ภายในห้องหนึ่ง ณ วัดเซียงซาน นางฮานเปลี่ยนไปจากก่อนหน้าที่มีท่าทีกะปลกกะเปลี้ย
“เหล่าไท่ไทไปพักผ่อนหรือยัง”
แม่เจียงกล่าวตอบ “ไปพักผ่อนแล้วเจ้าค่ะ บ่าวเพิ่งถามแม่จู้เมื่อครู่นี้ เห็นเอ่ยว่าวันนี้เหล่าไท่ไทก็ดูเหน็ดเหนื่อยอยู่เล็กน้อยเจ้าค่ะ”
นางฮานกล่าวอย่างอ่อนใจ “ร่างกายกระดูกกระเดี้ยวของเหล่าไท่ไทมิสู้เมื่อก่อนแล้ว ทว่า…จะอย่างไรพรุ่งนี้ก็ตองลงเขาแต่เช้าหน่อย ข้ารู้สึกมิค่อยวางใจเรื่องในบ้านเท่าใดนัก”
แม่เจียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินวางแผนไว้อย่างรอบคอบทั้งหมดแล้ว คงต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของป๋ายฮุ่ยแล้วละเจ้าค่ะ ยามนี้…มิแน่ว่าคงได้…” นัยน์ตาของแม่เจียงเผยรอยยิ้มคลุมเครือให้เห็น
นางฮานแสยะยิ้ม “ข้ากำลังหดหู่ใจที่มิอาจแทรกแซงเข้าไปในเรือนหลั้วเซี๋ยจายได้ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าป๋ายฮุ่ยจะเป็นฝ่ายมาหาถึงที่ หากมีนางอยู่ หลังจากนี้เรือนหลั้วเซี๋ยจายคงได้ครื้นเครงน่าดูเชียว”
“ยังนึกภาพมิออกเลยนะเจ้าคะ ว่าหากเอ้อร์เส้าหน่ายนายรู้แล้วจะมีปฏิกิริยาเช่นไร ฮูหยินเจ้าคะ พวกเราก็ตั้งหน้าตั้งรอกลับไปชมละครสนุกๆ กันเถอะเจ้าค่ะ!” แม่เจียงเอ่ยอย่างสะใจ
“รู้แล้วยังจะทำอย่างไรได้อีก นางควรเอาเวลาไปห่วงตนเองเสียก่อนเถอะ! ดันปิดบังหมิงอวินเรื่องกินยาป้องกันการตั้งครรภ์ ต่อให้หมิงอวินไม่ถือโทษโกรธเคืองนาง ทว่าหากให้เหล่าไท่ไทรับรู้เข้า เหล่าไท่ไทคนหนึ่งละที่คงไม่พึงพอใจอย่างแน่นอน” นางฮานกล่าวอย่างสบายอกสบายใจ
“ก็นั่นสิเจ้าคะ ทำเป็นพูดกันว่าเอ้อร์เส้าเหยียและเอ้อร์เส้าหน่ายนายเป็นคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กันลึกซึ้ง ทว่าใครจะรู้ว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายกลับไม่ยินยอมให้กำเนิดบุตรแก่เอ้อร์เส้าเหยียเสียนี่”
“เรื่องบางเรื่องกลับมิใช่อย่างที่ตาเห็น ที่ผ่านมาพวกเขาสามีภรรยารวมหัวกันเล่นงานข้าเสียจนย่อยยับไปมิน้อย ยามนี้ได้แต่หวังว่าป๋ายฮุ่ยอย่าได้ทำให้ข้าผิดหวังถึงจะเป็นการดี”
“ฮูหยินวางใจเถิดเจ้าค่ะ! แผนการของฮูหยินแยบยลเสียยิ่งกระไรดีเจ้าค่ะ”
ทางด้านหลินหลัน ถึงปากจะเอ่ยว่าไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลไป ทว่าภายในใจกับปล่อยวางไม่ลงเลยสักนิด ค่ำคืนนี้จึงเป็นไปอย่างร้อนรุ่มใจ ประเดี๋ยวก็ฝันเห็นป๋ายฮุ่ยสวมใส่ชุดพิธียกน้ำชาเดินเข้ามาหานาง ต้องการคารวะน้ำชาแก่นาง อีกเดี๋ยวก็ฝันเห็นหมิงอวินกำลังนั่งชื่นชมดอกไม้ริมสระบัวกับสตรีร่างอรชรผู้หนึ่ง ทั้งสองส่งสายตาหวานเยิ้มให้แก่กันและส่งเสียงพูดคุยออเซาะกันอย่างบางเบา นางโกรธจนควันแทบออกหู คิดจะเดินเข้าไปดูหนังหน้าสตรีผู้นั้นว่าเป็นใครกัน แต่กลับย่างก้าวไม่ออก…
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ…” หยินหลิ่วเขย่าท่อนแขนของนายหญิงและกล่าวเรียกด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย
หลินหลันเบิกดวงตาขึ้นฉับพลัน ตามด้วยเสียงลมหายใจหอบหนัก ดวงตาคู่สวยเลือนรางราวกับยังสลัดความฝันนั้นออกไปมิได้
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านฝันร้ายแล้วหรือเจ้าคะ” หยินหลิ่วใช้ผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากของนายหญิงอย่างเบามือ หรูอี้เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวจึงรีบคว้าเสื้อคลุมมาสวมทับแล้วเดินเข้ามา ทันทีที่เห็นภาพสถานการณ์ดังกล่าวจึงรีบรินน้ำชาอุ่นๆ มาให้
หลินหลันดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง หลังจากนั้นสติสัมปชัญญะของนางก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ก่อนจะกล่าวออกไปด้วยเสียงบางเบา “มิเป็นไร แค่ฝันร้ายนิดหน่อย ยังดีที่ตื่นขึ้นมาแล้ว”
