เฒ่าเป๋โมโหและตะโกนออกไป “มู่เอ๋อ ประเพณีดีๆ ของปู่เป๋ข้าถูกเจ้าทอดทิ้งไปหมดแล้ว เจ้ารู้จักแต่จะมุทะลุดุดันเหมือนไอ้คนแล่เนื้อ และไม่ช้าไม่นานเจ้าก็จะถูกสับเป็นสองท่อนเหมือนกัน…คนแล่เนื้อ เจ้าทำหน้าอะไรของเจ้า วางมีดของเจ้าลงก่อน! พวกเรากำลังพูดกันดีๆ ฉันมิตร ข้าเพียงแต่มุ่งหวังสิ่งดีที่สุดให้มู่เอ๋อเท่านั้นเอง…”
เขาค่อยๆผลักมีดออกจากคอของตนเองอย่างระมัดระวัง
ฉินมู่แย้มยิ้มแก่เขา “ท่านปู่เป๋ ไม่ต้องกังวลหรอก ข้ารู้ว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่ วิชาฝึกปรือระดับบัลลังก์จักรพรรดิที่เขาใช้อยู่นั้นถูกคิดค้นโดยบรรพชนของเขาไม่ใช่ฝีมือของเขาเอง ดังนั้นมันก็ยังคงขึ้นอยู่กับปฏิภาณความเข้าใจและการบ่มเพาะของเขาว่าจะสามารถปลดปล่อยพลานุภาพของมันออกมาได้มากเท่าใด นี่จะทำให้วิชาฝึกปรือนี้อ่อนด้อยลงไปหนึ่งเขตขั้น เหลือเพียงแค่วิชาฝึกปรือระดับตำหนักชิดฟ้า”
“ยิ่งไปกว่านั้น สันตินิรันดร์ยังอยู่ในระหว่างการปฏิรูป ขณะที่สภาสวรรค์จะต้องไม่ได้มีเรื่องอย่างนี้แน่นอน นี่หมายความว่า วิชาฝึกปรือระดับบัลลังก์จักรพรรดิที่ฉีเจี่ยวอี๋ใช้ ย่อมจะต้องมีระดับต่ำลงมาอีก กลายเป็นระดับอัครนครหยก”
ด้วยคำพูดไม่กี่คำ เขาก็ลดระดับวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิลงสองระดับ
“ต่อให้มันเป็นวิชาฝึกปรืออัครนครหยก มันก็ยังสูงกว่าของเจ้าหลายขั้น! เทพเที่ยงแท้ สระหยก แท่นประหารเทพ และถึงจะเป็นอัครนครหยก!” เฒ่าเป๋กล่าวอย่างเย็นเยียบ
ฉินมู่เต็มไปด้วยความมั่นใจ “เพราะว่าวิชาฝึกปรือเทพเที่ยงแท้ของข้าเป็นสิ่งที่สร้างรังสรรค์ขึ้นมากับมือ ดังนั้นข้าจึงสามารถปลดปล่อยพลานุภาพของมันออกมาทั้งหมดได้ อันทำให้มันยกระดับขึ้นไปอีกระดับ เทียบเท่ากับวิชาฝึกปรือสระหยก ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังเป็นกายาจ้าวแดนดิน งั้นข้าก็ย่อมเทียบเท่ากับวิชาฝึกปรือแท่นประหารเทพอันทำให้ความแตกต่างมิได้ใหญ่โตขนาดนั้น”
เฒ่าเป๋เดือดดาลจนพูดไม่ออก
“เฒ่าเป๋ นี่คือสาเหตุที่เจ้าไม่อาจข้ามพ้นสะพานเทวะและเข้าไปยังปราสาทสวรรค์ได้ เจ้านั้นขี้ขลาดเกินไป กลัวโน่นกลัวนี่ กลัวว่าเจ้าจะข้ามสะพานเทวะไม่พ้น ทั้งที่จริงแล้วพลังวัตรของเจ้าเหลือเฟือที่จะทำเช่นนั้น โชคยังดีที่มู่เอ๋อไม่เรียนรู้สิ่งนี้มาจากเจ้า ไม่อย่างนั้นเขาคงทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง” ยายเฒ่าซีกล่าว
เฒ่าเป๋ไม่อาจโมโหใส่นางได้ และได้แต่กล่าวอย่างตะบึงตะบอน “โอ๋เขาเข้าไปสิ ข้าไม่สนใจแล้ว ข้าจะคอยดูเขาโดนกระทืบตายไม่ช้าก็เร็ว!”
