ทว่า หนานกงจวิ้นซียังพูดไม่จบ เล่อเหยาเหยาพลันหัวเราะขึ้นมา
“ฮ่าๆ บ่าวเป็นผู้หญิงหรือ! ฮ่าๆ องค์ชายเจ็ด ท่านช่างน่าสนใจเสียจริง หากบ่าวเป็นผู้หญิง เช่นนั้นครั้งก่อนที่บ่าวช่วยอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ท่าน ท่านคงมิใช่ถูกข้าที่เป็นผู้หญิงมองเห็นจนหมดตัวแล้วหรือ!”
“เอ่อ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา หนานกงจวิ้นซีพลันตกตะลึง
หาก ‘เขา’ เป็นผู้หญิงจริง ครั้งก่อนเขาคล้ายถูก ‘เขา’ มองทั่วร่างกายจริง
พอคิดถึงตรงนี้ หนานกงจวิ้นซีมีสีหน้าขวยเขิน แต่ภายในร่างกายกลับพลันพรั่งพรูกลุ่มไฟขึ้นมา จิตใจเตลิดเปิดเปิง
แต่แม้เขาจะชื่นชอบ ‘เขา’ ที่เป็นผู้หญิง แต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงของ ‘เขา’ คล้ายกับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เมื่อได้ยินหนานกงจวิ้นซีทั้งกังวลและไม่สบายใจ เพราะเขาอยากให้ ‘เขา’ เป็นผู้หญิงจริงๆ!
ไม่เพียงหนานกงจวิ้นซีที่คิดเช่นนี้ สองคนที่เหลือในรถม้า ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
โดยเฉพาะเหลิ่งจวิ้นอวี๋ แม้เขาจะมีสีหน้าเย็นชาเรียบเฉยเช่นเดิม แต่สวรรค์รู้ว่าเขาเวลานี้ ใจเต้นระรัว
เพราะพักนี้ เขารู้ว่าตนเริ่มจะไม่ปกติ เขาหลงรักขันทีผู้นี้!
เรื่องนี้ ทำให้เขาลำบากใจ
อีกทั้งเขาก็รู้ว่าคนตรงหน้านี้เกลียดชังการใกล้ชิดกับเขาอย่างยิ่ง ดังนั้น ครั้งที่แล้วจึงตั้งใจล้อเล่นกับ ‘เขา’
ทำให้ ‘เขา’ โมโห และค่อยๆ ตีตัวออกห่าง ‘เขา’ไปพร้อมกัน
เพราะนี่คือสิ่งที่ ‘เขา’ ต้องการมิใช่หรือ!
แม้จะออกห่างจาก‘เขา’แต่สำหรับเขาถือว่าลำยากอย่างยิ่ง
ทุกวันเขาพยายามทำตัวยุ่งไม่หยุด นำงานของตนมาเรียงรายจัดการ เช่นนี้จึงจะไม่คิดถึง‘เขา’อีก
แต่เพียงเขาหลับตาลง สมองคิดถึงแต่ ‘เขา’
กระทั่งลมหายใจ คล้ายมีกลิ่นดอกไม้จางๆ นั้นของ ‘เขา’ ติดอยู่
โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และส่งกลิ่นหอม…
ส่วนเขาควบคุมตนเองอย่างยากลำบาก ย้ำเตือนตนในใจไม่หยุด ว่าอีกฝ่ายคือขันที เป็นขันที! ดังนั้นเขาจึงไม่อาจมีความคิดที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับ ‘เขา’ อีก!
แต่หาก ‘เขา’ ไม่ใช่ขันที และเป็นผู้หญิงล่ะ!
หากเป็นผู้หญิง เช่นนั้นเขาคง…
พอคิดถึงตรงนี้ ดวงตาเย็นชาที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋มองมายังเล่อเหยาเหยา ปรากฏสิ่งที่ซุกซ่อนไว้ขึ้นมา ทว่าน่าเสียดายที่เล่อเหยาเหยามองไม่เห็นมัน
เพราะตอนนี้เธอกำลังระงับความว้าวุ่นใจ จากนั้นก็แสร้งทำเป็นสรวลเฮฮา เพราะเพียงเท่านี้ จะไม่มีผู้ใดเห็นพิรุธของเธอ
ถูกต้อง เล่อเหยาเหยา เธอทำได้!เธอรับมือได้แน่นอน!