หรูอี้กล่าวอย่างเป็นกังวล “เอ้อร์เส้าหน่ายนายต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือไม่เจ้าคะ เหงื่อท่วมจนชื้นไปหมดแล้ว”
ยามนี้หลินหลันถึงรู้สึกได้ว่าเรือนร่างของตนเหนียวเหนอะหนะ ฤดูหนาวอันเย็นยะเยือกแท้ๆ ยังอุตส่าห์เหงื่อชุ่มได้ถึงเพียงนี้
หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันกระโจนขึ้นไปนอนบนเตียงอีกครั้งแต่กลับข่มตานอนไม่หลับ ภายในสมองของนางเต็มไปด้วยความนึกคิดแย่ๆ และรู้สึกอยากกลับบ้านเพื่อดูสถานการณ์เสียตอนนี้เลยด้วยซ้ำ มิใช่นางไม่วางใจในตัวหมิงอวิน เพียงแต่นางเกรงว่าเขาจะรับมือไม่ไหวน่ะสิ!
หลินหลันนอนตาสว่างจนถึงเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น หลังรับประทานมื้อเช้าเป็นที่เรียบร้อย หญิงชราจึงเอ่ยถามถึงสุขภาพของนางฮานว่าดีขึ้นบางหรือยัง
“พอได้พักผ่อนสักคืน ก็ไม่รู้สึกแน่นหน้าอกถึงเพียงนั้นแล้วเจ้าค่ะ” นางฮานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลินหลันแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากแม่มดชราไม่สบายขึ้นมาอีกคงมิรู้ว่าจะได้ลงเขากันเมื่อใด
ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “น้องสะใภ้ เมื่อคืนนอนหลับไม่สนิทหรือ เหตุใดรอบตาถึงดำคล้ำไปเสียแล้ว”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ามิค่อยคุ้นชินเตียงนอนที่นี่เท่าใดนักเจ้าค่ะ”
ติงหลั้วเหยียนเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน “เช่นนั้นก็ยังดีที่ค้างแรมกันเพียงคืนเดียวเท่านั้น”
ระหว่างนั้นก็ได้ยินหญิงชราเอ่ยขึ้น “เมื่อคืนนี้ข้าได้ยินท่านพระอาจารย์ที่นี่เอ่ยว่า บริเวณตีนเขาวัดเซียงซานแห่งนี้ยังมีวัดพระแม่กวนอิม ซึ่งศักดิ์สิทธิ์ในด้านการขอบุตรอย่างยิ่ง อีกเดี๋ยวยามที่ลงเขากันแล้วแวะเวียนไปสักการะสักหน่อยแล้วกัน โดยเฉพาะหลั้วเหยียนและหลินหลัน ตั้งใจขอพรจากพระแม่กวนอิมให้ดีๆ พวกเจ้าจะได้มีบุตรหลานให้แก่ตระกูลหลี่เพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูลต่อไปในเร็ววัน”
“เหล่าไท่ไทพูดถูกอย่างยิ่งเจ้าค่ะ ยามมาถึงที่นี่ลูกก็ตั้งใจไว้เช่นกัน” นางฮานกล่าวเสริม
ติงหลั้วเหยียนก้มหน้าลงต่ำปกปิดดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์เฉยเมย ทำให้คนข้างๆ ไม่อาจมองเห็นสีหน้าที่แท้จริงของนางในยามนี้ จึงคิดไปว่านางกำลังเอียงอาย ทว่าหลินหลันซึ่งยืนอยู่อีกข้างกลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน นางอดประหลาดใจมิได้ แต่ก็อธิบายไม่ถูกว่าด้วยเหตุอันใด
ขบวนคนกลุ่มหนึ่งเพิ่งพากันเดินออกมาจากทางเข้าออกวัดบนภูเขา แลเห็นว่าตงจึกำลังรออยู่ด้านนอก หลินหลันรู้สึกตื่นตกใจ หรือว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้วจริงๆ ตงจึจึงได้ถ่อมาถึงที่นี่เป็นการเฉพาะ
เมื่อนางฮานมองเห็นตงจึที่กำลังเผยสีหน้าลุกลี้ลุกลนอยู่เช่นนั้น รอยยิ้มอันเลือนรางก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนางชั่ววูบ เห็นทีว่าเมื่อคืนนี้ที่เรือนหลั้วเซี๋ยจายคงร้อนเป็นไฟน่าดู
ตงจึคารวะแด่หญิงชราและนางฮานพร้อมกับทักทายตามมรรยาท หลังจากนั้นหญิงชราก็เอ่ยถามไถ่ “เจ้าขึ้นเขามาแต่เช้าตรู่ ในบ้านเกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้วใช่หรือไม่”
ตงจึรีบกล่าวทันควัน “ก็ไม่มีเรื่องอันใดหรอกขอรับ แค่เอ้อร์เส้าเหยียเห็นว่าเมื่อคืนนี้เหล่าไท่ไท ฮูหยินและเอ้อร์เส้าหน่ายนายมิได้กลับบ้าน จึงรู้สึกคะนึงถึง เลยสั่งการให้ข้าน้อยขึ้นมาสอดส่องดูสักหน่อยขอรับ”
หญิงชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เกรงว่าเอ้อร์เส้าเหยียของเจ้าจะคะนึงถึงเพียงเอ้อร์เส้าหน่ายนายเท่านั้นกระมัง!”