แม้จะกล่าวเช่นนั้น เขาก็ยังกังวลห่วงใยฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง เมื่อครั้งกระโน้นตอนที่ยายเฒ่าซีเก็บฉินมู่มาจากแม่น้ำ เขาก็เป็นคนแรกในหมู่บ้านที่ยอมรับทารกผู้นี้ ยายเฒ่าซีรำคาญที่ทารกชอบฉี่รดที่นอนและส่งเขาออกไป แต่เฒ่าเป๋ได้เอาเขากลับมาครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่ปริปากบ่น
หลังจากที่ฉินมู่โตขึ้นมาอีกหน่อย เขาก็ไม่มีเพื่อนเล่น ดังนั้นจึงมีแต่ตาเฒ่าทารกผู้นี้แหละที่เล่นสนุกเป็นเพื่อนเขา เขามักจะกลั่นแกล้งฉินมู่ ขโมยลูกกวาดที่ยายเฒ่าซีซื้อมาฝากเขา หรือไม่ก็ของเล่นที่เฒ่าหม่าประดิษฐ์ให้เขา เขาชอบทำให้ฉินมู่ร้องไห้โยเยอยู่ตลอด และก็ถูกยายเฒ่าซีอัดจนน่วมจนนางพอใจ
ระหว่างขวบปีที่ผ่านมานี้ ผู้ใหญ่บ้านซังกะตายไร้จิตวิญญาณ จิตเต๋าของเฒ่าบอดถูกซิงอ้านบดขยี้ ยายเฒ่าซีกังวลเรื่องหลี่เทียนซิงที่อยู่ในจิตเต๋าของนาง เฒ่าใบ้ก็เอาแต่หลอมสร้างตีเหล็กโดยไม่พูดจากับใคร นักปรุงยามีหนี้รักอยู่ท่วมหัว เฒ่าหนวกไม่ใส่ใจใครทั้งสิ้น เฒ่าหม่าเห็นฉินมู่ก็คอยแต่นึกถึงภรรยาและบุตรธิดาที่ล่วงลับไป ขณะที่คนแล่เนื้อมักจะเสียสติอยู่บ่อยครั้งเพราะเขารู้ความจริงเกี่ยวกับท้องฟ้า
เมื่อครั้งโน้น พวกเขาทั้งหมดยังไม่ทันจะคลี่คลายปมในหัวใจ เฒ่าเป๋เป็นเพียงผู้เดียวที่เพียงแค่ถูกราชครูบีบให้ต้องหนีเข้ามาในหมู่บ้าน เขามีภาระไม่มาก ดังนั้นเขาจึงสามารถดูแลฉินมู่ได้อย่างเต็มที่
เมื่อฟู่ยื่อลัวเห็นกลุ่มคนเหล่านี้ถกเถียงกันไปมา เขาก็พิศวง ความสัมพันธ์ระหว่างเทพเจ้าด้วยกันมักจะเป็นความสุภาพและพิธีรีตอง ต่อให้พวกเขาเป็นศัตรูกัน ทั้งสองฝ่ายก็จะปฏิบัติต่อกันด้วยความนับถือ ยากนักที่จะเห็นเทพเจ้าต่อปากต่อคำกันไปมาทุกวี่วันเหมือนทวยเทพแห่งหมู่บ้านพิการชรา
“เจ๋อหัวหลี เจ้าต้องระมัดระวังตอนที่ต่อสู้กับคุณชายฉี” ฟู่ยื่อลัวไม่ได้ยับยั้งเจ๋อหัวหลีจากการต่อสู้ “บัดนี้เมื่อเจ้าสำเร็จการศึกษาร่ำเรียน ก็ไม่มีสิ่งใดที่ข้าสามารถสอนให้เจ้าได้อีกต่อไป ลั่วอู๋ชวงอาจารย์ของเจ้าอีกคนก็เช่นกัน นับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าจะต้องตรึกตรองการฝึกวิทยายุทธของตนเอง ต่อสู้กับคุณชายฉีตามที่ใจเจ้าปรารถนา และดังนั้นข้าจึงไม่หยุดยั้งเจ้า ไปเถอะ”
ในฐานะมหาราชาแห่งเผ่ามาร เขามีท่วงทีการวางตนอันเหนือธรรมดา แม้ว่าเขาจะเป็นศัตรูกับฉินมู่ แต่วิธีการจัดการเรื่องราวต่างๆ ของเขาก็ยังคงน่ายกย่องชื่นชม
เจ๋อหัวหลีกล่าวขอบคุณและมองไปที่ฉีเจี่ยวอี๋ ดูราวกับว่าจะมีแสงมีดแล่นแปลบปลาบในดวงตาของเขา
เพลงมีดของเขาเพิ่งก่อเป็นรูปร่าง และเขาก็ต้องการหาใครสักคนมาทดสอบกำลังฝีมือของเขาอย่างยิ่งยวด!
