บทที่ 80 ถูกลวนลาม

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

บทที่ 80 ถูกลวนลาม

 

ลิ้มรสริมฝีปากแดงตามอำเภอใจ กระดาษหน้าต่างที่ไม่เคยถูกเปิดมาก่อน ตอนนี้ถูกหลัวซิวทำลายลงทันที ปล่อยตัวปล่อยใจ มือของเขาเลื่อนลอยไปบนร่างของลู่เมิ่งเหยา

สำหรับลู่เมื่อเหยาที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์แนบชิดติดเนื้อแบบนี้มาก่อน การสัมผัสที่ใกล้ชิดเช่นนี้ เมื่อเทียบกับตอนที่ประกบร่างเปลือยเปล่าเพื่อรักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟนั้น แตกต่างกันมาก

ในตอนที่ไฟในร่างกายกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มือของหลัวซิวได้ล้วงเข้าไปในกระโปรงสีฟ้า และค่อย ๆ เลื่อนตามผิวเนียนขาวขึ้นไปข้างบน ในตอนที่กำลังจะสัมผัสก้อนนิ่ม ๆ ทั้งสองนั่นเอง ลู่เมิ่งเหยาก็พลันตื่นตัวขึ้นมา

“ไม่……อย่านะ!”

เสียงหอบหายในสั่นระริกอันอ่อนโยนดังลอยออกมาจากปากของนาง นางพลันออกแรง ผลักร่างของหลัวซิวออกไป

ฉับพลันทันใด บรรยากาศได้เงียบลง สงบนิ่ง

ในดวงตาของหลัวซิวปรากฏแววผิดหวังขึ้นมาแวบหนึ่ง ราวกับยังคิดถึงความรู้สึกอันยอดเยี่ยมในเมื่อสักครู่ เหมือนกับยังไม่สิ้นสุดลง

ส่วนลู่เมิ่งเหยานั้นก้มศีรษะ เสื้อผ้าเผ้าผมไม่เป็นระเบียบ ไหล่ด้านซ้ายเผยออกมาครึ่งหนึ่ง บนลำคอที่เนียนขาว ยังมีรอยจุมพิตที่หลัวซิวทิ้งเอาไว้เมื่อสักครู่

“เมิ่งเหยา ข้ารักเจ้า”

แสนนาน ยังคงเป็นหลัวซิวที่เอ่ยขึ้นมา ทำลายความเงียบสงบนี้

ในตอนที่กล่าวคำนี้ออกมา หลัวซิวเดินเข้าไปหาเมิ่งเหยา อ้าแขนทั้งสองข้างออก จากจะกอดนางเข้ามาในอ้อมแขน

ลู่เมิ่งเหยากลับถอยหลังติดต่อกันสองก้าว หลบออกไป มีความสลับซับซ้อนในดวงตาดุจดั่งสายน้ำในสารทฤดู “หลัวซิว เจ้าอย่าทำแบบนี้ ข้ายังไม่พร้อม”

ได้ยินคำพูดนี้ หลัวซิวชะงักไป นางบอกว่ายังไม่พร้อม หมายความว่าเยี่ยงไร? ปฏิเสธข้างั้นหรือ?

อาจเพราะคิดว่าบรรยากาศค่อนข้างอึดอัด ลู่เมิ่งเหยาเงยหน้าขึ้นมา ยิ้มอย่างหยอกเย้า “เจ้าอย่าเข้าใจความหมายของข้าผิดไป เจ้าอายุยังน้อย ร่างกายยังเติบโตไม่เต็มที่ ยังไม่สามารถทำเรื่องแบบนั้นได้”

ในตอนที่เอ่ยคำพูดเหล่านี้ สายตาของลู่เมิ่งเหยา ยังมองลงไปที่ส่วนล่างของหลัวซิวอย่างตั้งใจแลมิตั้งใจแล

เห็นหลัวซิวชะงักอยู่กับที่ มีท่าทางพูดไม่ออกและเขินอาย ลู่เมิ่งเหยาหลุดหัวเราะออกมา เดินไปที่ด้านหน้าของเขา เขย่งปลายเท้าขึ้น และสัมผัสลงไปบนริมฝีปากของเขาเบา ๆ

ในตอนที่หลัวซิวได้สติกลับคืนมา ลู่เมิ่งเหยาได้จัดเสื้อผ้าเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว และเปิดประตูออกไป

คลำริมฝีปากของตนเองเบา ๆ และมองที่มือทั้งสองข้างของตนเอง หลัวซิวชะงักไปแสนนาน ถึงได้กล่าวออกมา “นี่ข้าถูกลวนลามงั้นรึ?”

