บทที่ 79 ประลองเป็นตาย
ในเวลานี้เอง เจียงตงชิงที่ถูกหลัวซิงตบหน้าลอยกระเด็นออกไปเมื่อสักครู่ได้เดินเข้ามา สีหน้าเคร่งขรึมเป็นที่สุด ในดวงตาเต็มไปด้วนความเกลียดชัง
ที่ทั้งสองคนมาในครั้งนี้ เดิมทีคิดจะสั่งสอนหลัวซิวให้หนัก ๆ ให้เขาไม่กล้าเข้าใกล้ลู่เมิ่งเหยาอีก กลับคิดไม่ถึงว่าคนที่ขายหน้าจะเป็นพวกเขาทั้งสอง
“ทำไม? คนเดียวสู้ไม่ได้ จะลงมือพร้อมกันสองคนงั้นหรือ?” หลัวซิวสีหน้าเย้ยหยัน
“เจ้าหนุ่ม ข้าจะเอาเจ้าให้ตาย!” เจียงตงชิงตวาดด้วยความโมโห โผกระโจนเข้าหาหลัวชิง แสงพลังปราณแท้ส่องกระจายไปทั้งร่าง ซัดออกมาหนึ่งหมัด ดุร้ายทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง!
ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่มือทั้งสองของหลัวซิว เนื่องด้วยเหตุการณ์เมื่อสักครู่ เข้าทราบดีว่าหลัวซิวลงมือได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นถึงได้มีการป้องกันเอาไว้ก่อน
ทว่าเขายังไม่ทันจะเข้าใกล้หลัวซิว พลังมหาศาลก็ได้กระแทกเข้าที่หน้าอกของเขา
“นี่……ข้าเห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเขาไม่ได้ลงมือ……”
ร่างของเจียงตงชิงได้ลอยออกไปอีกครั้ง ดวงตาเบิกโพลง กระอักเลือดสด ๆ ออกมาจากปาก นอนหงายลงไปบนพื้น
จนถึงตอนนี้ เขาถึงสังเกตเห็นว่าหลัวซิวไม่ได้ขยับมือจริง ๆ แต่ใช้เท้าเตะเขาออกมา
“วิชายุทธ์ในใต้หล้าอานุภาพเกรียงไกรทำลายได้แม้แต่กำแพงเหล็ก มีเพียงความเร็วที่ไม่สามารถทำรลายได้ ความร้ายกาจของหลัวซิวไม่เพียงลงมืออย่างรวดเร็วเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาสามารถมองเห็นจุดบกพร่องที่เจียงตงชิงแสดงออกมา จากนั้นเอาชนะได้ภายในครั้งเดียว!”
“เจียงตงชิงผู้นี้ก็จริง ๆ เลย หาเรื่องใครไม่หาเรื่อง กลับมาหาเรื่องหลัวซิว เป็นถึงชี่ไห่ระดับ6 กลับตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ช่างขายหน้าสิ้นดี”
ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่น เจียงตงชิงใบหน้าแดงก่ำ โมโหจนสิ้นสติไปกับที่
“ครืน!”
ในเวลานี้นั่นเอง กระแสพลังในตัวของหลินจิงหยุนก็ถูกปลดปล่อยออกมา เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง “เจ้าแซ่หลัว ข้าจะทำให้เจ้าอยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ได้!”
แม้ว่านอกสำนักจะมีกฎว่าศิษย์ในสำนักจะฆ่ากันเองไม่ได้ แต่ถ้าหากทำให้อีกฝ่ายพิการ อย่างมากก็แค่ถูกลงโทษ
สำหรับเรื่องนี้ หลินจิงหยุนไม่หวาดกลัวเลยสักนิด ช่างมีเจตนาร้ายที่รุนแรงเสียจริง
“เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว” หลัวซิวคร้านจะใส่ใจ
“ข้าขอท้าประลองกับเจ้า กล้าไปที่แท่นประลองเป็นตายกลับข้าหรือไม่?”
หลินจิงหยุนถูกหลัวซิวยั่วโมโหโดยสิ้นเชิง เขาร้องโวยวายอยู่ตรงจุดนั้น
“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไปแท่นประลองเป็นตายกับข้า?” หลัวซิวหรี่ตาเล็กน้อย
แท่นประลองเป็นตายเป็นสถานที่จัดการความแค้นส่วนตัวของศิษย์นอกสำนักเซียวเหยา ทันทีที่เหยียบขึ้นไปบนแท่นประลองเป็นตาย นอกเสียจากว่าคู่ต่อสู้จะปล่อยเจ้าไป มิเช่นนั้นละก็จักต้องมีฝั่งใดตกตายเป็นแน่!