“ฟู่ยื่อลัว ศิษย์ของเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณชายฉี” ลู่หลีกล่าวด้วยเสียงเบา “เจ้าไม่รู้เลยสักนิดว่ามรดกยุทธของเขานั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด! อาจารย์ของเขานั้นเป็นยอดวรยุทธโบราณแห่งสภาสวรรค์ ตัวตนยุคดึกดำบรรพ์! แดนโบราณวินาศกลายเป็นเช่นนี้ก็เพราะตัวตนนั้น!”
ใบหน้าข้างซ้ายของฟู่ยื่อลัวไม่ยี่หระ “แล้วอย่างไร นับตั้งแต่โบราณกาลมา มรรคา วิชา และทักษะเทวะล้วนแต่เปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก จนกระทั่งตัวตนจากยุคดึกดำบรรพ์ทั้งหลายก็อาจจะไม่ได้ทรงพลังเหมือนที่เคยเป็นมา เจ้านั้นทำให้สภาสวรรค์ดูเป็นตำนานอันยิ่งใหญ่จนเกินไป”
“แม้ว่าเจ๋อหัวหลีจะไม่ใช่เผ่ามาร แต่เขาก็ยังสืบทอดจิตวิญญาณของพวกเราไป–เขากลายเป็นแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งกว่า และเขาต่อสู้อย่างดุร้ายมากขึ้นทุกทีๆ! เขายังมีปฏิภาณอันล้ำเลิศ และสามารถตรึกตรองเต๋าได้เมื่อดาบสวรรค์สังหารเทพครองดาวตะวันด้วยมีดเดียว ใครล่ะจะสามารถทำเรื่องทำนองเดียวกันแบบนี้ได้ เจ๋อหัวหลีอาจจะไม่พ่ายแพ้ในการศึกนี้!”
ลู่หลีแค่นเสียงเฮอะและไม่กล่าวอะไรอีก
ชิ้ง!
แสงมีดสาดส่อง และเจ๋อหัวหลีก็ร่ายกระบวนท่า!
เขาใช้เพลงมีดของลั่วอู๋ชวง และแสงมีดของเขาก็เริ่มแยกตัวออกจากกัน ดาบมารในมือเขาพลันตื่นเต้นขึ้นมา และดวงตามารเปิดขึ้นเพื่อจับสายตาบนฉีเจี่ยวอี๋ เมื่อแสงมีดแยกออกไป มันก็ทวีจำนวนมากขึ้นทุกที!
