมูกงุ้ม หัวเราะเยาะหยันก่อนกล่าว “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวประกอบสารเลวเช่นเจ้าควรจะหุบปากอย่างว่าง่าย ยังไม่ถึงตาเจ้าพูด หากยังพูดไร้สาระจิ๊จ๊ะอยู่อีก เช่นนั้นวันนี้ของปีหน้าก็จะเป็นวันครบรอบวันตายของเจ้า?”

ฉู่ซูเฟิงหน้าซีดเผือดทันที

เขาไม่รู้ว่าจิ๊จ๊ะหมายถึงอะไร แต่ก็พอจะเดาได้อยู่เลาๆ

ภายใต้การจับจ้องของหลี่มู่ ริมฝีปากของฉู่ซูเฟิงขยับอยู่สามสี่ที สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดออกมาแม้แต่คำเดียว

“เด็กดี นี่ถึงจะถูกต้อง ตัวประกอบสารเลวก็ควรมีสำนึกของตัวประกอบสารเลวด้วย”

สีหน้าของหลี่มู่ฉายแววเหยียดหยาม

สุนัขรับใช้แบบนี้ พูดมากไปก็ล้วนสิ้นเปลืองน้ำลาย

เขามองไปยังเจิ้งฉุนเจี้ยน ก่อนจะพูดขึ้น “ไม่คุกเข่าใช่หรือไม่?”

เจิ้งฉุนเจี้ยนยิ้มเย็นหยิ่งทะนง “ในเมืองฉางอัน ข้าคุกเข่าให้กับใต้เท้าเจ้าเมืองเท่านั้น เจ้าถือว่าเป็นใคร กล้ามาให้ข้า…”

“พูดมากจริงๆ”

ร่างของหลี่มู่ไหววูบ มาปรากฏเบื้องหน้าเจิ้งฉุนเจี้ยนในชั่วพริบตาราวภูตผี ก่อนจะยกมือซัดลงไป

ครืน!

กระแสอากาศทะลักล้น

บนร่างของเจิ้งฉุนเจี้ยนมีเกราะป้องกันทรงรีปรากฏขึ้น กำลังส่งลำแสงสีฟ้าคุ้มกันเขาจากฝ่ามือของหลี่มู่เอาไว้ข้างใน

หืม?

นี่คือโล่พลังเวท?

หลี่มู่ตกใจเล็กน้อย

เขามองออก เจิ้งฉุนเจี้ยนไม่ใช่จอมเวทอย่างแน่นอน ทว่าบนร่างกลับกระตุ้นโล่พลังเวทได้?

“ฮ่าๆ เจ้าคิดว่าข้าจะไม่ป้องกันอะไรเลยแม้แต่น้อยจริงๆ รึ?”

เจิ้งฉุนเจี้ยนหัวเราะเสียงเย็น “คนบ้าวู่วามเช่นเจ้า ข้าเห็นมาเยอะแล้ว ชีวิตไร้ค่า คิดว่าไม่ต้องกังวลสิ่งใด…เครื่องกระเบื้องเคลือบไม่มีทางไปกระทบกับเครื่องปั้นดินเผาหรอก หากข้าไม่มีการป้องกันใดๆ แล้วจะ…”

แกรก!

เขายังพูดไม่ทันจบ เสียงกังวานก็ดังขึ้น โล่พลังเวทสีฟ้าบนร่างแตกร้าวทีละชุ่นๆ ราวกับหยกแตก

หลี่มู่เก็บฝ่ามือกลับ

เขาใช้พลังไปแค่หนึ่งในสิบเท่านั้น

โล่พลังเวทแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับชั้นพลังเวทคุ้มกันที่นักพรตตาบอดและจอมเวทวัยกลางคนชุดดำใช้สักเท่าไหร่ หากเป็นเมื่อไม่กี่วันก่อน บางทีหลี่มู่อาจจะต้องเปลืองแรง แต่หลี่มู่ในวันนี้ไม่ใช่แค่พลังแข็งแกร่งขึ้นอีกหลายสิบเท่า แต่ยังเข้าใจทฤษฎีพลังเวทอีกหลายส่วนจากการชี้แนะของกัวอวี่ชิง การทำลายโล่พลังเวทระดับนี้เป็นแค่เรื่องในหนึ่งความคิดเท่านั้น

อีกทั้งตัวเจิ้งฉุนเจี้ยนก็ไม่ใช่จอมเวท

เกราะป้องกันสีฟ้าของเขาอันนี้ก็แค่ยืมพลังจากข้างนอกมากระตุ้นเท่านั้น

แสงไฟสีฟ้าลอยกระจายหายไปในอากาศเป็นเส้นๆ

หยกประดับสีฟ้าบนตัวของเจิ้งฉุนเจี้ยนแตกละเอียดเป็นฝุ่นผง ปลิวสลายไปดั่งควัน

เหงื่อซึมชื้นไหลลงมาจากหน้าผากของเขา

สีหน้าของเขากลายเป็นหวาดกลัว

‘โล่ฟ้าคราม’ แตก…แตกแล้ว?!