เป็นที่ประจักษ์ชัด หลินจิงหยุนกล่าวแบบนี้ออกมา ก็ได้มีความคิดที่จะเอาชีวิตเขาแล้ว
สำหรับคนที่คิดจะฆ่าตนเอง หลัวซิวหยุนเองก็มีความคิดที่จะสังหารขึ้นมา มิเช่นนั้นจะเป็นการปล่อยเสือเข้าป่า เป็นปัญหาในอนาคตได้
เพราะว่าเขาทราบดี บนโลกที่ผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ จะใจอ่อนไม่ได้
“เจ้ากล้าหรือไม่เล่า?” หลินจิงหยุนปล่อยกระแสพลังออกมา กดขี่ข่มเหง
“ทำไมจะไม่กล้าล่ะ……” หลัวซิวรับคำอย่างรวดเร็ว ไม่ลังเลเลยสักนิด
นับจากผู้อาวุโสจ้าวฉีหยวนได้บอกกับเขาว่า จะต้องขึ้นเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของนอกสำนักให้ได้ก่อนอายุสิบแปดปีถึงจะคู่ควรกับลู่เมิ่งเหยา หลัวซิวก็ทราบทันทีว่า วันเวลาที่เขาฝึกตนในนอกสำนักเซียวเหยา จะต้องหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้แน่
ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง มิใช่ว่าเก็บตัวตั้งใจฝึกฝนก็สำเร็จได้ แต่ได้ผุดขึ้นมาจากการต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า!
นี่เป็นชะตากรรมของผู้ที่ต้องการกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง มิอาจหลีกเลี่ยงได้……
นอกสำนักเซียวเหยา มีลูกศิษย์หนึ่งพันกว่าคน รวบรวมหนุ่มสาวชั้นยอดในเขตการปกครองหยุนหลงเอาไว้แทบทั้งหมด
ข่าวลือว่าหลัวซิวที่ได้รับอันดับหนึ่งจากการสอบเข้าสำนักเมื่อครึ่งเดือนก่อน จะขึ้นประลองกับหลินจิงหยุนที่พอมีชื่อเสียงในนอกสำนักที่แท่นประลองเป็นตาย เกิดเป็นคลื่นลมที่ใหญ่พอสมควรในนอกสำนักเซียวเหยาอย่างรวดเร็ว
“หลัวซิวเสียสติไปแล้วหรือไร?”
เมื่อสวีผิงและหวางช่านได้ยินข่าวนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง
ได้เข้ามาในนอกสำนักเซียวเหยาเป็นเวลาสักพักแล้ว ในฐานะศิษย์ใหม่ ถูกลูกศิษย์ที่อยู่มาก่อนรังแกนับเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นสวีผิงหรือหวางช่าน ก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจ
แต่หลัวซิวกลับไม่เหมือนกันกับพวกเขา ไม่ได้คิดว่าจะถ่อมตนเลยสักนิด ผู้ใดท้าทาย ก็โต้กลับอย่างแรง ตัดสินเป็นตายบนเวทีประลอง จักต้องยื่นขอความเที่ยงธรรมจากระดับสูงของนอกสำนัก ถ้าหากคร่าชีวิตอีกฝ่ายจากการต่อสู้กันเอง จักต้องได้รับบทลงโทษที่รุนแรง
ดังนั้นการต่อสู้ระหว่างหหลัวซิวและหลินจิงหยุน กำหนดเป็นเที่ยงวันพรุ่งนี้
หลัวซิวพึ่งจะกลับมาที่พักของตนได้ไม่นาน ลู่เมิ่งเหยาก็รีบมาหาทันที
“ทำไมเจ้าต้องรับปากขึ้นแท่นประลองเป็นตายกับหลินจิงหยุนด้วยเล่า?” ทันทีที่ลู่เมิ่งเหยาเข้าประตูมา ใบหน้าโฉมสะคราญก็ปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง และสายตาต่อว่า จ้องหลัวซิวตาเขม็ง
“ข้ารู้ว่าเจ้ามีความสามารถแข็งแกร่ง แต่ยังไงเจ้าก็ฝึกตนยังไม่นาน ต่อให้ทะลวงถึงขั้นชี่ไห่ระดับ3 ทว่าหลินจิงหยุนนั่นกลับอยู่ในชี่ไห่ระดับ7 จัดอยู่อันดับที่137 ของศิษย์นอกสำนัก!”
