ตอนที่ 150 เวลาแห่งการาจินตนาการ

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

ปัญหาของผีเสื้อน้อยจัดการได้แล้ว แต่วิชาการรักษาแปลกประหลาดของชวีฉิวหมิง ทุกคนล้วนคิดไม่ตก แม้แต่ผีเสื้อน้อยก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำได้อย่างไร

“สหายอวิ๋น ท่านว่า…” เจ้าสำนักสวีมองดูคนบนเตียง ในเวลานั้นก็คิดไม่ออกถึงต้นสายปลายเหตุ เพียงแต่สามารถมั่นใจได้ว่าชวีฉิวหมิงไม่เข้าใจวิชาทางการรักษา

อวิ๋นเจี่ยวกลับมีการคาดเดาอย่างหนึ่งขึ้นมาในใจ ครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้น “ปลุกเขาให้ตื่นก่อนเถอะ” พูดจบก็หยิบเข็มเล่มหนึ่งออกมา ทิ่มลงไปยังจุดเจ็บของอีกฝ่าย

นาทีถัดมา เสียงร้อยโหยหวนของชวีฉิวหมิงดังขึ้น ก่อนจะตื่นขึ้นมาในทันใด

“อ๊าก!” ในดวงตาเขายังหลงเหลือภาพแสนน่ากลัวก่อนสลบไป เขาพลางถอยพลางพูด “ปีศาจ! ปีศาจ!” เขาถอยจนถึงขอบเตียงก่อนจะล่วงลงมา แต่ยังคงถอยหลังไปจนติดผนังห้องถึงได้หยุดลง

สายตาหวาดกลัวกวาดมองผู้คนฝั่งตรงข้าม ก่อนจะตั้งสติได้ ลูบคลำร่างกายของตัวเองก่อนจะพูดขึ้น “ข้า…ข้ายังมีชีวิตอยู่! แล้ว…แล้วปีศาจล่ะ?”

“นางไม่อยู่ที่นี่” เจ้าสำนักสวีขมวดคิ้ว เดินหน้าขึ้นถาม “สะ…ท่านชวี ท่านบอกพวกข้าได้หรือไม่ เพราะเหตุใดท่านถึงได้ดึงพลังปีศาจบนตัวปีศาจผีเสื้อ” เมื่อครู่อวิ๋นเจี่ยวบอกว่าพลังปีศาจเสี้ยวสุดท้ายบนตัวปีศาจผีเสื้อถูกเขาดูดไปแล้ว หลังจากนั้นอีกฝ่ายกลายร่างก็เป็นการยืนยันประเด็นนี้ เพียงแต่พลังปีศาจสามารถใช้ในเผ่าพันธุ์ปีศาจเท่านั้น เขาเป็นมนุษย์ ทำไมถึงดูดพลังปีศาจได้

“พลังปีศาจอะไร!” ร่างของชวีฉิวหมิงสั่นเทา ราวกับนึกถึงลักษณะร่างเดิมของฉ่ายเตี๋ย เขาพูดโพล่งออกมา “ข้าไม่รู้ว่านางเป็นปีศาจ นางปลอมตัวเป็นคนเพื่อคิดจะทำร้ายข้าเป็นแน่ ไม่ผิด ต้องเป็นเช่นนี้แน่ พวกท่านรีบฆ่าปีศาจนั้นทิ้ง!”

ทันทีที่เขาพูดจบ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างขมวดคิ้ว เมื่อกี้ยังเรียกแทนตัวเองว่าพี่ชายน้องสาว แต่เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคือปีศาจ กลับตะโกนเรียกร้องให้ฆ่าทิ้ง ชักจะเปลี่ยนเร็วเสียเหลือเกิน

หากเป็นเมื่อหนึ่งปีก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างเสวียนเหมินกับโลกปีศาจไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหตุการณ์ปีศาจงูน้ำเมื่อห้าร้อยปีก่อน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองโลกตกต่ำลงอย่างมาก เพียงแต่ในช่วงเวลาใกล้นี้ ไม่รู้เพราะเหตุใด โลกปีศาจพยายามแสดงความเป็นมิตรต่อเสวียนเหมินขึ้นมา