“ข้า…” สีหน้าของเขาหวาดกลัวจนถึงขีดสุด ราวกับตกใจเป็นอย่างมาก ถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

ในตอนนี้เอง เสียงเครื่องจักรที่ดังราวเส้นผมขาดดังขึ้นมา

เข็มบินเล็กบางยิงพุ่งออกมาจากไหลของเจิ้งฉุนเจี้ยนอย่างไร้สุ้มเสียง ส่องประกายแสงพิษสีฟ้าภายใต้แสงอาทิตย์ และปักเข้าไปที่อกของหลี่มู่ทั้งหมดในระยะอันใกล้เช่นนี้

“ฮ่าๆๆ เจ้าคิดว่าข้าจะมีแค่โล่พลังเวทจริงๆ อย่างนั้นรึ?”

เขาหัวเราะเยาะอีก “ ‘เข็มพิษริ้นเลือด’ มุ่งทำลายกำลังภายในโดยเฉพาะ ต่อให้เป็นยอดฝีมือชั้นยอดขั้นปรมาจารย์ หากเข็มพิษนี้ปักเข้าร่างกายก็จะทำลายวรยุทธ์ในทันที เข็มพิษจะเคลื่อนไปในเส้นเลือดของเจ้า เจ็บปวดเจียนตาย ประหนึ่งมดแมลงกัดกิน…”

“งั้นรึ?” หลี่มู่แตะเข็มสีฟ้าครามที่หน้าอก พูดเยาะเย้ยว่า “ยังมีกลวิชาอะไรอีก ใช้ออกมาให้หมดเถอะ ข้าจะแสดงเป็นเพื่อนเจ้า”

เจิ้งฉุนเจี้ยนอึ้งตะลึง

“เจ้า…เจ้าทำได้อย่างไร? เจ้า…” เขาหวาดกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ

เข็มริ้นทำลายกำลังภายในของผู้แข็งแกร่งด้านการต่อสู้โดยเฉพาะ แต่กลับทะลุร่างของหลี่มู่ไม่ได้?

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

หรือหลี่มู่จะสวมเสื้อวิเศษคุ้มกายอะไรไว้บนร่าง?

“ตายซะ”

สีหน้าของเจิ้งฉุนเจี้ยนเหี้ยมเกรียม

ร่างของเขาสั่นสะท้านเล็กน้อย กระดูกทุกข้อทั่วร่างกายสั่นขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ จากนั้นก็ยิงอาวุธลับออกมาตามตำแหน่งต่างๆ ของร่างกาย กระทั่งพ่นหมอกที่มีพิษแตกต่างกันออกมา และยังมีแมลงพิษตัวเป็นๆ ขนาดเล็กที่มีปีกเหมือนมดบินอีกสามตัวกรีดร้องเสียงแหลมพลางบินมาต่อยหลี่มู่

หลี่มู่ยืนอยู่กับที่ ไม่แม้แต่จะหลบหลีก

อาวุธลับยิงเข้าร่างของเขา

หมอกพิษพ่นมาบนหน้า

แมลงพิษต่อยเข้าที่คอ

หลี่มู่ยกมือตบมดบินแมลงพิษตายในฝ่ามือเดียวราวกับตบยุง

เขาอ้าปากสูดลมหายใจ สูดหมอกพิษทั้งหมดไว้ในปาก จากนั้นก็พ่นออกมาทางจมูก

เขากระทั่งพ่นออกมาเป็นวงควันห้าหกวงอย่างชำนาญ วงควันแต่ละวงทับซ้อนกัน ลอยค้างอยู่กลางอากาศไม่สลายหายไป

จากนั้นเขาปัดเสื้อไปตามอารมณ์ อาวุธลับบนร่างก็ร่วงลงพื้นทั้งหมด

อาวุธลับทั้งหมดแค่พอจะทะลุเสื้อได้เท่านั้น ไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้บนผิวของหลี่มู่เลยแม้แต่น้อย