เขาจำได้ชัดเจนว่าคนที่ทำเรื่องไม่สำรวมแบบนั้นคือตนเอง หากไม่ใช่เพราะลู่เมิ่งเหยาพลักตนเองออก ป่านนี้คงเริงรมย์อยู่บนเตียงไปแล้ว

“อายุที่สมควรตาย!” หลัวซิวกัดฟันกรอด แต่เมื่อกลับไปนึกถึงความรู้สึกอันยอดเยี่ยมเมื่อสักครู่ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังขึ้นมา

นี่ก็คือหลัวซิวในอายุสิบสี่ปี เด็กหนุ่มที่กระทำตามความคิดของตนเอง

……

แม้ว่าความคิดที่จะผลักลู่เมิ่งเหยาลงจะไม่สำเร็จ แต่อารมณ์ของหหลัวซิวนั้นช่างหอมหวาน

ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานี้ สำหรับกฎมากมายของนอกสำนักเซียวเหยา ซิวหลัวก็พอมีความเข้าใจพอประมาณ

ในศิษย์นับพันคนของนอกสำนักเซียวเหยา จะมีการจัดอันดับ มีเพียงผู้ที่มีอันดับอยู่ใน200 อันดับแรก ถึงจะสามารถเสพสุขจากสิทธิพิเศษในการฝึกตน

นอกจากศิษย์นอกสำนักที่อยู่ใน200 อันดับแรกนี้แล้ว 800กว่าคนที่เหลืออยู่ จะไม่ได้รับการสนับสนุนทางทรัพยากรต่าง ๆ จากนอกสำนักเซียวเหยา มีเพียงสถานะเป็นลูกศิษย์ของนอกสำนักเซียวเหยาเพียงเท่านั้น

เที่ยงวันพรุ่งนี้ ก็ต้องประลองเป็นตายกับหลินจิงหยุนที่ แท่นประลองเป็นตายแล้ว สำหรับการประลองในครั้งนี้ หากยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดออกมา หลัวซิวไม่กล้าพูดว่ามีความมั่นใจเต็มสิบส่วน แต่อย่างน้อยก็มีแปดส่วน

ในศิษย์นอกสำนักหลินจิงหยุนอยู่ในอันดับที่137 ผลการฝึกตนอยู่ที่ระดับชี่ไห่ขั้นแปด ว่ากันว่าได้ฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับ6 เรียกว่าพลังเสวียนเฟิง

ก่อนหน้านั้นเขาได้ประมือกับหลินจิงหยุนเพียงแค่เวลาสั่น ๆ เท่านั้น อีกฝ่ายไม่ได้แสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา

เวลาเพียงหนึ่งวัน ก็ไม่สามารถเพิ่มพลังได้มากสักเท่าไหร่นัก วิชายุทธ์ที่ฝึกฝนก็ได้มาถึงจุดอุดตันไปชั่วขณะ ยากที่จะทะลวงถึงขั้นที่สูงกว่า

ดังนั้นหลัวจึงได้สงบจิตลง รักษาเสถียรภาพผลการฝึกฝนชี่ไห่ระดับ3 ของตน

เพียงแค่รักษาเสถียรภาพผลการฝึกฝนของตัวเองได้โดยสมบูรณ์ เขาก็จะสามารถใช้ยาฝึกปราณเม็ดที่สองได้ ทำให้ผลการฝึกตนก้าวเข้าสู่ชี่ไห่ระดับ4 เข้าสู่แดนชี่ไห่ตอนกลาง

ภายในห้อง หลัวซิวใช้หินพลังจิตขั้นกลางเปิดค่ายผนึกปราณระดับห้าที่ได้มาจากคลังสมบัติราชายุทธ์ มีประสิทธิภาพกลืนพลังฟ้าดินจิต ยกระดับขั้นห้าขั้นเต็ม ๆ

บวกกับวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดที่มีผลยกระดับผลการฝึกตน ความเร็วในการฝึกตนที่แท้จริงของหลัวซิว มากกว่าโดยปกติสิบเท่า!