แม้ในใจเล่อเหยาเหยาจะว้าวุ่น แต่สีหน้ากลับหัวเราะเฮฮา คล้ายเรื่องที่หนานกงจวิ้นซีเอ่ยเรื่องที่น่าสนใจออกมา ทำให้หนานกงจวิ้นซีหดหู่ในใจ
“เจ้าไม่ใช่ผู้หญิงจริงหรือ”
“ฮ่าๆ องค์ชายเจ็ด แม้บ่าวจะรูปโฉมงดงามดุจบุปผา คนเห็นคนรัก งามล่มเมือง แต่บ่าวไม่ใช่ผู้หญิงจริงๆ องค์ชายไม่ลองนึกดูว่าหากบ่าวเป็นผู้หญิง เหตุใดยังกล้าเข้ามาทั้งที่รู้ว่าท่านอ๋องไม่ชื่นชอบผู้หญิง นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายหรือ!”
เล่อเหยาเหยาเริ่มจากเอ่ยชมตนเองก่อนหนึ่งรอบ เมื่อได้ยินเสียงเสียงตกตะลึงของพวกเขา จึงเอ่ยข้อเสียของการเข้ามาในวังอ๋องออกไป
เมื่อได้ยิน พวกหนานกงจวิ้นซีต่างรู้สึกว่ามีเหตุผล
เพราะเรื่องเกลียดชังผู้หญิงของพญายม มิใช่ข่าวใหม่อยู่แล้ว
และภายในวังอ๋องก็มีกฎ แม้จะเป็นบ่าวไพร่ในวัง เพียงเป็นผู้หญิง จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในวัง
หากมีคนละเมิดกฎวัง โทษเบาถูกไล่ออก โทษหนักคือโบยห้าสิบไม้ ก่อนไล่ออกจากวัง
ห้าสิบไม้ สามารถตีคนตายได้เลย!
ดังนั้นเมื่อได้ฟังคำพูดของเล่อเหยาเหยา หนานกงจวิ้นซีจึงเชื่ออย่างไม่สงสัยอีก
อีกทั้งหลังรู้ว่าเล่อเหยาเหยาไม่ใช่ผู้หญิง ในใจเกิดความผิดหวังขึ้นมา ทั้งรู้สึกว่างเปล่าและพ่ายแพ้
ทันใดนั้นคล้ายนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามขึ้นว่า
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าต้องเจาะหูด้วยล่ะ!”
เมื่อคาดเดาว่าหนานกงจวิ้นซีต้องเอ่ยถามเช่นนี้ เล่อเหยาเหยาจึงก้มหน้าด้วยท่าทางเช่นเดิมเมื่อครู่ ก่อนแอบสังเกตพวกเขาทั้งสามคน และภายในหัวก็คิดคำพูดออกมาอย่างรวดเร็ว
ทว่าเธอไม่เอ่ยปากออกมาทันที เพียงถอนหายใจ พลันขมวดคิ้ว ทำให้สีหน้าพลันปรากฏความโศกเศร้าอย่างที่สุดขึ้นมา
และดวงตางดงามคู่นั้น ก็ค่อยๆ มืดมนมากขึ้น ทำให้งดงามอ่อนหวาน คล้ายในใจปกปิดเรื่องเสียใจไว้มากมาย
ทำให้คนที่เห็น อดปวดใจไม่ได้
ตงฟางไป๋ที่อยู่ด้านข้างเห็นเข้า พลันเอ่ยขึ้นว่า
“น้องเหยาหากไม่อยากพูด ไม่ต้องพูดถึงมันก็ได้”
ตงฟางไป๋ใส่ใจละเอียดอ่อน และเขารู้ว่าทุกคนต่างมีเรื่องที่ไม่อยากเอ่ยถึง เหมือนกันกับเขา
ความใส่ใจของตงฟางไป๋ ทำให้เล่อเหยาเหยารู้สึกซาบซึ้งจนยิ้มออกมา
แต่เธอรู้ว่า หากเธอไม่พูด หนานกงจวิ้นซีคงสงสัยแน่นอน เพื่อหลีกเลี่ยงวันหน้าเขาอาจถามขึ้นอีกครั้ง และตนคงเผยพิรุธออกมา
ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงสูดจมูก จากนั้นแสร้งทำไม่เป็นไร ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“ความจริงไม่มีสิ่งใด พูดออกไปไม่ได้เสียหายอันใด ที่บ่าวต้องเจาะหู นั่นเพราะบ่าวร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่เด็ก บิดามารดาเพื่อบ่าวจึงต้องทำงานหนักทุกอย่าง และรักษากับท่านหมอมากมาย ทำให้เงินทั้งหมดร่อยหรอลงไป แต่เหล่าท่านหมอที่รักษาบ่าวต่างพูดกันว่า บ่าวจะมีชีวิตได้ไม่เกินหกปี บิดามารดาบ่าวเสียใจอย่างมาก จึงไปขอพรในอารามบนภูเขา ต่อมาไม่รู้ว่าได้ยินนักพรตผู้หนึ่งเอ่ยว่า เพียงเจาะหูของบ่าว ให้เลี้ยงดูบ่าวดั่งลูกสาว โรคของบ่าวจึงจะหายขาดได้ เพราะโบราณว่าไว้ว่าชีวิตสตรีไร้ค่า จึงเลี้ยงดูได้ง่าย!”
เล่อเหยาเหยาสะอึกสะอื้น ทำให้ชีวิตของตนดูน่าสงสารอย่างถึงที่สุด
เพราะคนที่น่าสงสาร จะทำให้คนเกิดความเห็นใจ และจากคำพูดในวันนี้ของตน เธอเดาว่าพวกเขาคงไม่คิดว่าเธอเป็นผู้หญิงอีก
ดังคาด หลังจากหนานกงจวิ้นซีได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา อดขมวดคิ้วไม่ได้ สายตามองมายังเล่อเหยาเหยาแฝงความเห็นใจอย่างไม่ปิดบัง
เพราะเขาเกิดในมาราชวงศ์ มีเงินทองให้เสพสุขมากมาย แต่ไหนแต่ไรเสื้อมาค่อยชูมือขึ้น ข้าวมาค่อยอ้าปาก ไม่เคยกังวลว่าจะอดอยากพวกนี้เลย
ตอนนี้หลังจากได้ยินคำพูดของคนตรงหน้า หนานกงจวิ้นซีพลันรู้สึกว่าตนโชคดีเหลือเกิน และก็รู้สึกละอายใจในเรื่องที่ทำต่อเล่อเหยาเหยาที่ผ่านมา
เพราะ ‘เขา’ น่าสงสารขนาดนี้ ตนกลับยังมักรังแก ‘เขา’
แม้ทุกครั้งจะคล้ายดูถูกสิ่งที่ต่ำต้อยบนตัว ‘เขา’
“เช่นนั้น ต่อมาล่ะ!”
หลังรู้สึกเห็นใจเล่อเหยาเหยา หนานกงจวิ้นซีอดอยากรู้เรื่องราวตอนเด็กของเธอไม่ได้
“ต่อมาหรือ ต่อมาบ่าวก็อาการดีขึ้น ร่างกายก็ฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ เฮ้อ เพราะชีวิตของบ่าว เงินทั้งหมดในบ้านจึงหมดลง ยากจนข้นแค้น บ่าวเห็นบิดามารดาทุกวันกังวล พวกเขาไม่อบอุ่นไม่อิ่มท้อง ดังนั้นจึงกัดฟันขายตัวเอง”
หลังพูดถึงประโยคสุดท้าย เล่อเหยาเหยาตั้งใจสูดจมูก พลันก้มใบหน้าเล็กลง และยักไหล่ขึ้นลง เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
ดังคาด หนานกงจวิ้นซีที่จิตใจบริสุทธิ์ พอได้ยินคำพูดของเธอ พลันเชื่อว่าคือเรื่องจริง
ใบหน้าหล่อเหลาแฝงความเห็นใจและขบคิด เอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า
“มิน่าเจ้าถึงเห็นแก่เงินเช่นนี้ ที่แท้เพราะยากจนนี่เอง”
“เอ่อ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยาอดยิ้มมุมปากไม่ได้
เห็นแก่เงินหรือ! ถูกต้อง
เพราะยุคนี้เธอต่างไม่มีสิ่งใด และไม่มีเงินทอง เธอต้องเดินไปอย่างลำบาก!