หลี่มู่ในวันนี้ เนื้อหนังกระดูกทั้งหมดล้วนถูกเขาทำลายเพื่อสร้างขึ้นใหม่เหมือนตีเหล็ก รักษาความบอบช้ำภายในและสิ่งแปลกปลอมที่สะสมในกายซึ่งเกิดขึ้นในภายหลัง ขั้นตอนการสร้างใหม่ทั้งหมดล้วนใช้ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ คู่กับพลังวิญญาณในโลกนี้ เท่ากับเป็นการเกิดใหม่ แทบจะสร้างร่างสวรรค์ประทานออกมาก็ว่าได้

พูดได้ว่าประสบการณ์ที่แม่น้ำในถ้ำน้ำตกเก้ามังกร เป็นครั้งที่อนาถที่สุดหลังจากเขามาถึงโลกใบนี้ แต่ก็เป็นครั้งที่พลังยกระดับได้สุดยอดที่สุด ได้เดินผ่านขั้นตอนที่ชั่วชีวิตนี้คนทั่วไปก็ไม่มีทางได้ประสบพบเจอ

ในขั้นตอนนี้ เขายังเข้าใจ ‘ทลายฟ้า’ กระบวนท่าที่สามของ ‘หมัดยุทธ์แท้’ อย่างถ่องแท้ ระดับความแข็งแกร่งของพลังกายยกขึ้นอีกระดับ หากอยู่ในสภาวะที่ตั้งใจป้องกัน ผิวหนังก็ราวเหล็กกล้า ไม่ต้องพูดถึงอาวุธลับจากกลไกพวกนี้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือชั้นยอดขั้นรวมจิตใช้ดาบฟันร่างของเขา ก็แค่พอจะทิ้งรอยสีขาวๆ เอาไว้ให้เท่านั้น แต่ไม่อาจฟันเข้าได้เลย

อาวุธลับยังยิงไม่ทะลุ แมลงพิษย่อมต่อยไม่เข้า

ส่วนหมอกพิษ?

สำหรับหลี่มู่ ภายใต้จังหวะการหายใจของ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ต่อให้สูดพิษที่ร้ายแรงที่สุดเข้าปากและปอด ก็สามารถพ่นออกมาใหม่โดยไม่เหลือพิษแม้แต่น้อย จึงยากที่จะแทรกซึมเข้าไปในกายของเขา

ทุกสิ่งที่เจิ้งฉุนเจี้ยนสำแดงออกมา ต้องพูดเลยว่าชั่วร้ายเจ้าเล่ห์

หากเปลี่ยนเป็นจอมยุทธ์ทั่วไปตามสะดวก อยู่ในระยะใกล้ขนาดนี้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งขั้นปรมาจารย์  เกรงว่าก็โดนสังหารตายไปห้าหกครั้งแล้ว

น่าเสียดาย คนที่เขาเจอคือหลี่มู่

“แสดงจบแล้วหรือยัง?”

หลี่มู่ถามอย่างเยาะเย้ย

ใจของเจิ้งฉุนเจี้ยนจมดิ่งลงไปทีละนิด

เขาไม่เข้าใจ ทำไมกลวิชาพวกนี้ของตนเมื่อใช้กับหลี่มู่จึงไม่เป็นผลอะไรเลย

หรือหลี่มู่คนนี้จะเกินขั้นปรมาจารย์ ไปถึงขั้นยอดปรมาจารย์แล้ว?

ยอดปรมาจารย์อายุสิบสี่ปี?

เจิ้งฉุนเจี้ยนคิดๆ ดูก็ยังรู้สึกหน้ามืดตาลาย

เขาตระหนักได้ว่าตนมาอำเภอขาวพิสุทธิ์ครั้งนี้ บางทีอาจยั่วโทสะตัวประหลาดที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วยแล้วจริงๆ

“ข้า…” เขามองหลี่มู่ พยายามจะพูดอะไร

หลี่มู่คล้ายยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าคุกเข่าพูด”

ใบหน้าของเจิ้งฉุนเจี้ยนแดงก่ำราวตับหมูทันที

แน่นอนว่าเขาไม่อยากคุกเข่า

เพราะการคุกเข่านี้จะมีนัยแฝงว่านับจากนี้เป็นตนไป ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ ภาพลักษณ์อันน่ากลัวและตำแหน่งของเขาที่สร้างขึ้นในหมู่ขุนนางเมืองฉางอันจะพังทลายลงในพริบตา บารมีสร้างขึ้นได้อย่างยากลำบาก แต่เมื่อพังทลายมักจะเป็นเรื่องเพียงเสี้ยวพริบตา