อีกทั้งราชาปีศาจยังเป็นผู้ติดต่อสำนักเทียนซือมาเอง นอกจากส่งสิ่งของที่โลกมนุษย์ไม่มีเป็นครั้งคราวแล้ว พวกเขายังคอยให้เบาะแสของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นภัยต่อโลกมนุษย์ อีกทั้งภายในผ่าพันธุ์ปีศาจ เหล่าปีศาจที่กินคนทำร้ายคนมีไม่มาก ส่วนใหญ่มัวแต่ฝึกฝน ไม่มายังโลกมนุษย์

เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไรในเสวียนเหมิน ดังนั้นสำหรับปีศาจที่ไม่ก่อเรื่อง หลังจากที่รายงานกับสำนักเทียนซือแล้ว แต่ละสำนักจึงไม่ได้สนใจปีศาจที่ออกมาเที่ยวเล่น ไม่ถึงขั้นที่เห็นปีศาจก็จัง นี่เป็นสาเหตุที่เจ้าสำนักชิวหวาเชิญปีศาจผีเสื้อไปพักฟื้นที่สำนัก นอกจากรู้สึกผิดแล้ว อีกหนึ่งเหตุผลเป็นเพราะว่าบนตัวของมันไม่มีพลังอาฆาต มันเป็นเพียงปีศาจที่ไม่เคยทำร้ายมนุษย์ เหตุผลที่สองเป็นเพราะว่าความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองโลก

อย่างชวีฉิวหมิงที่เห็นปีศาจก็ตะโกนด่าทอคิดอยากจะกำจัด เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยอยู่ในวงการเสวียนเหมิน ไม่อยากนั้นในฐานะที่เขาเป็นหมอรักษาพลังลมปราณ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ปัญหาพื้นฐานแบบนี้

“ท่านชวี ท่านยังไม่ตอบข้า ทำไมท่านต้องดูดพลังปีศาจ” เจ้าสำนักสวีถามต่อ

ชวีฉิวหมิงนิ่งไป สายตาของเขาล่อกแล่ก แต่ก็ยังปากแข็งไม่ยอมรับ “ท่านพูดอะไร ดูดพลังปีศาจอะไร ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูด ข้าเป็นหมอรักษาพลังลมปราณ ข้าเพียงแค่กำลังรักษาโรคเท่านั้น”

ไม่เพียงแต่เจ้าสำนักสวี ทุกคนล้วนมีสีหน้าดำทะมึน จนกระทั่งตอนนี้เขายังไม่บอกว่าตนเองเป็นหมอรักษาพลังลมปราณ ทันใดนั้น พวกเขาก็นึกถึงนายพรานคนนั้น ทำไมเขาถึงกำจัดเพียงพลังปีศาจในร่างกายของอีกฝ่าย แต่กลับไม่ทำแผลห้ามเลือดให้ เพราะว่าเขาทำไม่เป็น

แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ หากพูดกันอย่างเคร่งครัด เขาได้ช่วยคนเอาไว้จริง ส่วนเรื่องหลอกปีศาจผีเสื้อเพื่อหาประโยชน์นั้น อย่างมากก็ถือเป็นแค่ปัญหาด้านคุณธรรม

“ท่านชวีหากไม่ยอมพูด พวกข้าก็ไม่บังคับ” เจ้าสำนักสวีกวาดตามองเขา “เพียงแต่วิชาของท่านได้มาจากการโกง ต้องขออภัยที่ทางสำนักเทียนซือไม่อาจให้ท่านขึ้นทะเบียนได้ ต่อจากนี้ท่านก็ไม่อาจบอกว่าตนเองเป็นหมอรักษาพลังลมปราณของเสวียนเหมิน”

ชวีฉิวหมิงโมโห เขาลุกขึ้นยืนในทันที ก่อนจะถลึงตาใส่เขา “ข้าช่วยชีวิตคนนับร้อยในเมืองเถียนฟาง ข้ามีฝีมือ พวกท่านมีสิทธิอะไรไม่ให้ข้าขึ้นทะเบียน”

“สิทธิที่พวกข้าคือสำนักเทียนซือ!” สีหน้าของเจ้าสำนักสวีดำทะมึน ก่อนจะพูดขึ้น “ภายในเสวียนเหมิน ไม่อาจมีผู้ที่ฉ้อโกงลักขโมยได้!”