ตอนนี้องค์ชายเจ็ดเชื่อคำพูดของเธอแล้ว แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาสองคน
แม้เล่อเหยาเหยาจะสงสัยในใจ แต่ก็ไม่กล้าเงยหน้ามองหน้าพญายม
เพราะพญายมมีพลังและสายตาก็คมกริบเกินไป คนเล็กๆ เช่นเธอตอนสบตากับพญายม ยังหวาดหวั่นใจ
ส่วนตงฟางไป๋ที่อยู่ด้านข้าง หลังฟังเธอจบ พลันเอ่ยปากปลอบใจว่า
“น้องเหยา วันหน้าหากที่บ้านเจ้าต้องการความช่วยเหลือ ให้รีบเอ่ยปากก็พอ อย่าได้เกรงใจพี่ใหญ่เช่นข้า”
“พี่ไป๋”
เมื่อได้ฟังคำพูดของตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยาอดเงยหน้าไม่ได้ จมูกแสบร้อน ก่อนน้ำตาจะไหลลงมาอย่างกลั้นไม่ไหว
และน้ำตานี้ คือของจริง!
เพราะตงฟางไป๋ช่างดี!
เขาช่างดีมากเสียจริง!
ดีจนทำให้เธอซาบซึ้งและรู้สึกละอายใจ
เพราะเธอเล่นกับความรู้สึกของเขา แต่เขากลับดีต่อเธอเช่นนี้ ช่างน่าละอายเสียจริง!
พอคิดถึงตรงนี้ น้ำตาเล่อเหยาเหยายิ่งไหลหนักขึ้น
หนึ่งหยด สองหยด สามหยด…
น้ำตาแวววาวนั้น ดุจหยดน้ำที่ใสสะอาดที่สุดบนโลกใบนี้ ค่อยๆ ไหลลงมาจากดวงตางดงามคู่นั้น
หยดน้ำตาแวววาว รวมเข้ากับใบหน้าเล็กที่น่าสงสาร งดงามจนทำให้อกสั่นขวัญแขวน
ทันใดนั้น ภายในรถม้าไม่มีผู้ใดเอ่ยปาก เพราะพวกเขาต่างถูกใบหน้างดงามตรงหน้าทำให้ตกตะลึง
เห็นเพียงน้ำตา บนใบหน้าเล็กหมดจดงดงามของคนตรงหน้า ช่างคล้ายกับไข่มุกที่ร่วงหล่นลงมาบนแก้มขาวนวลของ ‘เขา’ไม่หยุด
ทันใดนั้น หยดน้ำนั้นภายใต้แสงอาทิตย์เรืองรอง เปล่งประกายอ่อนโยนขึ้นมา อย่างน่าหลงใหลและงดงาม!
หัวใจของทุกคน เวลานี้จมดิ่งและใจเต้นอยู่กับ ‘เขา’!
เล่อเหยาเหยากำลังร้องไห้ แต่เธอกลับไม่รู้ว่าเพราะน้ำตาของตน ทำให้หัวใจของชายหนุ่มสามคนตรงนั้น เกิดความรักต่อเธอขึ้นพร้อมกัน
สุดท้าย เธอเห็นเพียง มือใหญ่อันเรียวยาว ค่อยๆ เช็ดน้ำตาบนแก้มเธอออกไป จากนั้นกระซิบปลอบใจเธอว่า
“อย่าร้องไห้ ยังมีข้าอยู่ทั้งคน!”
………………………………..