วันนี้หลังจากที่คุกเข่า วันหน้าพวกขุนนางน้อยใหญ่เห็นเขา ต่อให้ต่อหน้ายังคงเคารพประจบประแจง แต่ลับหลังจะคิดอย่างไรก็พูดยากแล้ว

แต่ด้วยสติปัญญาของเขา เขารู้ว่าตอนนี้เวลานี้จะต้องคุกเข่าลง

เพราะสัตว์ประหลาดเบื้องหน้านี้ไม่พะวงอะไรจริงๆ

เจิ้งฉุนเจี้ยนสูดลมหายใจเข้าลึก

“ข้าน้อยเป็นเพียงประชาชนต่ำต้อย เข้าพบใต้เท้าขุนนางเมือง ตามมารยาทแล้วควรทำความเคารพ…” พูดแล้ว เข่าทั้งสองก็งอจะคุกเข่าลงไป

เขาตั้งใจพูดว่าตัวเองเป็นประชาชนทั่วไป หลี่มู่มีตำแหน่งเป็นขุนนาง ก็เพื่อที่จะหาทางลงให้ตัวเอง ต่อให้วันหลังลือกันออกไป ชาวบ้านต่ำต้อยคุกเข่าให้กับขุนนางเมืองที่เป็นขุนนางของจักรวรรดิ ก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรืออย่างไร? อีกทั้งหากแสดงได้ดีกลับจะกลายเป็นเรื่องราวสรรเสริญว่าเขาเจิ้งฉุนเจี้ยนสูงส่งแต่ไม่หยิ่งทะนง

แต่ใครจะรู้ หลี่มู่กลับพูดอย่างเย็นชา “สายไปแล้ว”

กร๊อบ กร๊อบ

เสียงก้องดังขึ้นสองครั้ง

ความเจ็บปวดสาหัสที่ยากบรรยายแผ่ลามมาจากหัวเข่า ร่างของเจิ้งฉุนเจี้ยนตัวอ่อนยวบลงไป

เขามองเข่าทั้งสองข้างของตัวเองที่หักงอด้วยองศาที่น่าสะพรึงอย่างไม่อยากจะเชื่อ กระดูกหัวเข่าแหลกละเอียด กระดูกขาก็หักเช่นกัน เลือดสดๆ ไหลมาตามเศษกระดูกที่ทะลุเนื้อออกมา และพลันย้อมเสื้อผ้าของเขาจนแดงฉาน กระทั่งผืนดินที่อยู่ใต้เสื้อผ้าก็ด้วย

ร่างของหลี่มู่กะพริบวูบมาถึงข้างกายชิงเฟิงอีกครั้ง

“ชั่วช้าสามานย์ ต้องให้ข้าลงมือ”

เขามอง ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เจิ้งฉุนเจี้ยนพลางพูดเหยียดหยาม

“เอ๋? อ๊ากกก ข้า…” ตอนนี้ เจิ้งฉุนเจี้ยนเหมือนเพิ่งได้สติ เขากรีดร้องอย่างหวาดกลัวสุดขีด ส่งเสียงแปลกประหลาดออกมาเหมือนสัตว์ที่ตกไปในกับดักของความสิ้นหวัง อีกทั้งส่งเสียงร้องแหลมต่างๆ ที่ฟังไม่ได้ศัพท์

ที่ผ่านมาล้วนเป็นเขาที่มองคนอื่นร้องเจ็บปวดคร่ำครวญ

หลายปีที่ผ่านมานี้เคยได้เห็นบาดแผลเช่นนี้ปรากฏบนร่างของตัวเองเสียที่ไหน?

“นี่หรือคือผู้สูงศักดิ์จากเมืองฉางอัน? เทียบไม่ได้แม้แต่เศษขยะด้วยซ้ำ” หลี่มู่ถ่มน้ำลาย สายตากวาดไปยังพวกฉู่ซูเฟิงคนอื่นๆ และเหล่าทหารชุดเกราะดำที่เรียกว่าชั้นยอดพวกนั้น ก่อนเอ่ยอย่างไม่ยอมให้กังขา “คุกเข่าลงให้หมด คุกเข่าพูด มิฉะนั้นจุดจบของพวกเจ้าก็จะเหมือนเจ้าเจิ้งอะไรนี่”

……………………………………………………