“ท่าน…” สีหน้าของชวีฉิวหมิงดำราวกับก้นหม้อในทันที แต่ก็ไม่กล้าหาเรื่อง เพียงแค่สะบัดแขนเสื้อยอย่างแรง “ฮึ! สำนักเทียนซือแล้วอย่างไร ไม่ขึ้นทะเบียนก็ไม่ขึ้นทะเบียน ข้าไม่เชื่อว่าพวกท่านจะมือคับฟ้าได้” เพียงแค่เขามีความสามารถนี้ มีคนมากมายมาให้เขารักษา “สักวันพวกท่านจะต้องมาข้อให้ข้ารักษา” เขาส่งเสียงเย็นที่หนึ่ง ท่าทางได้ใจอย่างยิ่ง

ทุกคนสีหน้าดำลงยิ่งกว่าเดิมในทันที อวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“วันหลังขอไม่ขอร้องท่าน ข้าไม่รู้ แต่ว่าท่านต้องขอร้องข้าในเร็วๆ นี้”

ชวีฉิวหมิงผงะ “ท่านหมายความว่าอย่างไร”

“ทำไม ท่านไม่รู้สึกหรือ” อวิ๋นเจี่ยวยังคงทำหน้าจริงจัง กวาดตามองเขาขึ้นลงครั้งหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ

“คนที่ท่านรักษานั้น ไม่ได้ถูกพลังวิญญาณ ก็คงถูกพลังปีศาจหรือว่าท่านไม่รู้อันตรายของพลังวิญญาณและพลังปีศาจต่อร่างกายมนุษย์ หากมนุษย์ติดมาเพียงเล็กน้อยก็อันตรายถึงชีวิต ท่านคิดว่าท่านดึงพวกมันออกมาทั้งหมดจะกลายเป็นอย่างไร”

เขาเบิกตาโพลงขึ้นมาทันที สีหน้าซีดเผือดลงอย่างรวดเร็ว แม้แต่ร่างกายก็สั่นเทาขึ้นมา บนใบหน้าปรากฏความหวาดผวา แต่ก็ยังคงพูดเสียงดัง “ไม่…เป็นไปไม่ได้! ข้าจะ…เจ้าหลอกข้า! ข้าจะไม่เป็นอะไร ข้าจะเป็นอะไรได้อย่างไร”

“ตอนที่ท่านรักษาคน มีความรู้สึกอย่างไร ท่านรู้ดีที่สุด ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่!” ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่สีหน้าของอวิ๋นเจี่ยวนั้นไม่มีท่าทีล้อเล่นแม้แต่น้อย

เขาราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ สีหน้าของเขายิ่งซีดลง ขาของเขาอ่อนระทวยขึ้นมา ก่อนจะล้มลงนั่งกับพื้น ความหวาดกลัวในสายตายิ่งมากขึ้น ราวกับตกอยู่ในการคาดเดาอันน่ากลัวบางอย่าง

“รักษาชีวิตของท่านตอนนี้เถอะ” อวิ๋นเจี่ยวมองเขาอีกครั้ง ก่อนจะหันไปพูดกับคนอื่น “การทดสอบขึ้นทะเบียนยังไม่เสร็จสิน พวกเราไปคุมสอบต่อเถอะ”

พูดจบก็เดินออกจากห้องไป เหล่าเจ้าสำนักจึงทำได้เพียงเดินตามขึ้นไป ไม่ถึงชั่วครู่ก็ออกมาจนหมด

จนกระทั่งเดินกลับไปยังตำหนักหลัก ชายแก่ถึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “เจ้าหนู ชายแซ่ชวีคนนั้นดูดพลังวิญญาณและพลังปีศาจมาไว้บนตัวเองจริงหรือ”

“เปล่า!” อวิ๋นเจี่ยวตอบ จะเป็นไปได้อย่างไร หากดูดพลังวิญญาณพลังปีศาจมากขนาดนั้นคงตายไปนานแล้ว

“เช่นนั้นทำไมเจ้า…” ถึงพูดเช่นนั้น

“อ่อ” อวิ๋นเจี่ยวตอบอย่างจริงจัง “ข้าหลอกเขา!”

ชายแก่: “…”

เจ้าสำนักสวี: “…”

เหล่าเจ้าสำนัก: “…”

อวิ๋นเจี่ยวหันหลังกลับไปมองผู้คนที่ทำหน้าฉงน ก่อนจะหันไปตบไหล่ของเจ้าสำนักคนหนึ่ง

“คนที่ ‘รักชีวิตอย่างเขา’ พวกเราต้องให้เวลาจินตนาการกับเขาหน่อย เขาถึงจะพูดความจริง”

( ̄△ ̄;)