ฉีเจี่ยวอี๋ยืนนิ่งไม่ไหวติง แต่ทว่าในทันใดนั้น เพลิงไฟก็กระพือวูบวาบข้างหลังเขา ราวกับว่าเขาเป็นนกหงส์เพลิงที่กำลังกระพือปีก ปีกนั้นพุ่งไปข้างหน้าเขา ส่งขนนกยิงตรงไป พวกมันวิจิตรงดงามและไม่แตกหักแม้ว่าจะปะทะเข้ากับแสงมีด
ในเสี้ยวพริบตานั้น เพลงมีดแยกแสงของเจ๋อหัวหลีก็แบ่งแยกออกเป็นแสงมีดนับหมื่น แต่กระนั้นเมื่อมันปะทะกับขนนกหงส์เพลิง พวกมันก็ไม่อาจฝ่าขนนกไปได้
ในทางกลับกัน ขนนกเพลิงได้ทะลวงฝ่าแสงมีดทั้งหลาย และพุ่งตรงไปยังเจ๋อหัวหลี
ร่างของเขาพลันหายวับ ก่อนจะปรากฏขึ้นใหม่ในเสี้ยววินาทีถัดมา แต่ละก้าวที่เขาย่างไป ร่างเขาจะชะงักอยู่พริบตาหนึ่ง และดาบมารในมือของเขาก็จะฟันลงไป ท่วงท่ามีดพื้นฐานทุกชนิดถูกช่วงใช้ และพวกมันระเบิดพวยพุ่งราวกับตะวันใหญ่ เหมือนกับมารเทวะฝ่าแยกภูเขา หรือเหมือนกับดอกและใบในสระบัว รูปเงาทุกอย่างทะลักทลายออกมา เติมเต็มท้องฟ้าให้เกลื่อนไปด้วยแสงมีดอันฟาดฟันไปยังฉีเจี่ยวอี๋
ความเร็วของเขานั้นเร็วอย่างยิ่งยวด และด้วยความเร็วของกายเนื้อเทพเที่ยงแท้เยาว์ก็ถึงขนาดกับทิ้งภาพค้างเอาไว้ ความเร็วนี้ไม่ด้อยไปกว่าฉินมู่เลย
ความเร็วระดับนี้ทำให้เขาทิ้งภาพค้างไว้มากมายในอาณาบริเวณ
ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่บนท้องฟ้าก็ยังเต็มไปด้วยเงาร่างของเจ๋อหัวหลี มีทั้งอยู่ที่ขอบฟ้า นอนราบ ยืนตั้งฉาก และแม้กระทั่งยืนกลับหัวกลับหาง ภาพค้างทั้งหมดโจมตีจากแง่มุมอันประหลาดพิสดาร!
ฉีเจี่ยวอี๋ยืนนิ่งไม่ไหวติง กระนั้นก็ดูราวกับว่าเขาสามารถมองเห็นฟ้าและดินทั้งหมดได้ รอบตัวเขานั้น ขนนกหงส์เพลิงมากมายก็คลี่แย้มออกมาอย่างต่อเนื่อง และยิ่งปรากฏพวกมันมากขึ้นทุกที มันค่อยๆ เติมเต็มพื้นที่ในรัศมีหลายวา เพื่อป้องกันไม่ให้ดาบมารของเจ๋อหัวหลีเข้ามาใกล้
ขนนกบางเส้นก็ไล่ล่าเจ๋อหัวหลี แม้ว่าความเร็วของผู้ถูกล่าจะรวดเร็ว และกำลังฝีมือของเขาก็แข็งแกร่ง ทว่าฉินมู่และคนอื่นๆ ก็ยังมองออกว่าขนนกหงส์เพลิงนั้นมีอันตรายแก่เขาเป็นอย่างมาก!
ความเร็วของเจ๋อหัวหลีนั้นราวกับฟ้าแลบ กระนั้นแต่ละการเคลื่อนไหวเหมือนกับได้วัดกะมาอย่างดี และระยะทางที่เขาเคลื่อนไหวนั้นเท่ากันเป๊ะอย่างไม่มีคลาดเคลื่อน
หากว่าพื้นที่ที่เขาแตะนั้นเป็นพื้นอันเชื่อมต่อกัน สองก้าวแรกของเขาก็จะสร้างขอบเขตวงกลม อีกสามก้าวถัดไปสร้างเป็นสามเหลี่ยม และสี่ก้าวก็จะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ห้าก้าวก็จะเป็นห้าเหลี่ยม และเป็นเช่นนั้นตามลำดับ
ยิ่งย่างก้าวมากเท่าไรก็ยิ่งเข้าใกล้วงกลมสมบูรณ์แบบมากเท่านั้น
ทุกรูปทรงใช้ฉีเจี่ยวอี๋เป็นจุดศูนย์กลาง และเจ๋อหัวหลีก็ย่างเท้ารอบๆ เขา ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ได้เดินบนพื้นราบ แต่เดินบนพื้นที่สามมิติ อันบางครั้งก็ไกล บางครั้งก็ใกล้ หากว่าทุกเส้นสามารถโยงเชื่อมกันได้ ภาพที่เห็นก็คงจะอัศจรรย์ตาเป็นอย่างยิ่ง
นี่ก็เพราะว่าวิชาตัวเบาและเพลงมีดของเขานั้นยากจะคาดคะเน
การเคลื่อนที่ของเขาคงจะได้รับสืบทอดมาจากดาบเทวะลั่วอู๋ชวง ท่าย่างเท้ารวมทั้งเพลงมีดของคนผู้นั้น ล้วนแต่เข้มงวดเคร่งครัด
กระนั้นเจ๋อหัวหลีก็ออกห่างจากศัตรูไปทุกทีๆ
ฉีเจี่ยวอี๋ยังคงยืนอยู่ ณ จุดเดิมโดยไม่เคลื่อนไหว แต่ขนนกหงส์เพลิงของเขากินพื้นที่มากขึ้นทุกที ขับไล่เจ๋อหัวหลีให้ถอยออกไปอย่างต่อเนื่อง
ขนนกพวกนี้คือทักษะเทวะของเขาไม่ใช่อาวุธวิญญาณ ขนาดแค่เพียงทักษะเทวะ เขาก็ทำให้เจ๋อหัวหลีเข้าใกล้ไม่ได้แล้ว!