ในสถานการณ์เช่นนี้ ความเร็วในการฝึกการรวมตัวปราณแท้ของหลัวซิวนั้นเร็วมาก ประกอบกับการเคลื่อนไหวโคจรมหาจักรวาลของปราณแท้ในร่างกาย ปราณแท้ที่อยู่ในชี่ไห่นั้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หมอกควันก็ควบแน่น เข้มข้นขึ้น

ในขณะที่เสถียรผลการฝึกตนอยู่นั้น สมองของหลัวซิวก็นึกภาพผังลายเส้นชีวิตไป ทำความเข้าใจภาพกฎข้อที่หนึ่งของวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดไป

ตามหลักการของเทพแห่งวัฏจักรชีวิต ภาพกฎทั้งเก้าข้อของวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด ในนั้นมีความลึกซึ้งของกฎดั้งเดิมการเวียนว่ายตายเกิดรวมอยู่ด้วย จากตื้นไปลึก หากสามารถเข้าใจได้ ก็จะสามารถเข้าถึงบรรดาวิชายุทธ์ต่าง ๆ จากในนั้นได้

ภาพกฎภาพแรกนั้น ตอนนี้หลัวซิวเข้าได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไตร่ตรองวิชายุทธ์ได้หนึ่งเคล็ดวิชา ชื่อว่าตราแห่งความเป็นตาย

อย่างไรก็ตามวิสัยทัศน์และความรู้ของหลัววิวนั้นมีขีดจำกัด ตราแห่งความเป็นตายยังมีช่องว่างในการเติบโตอีกมาก ต้องปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

เช้าวันถัดมา หลัวซิวเดินออกมาจากห้อง จากนั้นก็ตรงไปที่หอคอยมังกรบินทันที

ที่นอกสำนักเซียวเหยา มีสถานที่พิเศษหกแห่ง

หอเซียวเหยา เป็นสถานที่เก็บวิชายุทธ์ที่สำคัญ

หอเชียนจี เป็นสถานที่ในการฝึกฝนวิชาท่าร่าง

ค่ายจิ่วเสวียน เป็นสถานที่ฝึกฝนพลังจิต

และยังมีหอคอยปราณแท้ หุบเขาชุบร่าง……

สุดท้ายนั้นคือหอคอยมังกรบินเป็นสถานที่สำคัญในต่อสู้จริงของการประเมินอันดับ!

ห้าสถานที่แรก ล้วนเป็นสถานที่ที่ศิษย์นอกสำนักใช้เพื่อเพิ่มระดับความสามารถ ส่วนการประเมินความแข็งแกร่งขั้นสุดท้าย ล้วนดำเนินการที่หอคอยมังกรบิน

หอคอยมังกรบิน เป็นตึกที่มีความสูงเก้าชั้น มีความหมายแฝงว่ามังกรบินอยู่บนฟ้า ว่ากันว่าหากขึ้นไปจนถึงชั้นเก้าได้ นับเป็นมังกรในหมู่มนุษย์ เป็นยอดอัจฉริยะ!

ตามที่หลัวซิวทราบมา ในหอคอยมังกรบินจะมีค่ายกลอยู่ทุกชั้น คล้ายกับการประเมินขององค์กรนักล่ายุทธ์ มีคู่ต่อสู้อยู่ทุกประเภท

ศิษย์นอกสำนักทุกคน ในหนึ่งเดือนมีโอกาสเข้าหอคอยมังกรบินหนึ่งครั้ง

อันดับในหอคอยมังกรบินยิ่งสูง ยิ่งจะได้รับการปฏิบัติด้วยในการฝึกตนที่ดีกว่า

หลัวซิวเข้ามาที่นอกสำนักเซียวเหยาเป็นเวลาครึ่งเดือนกว่าแล้ว พอดีกับที่มีโอกาสเข้าสู่หอคอยมังกรบินหนึ่งครั้ง

เมื่อหลัววิวมาถึงหอคอยมังกรบิน ได้มีผู้คนรวมตัวกันอยู่ตรงนี้เป็นจำนวนมากแล้ว

หอคอยเก้าชั้นแห่งนี้เป็นเหมือนดั่งมังกรล้อมเสา บนชั้นเก้าที่เป็นชั้นสูงสุด มีลักษณะเป็นหัวมังกร เมื่อขึ้นไปด้านบน เหมือนดั่งยืนอยู่บนหัวมังกร

“สวบ!”

แสงสายหนึ่งเปล่งประกายเจิดจ้า เงาร่างสายหนึ่งใบหน้าซีดเซียว เลือดไหลเต็มใบหน้าถูกส่งออกมาจากหอคอยมังกรบิน

“มีคนออกมาแล้ว เหมือนจะเป็นลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาในนอกสำนักเซียวเหยาในปีนี้”

“ข้ารู้จักเจ้าหนุ่มนั่น เป็นอัจฉริยะจากตระกูลหวางแห่งเมืองหยูซาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าหอคอยมังกรบิน รีบดูเร็วว่าเขาจะสามารถอยู่ในอันดับเท่าใด”