ความกังวลของลู่เมิ่งเหยาย่อมมีเหตุผลของนาง อันดับที่137 เหมือนจะไม่สูงนัก แต่ลูกศิษย์นอกสำนักมีทั้งหมดถึงพันกว่าคน สามารถอยู่ในอันดับหนึ่งใน150 ได้ ล้วนเป็นยอดฝีมือที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง
อย่าว่าแต่ชี่ไห่ระดับสามของหลัวซิวเลย ต่อให้เป็นผลการฝึกตนชี่ไห่ระดับ5 อย่างนาง ก็เพียงจัดอยู่ใน500 อันดับแรกเท่านั้นเอง
หากเป็นการประลองโดยปกติทั่วไปก็ไม่นับอะไร ต่อให้หลินจิงหยุนกล้าแค่ไหนก็ไม่กล้าคร่าชีวิตคน แต่เวทีประลองตัดสินตายนั้นไม่เหมือนกัน ถูกสังหารอยู่บนเวที อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใด ๆ
แม้ว่าในน้ำเสียงของลู่เมิ่งเหยานั้นจะมีท่าทีต่อว่า ทว่าในใจของหลัวซิวกลับรู้สึกอบอุ่น เขาทราบดีว่าลู่เมิ่งเหยาเป็นห่วงตน ถึงได้มีท่าทีเช่นนี้
“ไม่ต้องกังวลไป ข้ารู้ขอบเขตพอ” หลัวซิวเอื้อมมือออกมาลูบคลำใบหน้าที่ขาวเนียนของนาง
หลังจากที่หลัวซิวได้เล่าเรื่องที่ตนเองถูกลูกศิษย์สามคนของจางหลู่เหลียงตามสังหารที่เขาปาฉีออกมา ลู่เมิ่งเหยาอ้าปากค้างทันที บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“เจ้าบอกว่าเจ้าสามารถสังหารยอดฝีมือชี่ไห่ระดับ7 ได้รึ?”
หากไม่ใช่เพราะเข้าใจนิสัยของหลัวซิว เปลี่ยนเป็นคนอื่นมากล่าวเรื่องนี้กับตนเอง ลู่เมิ่งเหยาจักต้องคิดว่าอีกฝ่ายคุยโวอย่างแน่แท้
“จริงแท้แน่นอน มิเช่นนั้นข้าไม่ใช่เจ้าโง่สักหน่อย รู้ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ยังจะประลองตัดสินตายกับหลินจิงหยุนหรืออย่างไรเล่า?” หลัวซิวยิ้มกล่าว
เมื่อได้ฟังหลัวซิวกล่าวเช่นนี้ ลู่เมิ่งเหยาถึงได้ผ่อนคลายจิตใจที่เป็นกังวลลง ตอนที่นางเพิ่งจะได้รับข่าวนี้นั้น นางกังวลแทบตาย
แม้ว่าจะมีอายุเพียงสิบสี่ปี ทว่าได้เข้าฝึกวรยุทธ์ที่สำนักตั้งแต่อายุสิบปี ในระยะเวลาสี่ปีได้เผชิญกับความยากลำบากต่าง ๆ นานา หากไม่ใช่ใบหน้ายังคงดูอ่อนวัยอยู่บ้าง สภาพจิตของหลัวซิวนั้นไม่ต่างอะไรกับผู้ใหญ่นัก
เอื้อมมือออกไปม้วนเส้นผมของลู่เมิ่งเหยาขึ้นมา มุมปากของหลัวซิวแฝงไปด้วยรอยยิ้ม กล่าว: “ถ้าต้องการอยู่ร่วมกันกับเจ้า เส้นทางที่ข้าต้องเดินนั้น ยังอีกยาวไกลนัก”
การเคลื่อนไหวที่สนิทสนม คำพูดอันแสนอ่อนโยน หัวใจของลู่เมิ่งเหยาอดไม่ได้ที่จะสั่นเล็กน้อย
สำหรับเรื่องนี้ นางทราบดีเป็นธรรมดา ในฐานะบุตรสาวของลู่เฟยเฉิน ไม่เพียงแค่นอกสำนัก รวมถึงในสำนักก็มีอัจฉริยะไม่น้อยที่สนใจในตัวนาง นอกจากนี้นางยังทราบดีว่า เรื่องหลินจิงหยุนนั้น มีต้นเหตุมาจากนาง
“ทำไม? เจ้ากลัวแล้วรึ?”
“กลัว? น่าขันสิ้นดี! หากข้ากลัวจริง ๆ ข้ายังจะมาอีกหรือ?” หลัวซิวหัวเราะเสียงดัง เงาร่างพลันโผไปข้างหน้า และจุมพิตลงไปบนริมฝีปากแดง ๆ ของลู่เมิ่งเหยา
การจุมพิตอย่างกะทันหันนี้ ทำให้ลู่เมิ่งเหยาร่างกายแข็งทื่อไปทันที กลิ่นอายของบุรุษเพศถาโถมเข้ามา ทำให้นางมีความรู้สึกลุ่มหลงขึ้นมาอย่างกะทันหัน