ไม่เพียงแค่นั้น ขนนกหงส์เพลิงอันค่อยๆ ก่อเป็นรูปเงาขึ้นมา
มันคือต้นไม้ เป็นต้นอู่ถงโบราณที่มีแสงไหลเวียนเต็มไปหมด
มันยืนตระหง่านข้างหลังเด็กหนุ่ม คาคบของมันคลี่คลุมท้องฟ้า แสงไหลลงมาด้วยสีสันอันพิสดารหลากหลาย และฉีเจี่ยวอี๋ก็ราวกับเทพเจ้าใต้ต้นไม้อันอาบไปด้วยแสงหลากสีเหล่านั้น
ผู้คนที่สังเกตการณ์การต่อสู้อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าเครียดขรึม โดยเฉพาะยายเฒ่าซี
เวทมนตร์ของนางแข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้านพิการชรา และนางมีความเข้าใจอันลึกล้ำต่อทักษะเทวะ นางนั้นเฉียดใกล้ที่จะย่างกรายสู่เขตขั้นเต๋าด้วยเวทมนตร์ทักษะเทวะแล้ว อันแสดงให้เห็นว่าอนาคตของนางรุ่งโรจน์อย่างยิ่ง
ทักษะเทวะของนางจัดได้เป็นอันดับหนึ่งในหมู่บ้านพิการชรา และเป็นอันดับหนึ่งในจักรวรรดิสันตินิรันดร์
กระนั้นทักษะเทวะของฉีเจี่ยวอี๋ก็ทำให้นางมองเห็นระดับความสำเร็จอันงดงามและลึกล้ำยิ่งไปกว่าที่เคย ต้นอู่ถงโบราณมิใช่ทักษะเทวะที่ฉีเจี่ยวอี๋ได้ตรึกตรองขึ้นมา แต่เป็นทักษะเทวะในวิชาฝึกปรือของเขา
ฉีเจี่ยวอี๋เพียงใช้สิ่งที่เขาเรียนมา กระนั้นพลานุภาพของทักษะเทวะนี้ก็เหนือล้ำกว่าของคนอื่นในขั้นวรยุทธเดียวกัน
เพียงแค่ความเพริศแพร้วพิสดารของทักษะเทวะ ยายเฒ่าซีก็ต้องยอมรับว่าตนด้อยกว่า
ต้นอู่ถงโบราณควบแน่นขึ้นมาจากทักษะเทวะขนนกจำนวนไร้ประมาณ โครงสร้างของมันละเอียดเพริศแพร้วอย่างถึงที่สุด จนถึงขั้นที่นางไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน!
และพลานุภาพของฉีเจี่ยวอี๋ก็พร้อมพรักในที่สุด!
“มู่เอ๋อ ฟังท่านปู่เป๋ของเจ้าและออกปากยอมแพ้เถอะ” ยายเฒ่าซีกล่าวแก่ฉินมู่ “เขานั้นยังไม่ทันใช้อาวุธวิญญาณ แต่ก็ทำได้ถึงขนาดนี้แล้ว พลังวัตรของเขาเข้มข้นจนน่าสะพรึงกลัว เวทมนตร์ทักษะเทวะของเขา เรียกได้แล้วว่าเวทมนตร์เต๋า! ต่อให้เจ้าออกปากยอมแพ้ ก็ไม่มีใครดูแคลนเจ้าหรอก”
ฉินมู่กำหมัดแน่นพลางมองไปยังสนามศึกด้วยความกระวนกระวาย เขานั้นไม่มีสมาธิฟังคำพูดของนาง
ต้นอู่ถงโบราณได้รับการหล่อเลี้ยงบำรุงมากขึ้นและก็แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปมากทุกที กลายเป็นสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงกับมีรังของนกหงส์เพลิงอยู่ระหว่างกิ่งก้านของมัน อันก่อขึ้นมาจากขนนก ในห้วงเวลานั้น เจ๋อหัวหลีอยู่ห่างจากฉีเจี่ยวอี๋ยี่สิบห้าวาแล้ว แม้ว่าการโจมตีของเขาจะดุเดือด แต่มันก็ไม่อาจคุกคามฉีเจี่ยวอี๋ได้อีกต่อไป
เมื่อรังนกหงส์เพลิงก่อรูปขึ้นมา นกหงส์เพลิงตัวหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏข้างในนั้น!
คลื่นกระเพื่อมอันบรรยายไม่ถูกแผ่ออกไปเมื่อนกหงส์เพลิงเติบโตขึ้นมาสมบูรณ์แบบขึ้นทุกที มันเป็นนกหงส์เพลิงเก้าหัวที่มีคอยาวระหงเก้าคออันไม่เชิดขึ้นก็ก้มลงจากรัง ราวกับว่ากำลังสำรวจมองไปรอบทิศทาง
ฉินมู่สัมผัสได้ถึงรัศมีของสัตว์ร้ายบรรพกาลจากร่างของฉีเจี่ยวอี๋ และนี่น่าจะเป็นสาเหตุของความรู้สึกนั้น
คลื่นกระเพื่อมรุนแรงขึ้นทุกที และนกหงส์เพลิงเก้าหัวก็ยิ่งงามตระการและยิ่งสมจริงขึ้นเรื่อยๆ!
นกหงส์เพลิงเก้าหัวและต้นอู่ถงโบราณมิได้กดดันเพียงเจ๋อหัวหลี แต่มันยังน่าสะพรึงกลัวอย่างถึงขีดสุดแก่ผู้คนรอบๆ
“พี่ฉิน เจ้าหมายจะชมดูทักษะเทวะของข้าหรือไม่”
ใต้ต้นอู่ถงโบราณ สีหน้าของฉีเจี่ยวอี๋ดูศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง ในที่สุดเจ๋อหัวหลีก็ระเบิดพลังออกมาจากแรงกดดัน เขาฟันดาบของเขาลงไป มันเป็นกระบวนท่าแรกของเพลงมีดที่เขารังสรรค์ขึ้นมาหลังจากเข้าสู่เขตขั้นเต๋า!
ดวงตามารขนาดยักษ์ปรากฏข้างหลังเขาและอ้าเปิดออก ลำแสงอาพันธ์ยิงลงไปบนมีดอันเขาฟันลงมา และพลานุภาพของมันพลันเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหันต์ มันมีพลานุภาพระดับเดียวกับกระบี่ริเริ่มภัยพิบัติของฉินมู่ อันสามารถทำลายล้างทุกอุปสรรค!
เพลิงมีดอันเหนือล้ำ! เขามีกำลังฝีมือที่จะสู้ข้าได้!
นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของฉีเจี่ยวอี๋บีบเข้าด้วยกัน และมุทราอันเหมือนกับศีรษะนกหงส์เพลิงก็ฟาดเข้าใส่แสงมีดอันทะลวงผ่านยอดคาคบของต้นอู่ถงโบราณ!
เสียงหงส์เพลิงกู่ร้องกังวานดังออกมา และหงส์เพลิงเก้าหัวก็กระพือปีกของมัน แต่ทว่า มันมิได้พุ่งตรงไปยังเจ๋อหัวหลี แต่พุ่งมายังฉินมู่ราวกับคลื่นแสงที่โถมซัด!
ดาบมารของเจ๋อหัวหลีต้านรับมุทราของเจ๋อหัวหลี เมื่อมันพวยพุ่งออกมา ต้นอู่ถงโบราณก็ถล่มทับใส่ดาบมาร ฉีเจี่ยวอี๋ถึงกับปลดปล่อยการโจมตีของเขาไปยังเจ๋อหัวหลีและฉินมู่ในเวลาเดียวกัน!