ตงจึยิ้มเจื่อนแล้วกล่าว “คะนึงถึงทุกคนแหละขอรับ”
ผู้ดูแลจ้าวเดินเข้ามาบอกกล่าว “ตระเตรียมเกี้ยวแบกหามไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ เชิญเหล่าไท่ไทและฮูหยินขึ้นเกี้ยวได้เลยขอรับ”
หลินหลันเรียกตงจึมายืนอยู่ด้านข้างและกระซิบถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้วหรือ”
ตงจึกล่าว “เอ้อร์เส้าเหยียให้ข้าน้อยมาบอกกล่าวเอ้อร์เส้าหน่ายนายเสียก่อนว่าเรื่องวุ่นวายทั้งหมดจัดการเรียบร้อยแล้ว ให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายวางใจได้ขอรับ”
หยินหลิ่วกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “เกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ หรือ”
ตงจึกล่าว “เกิดสถานการณ์บางอย่างขึ้นเล็กน้อย ทว่าไม่มีอันใดร้ายแรง วันนี้เอ้อร์เส้าเหยียลาหยุดหนึ่งวันจึงมิได้ไปสำนักฮานหลิน และกำลังรอเอ้อร์เส้าหน่ายนายอยู่ที่บ้าน”
จัดการปัญหาเรียบร้อยแล้วก็ดี “นี่มิใช่สถานที่เหมาะสมที่จะพูดคุยกัน ไว้ค่อยกลับไปคุยที่บ้านเถอะ!” หลินหลันเอ่ยเสียงกระซิบ
แม่เจียงประคองนางฮานขึ้นเกี้ยวพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านเห็นสีหน้าลนลานของตงจึแล้วสินะเจ้าคะ”
นางฮานเม้มริมฝีปากเพื่อซ่อนรอยยิ้ม ทั้งที่ภายในใจเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ หากแผนการล้มเหลว ข้ารับใช้ของนางคงต้องมารายงานตั้งนานแล้ว ทว่าคนของนางกลับไม่โผล่มาให้เห็นสักคน แต่กลายเป็นตงจึที่มาถึงที่ เห็นทีว่าป๋ายฮุ่ยก็มีฝีมืออยู่ไม่น้อยเช่นกัน
เมื่อกลับถึงบ้าน ภายในบ้านดูเงียบสงัดจนผิดปกติ นางฮานต้องการส่งหญิงชรากลับไปพักผ่อนยังโถงจาวฮุย ติงหลั้วเหยียนจึงเอ่ยปากอาสา “ร่างกายท่านแม่เพิ่งอาการดีขึ้น อีกทั้งระหว่างเดินทางกลับมาก็โคลงเคลงไปมาอยู่ตลอด ท่านแม่กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะเจ้าค่ะ ให้ลูกไปส่งท่านย่ากลับนะเจ้าคะ”
หลินหลันมีเรื่องกังวลอยู่ภายในใจ ยามนี้จึงไม่มีกะจิตกะใจทำดีอันใดทั้งสิ้น จิตใจของนางคิดเพียงอยากกลับไปยังเรือนหลั้วเซี๋ยจายให้ไวที่สุด
นางฮานกล่าวเชยชม “หลั้วเหยียนช่างกตัญญูรู้คุณเสียจริง”
หญิงชราชายตามองไปยังหลินหลันที่ใจไม่อยู่กับเหนือกับตัว นางจึงรู้สึกไม่พึงพอใจขึ้นมาเล็กน้อย
ตงจึกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหันยามที่ใกล้ถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจาย “เอ้อร์เส้าหน่ายนายขอรับ แม้ว่าปัญหาใหญ่จะจัดการเรียบร้อยแล้ว ทว่ายังมีปัญหาเล็กน้อยอีกเรื่องหลงเหลืออยู่ เอ้อร์เส้าเหยียเอ่ยว่าให้ท่านเตรียมใจไว้สักหน่อยและอย่าได้เกรี้ยวโกรธไปนะขอรับ”
หลินหลันชักสีหน้าเคร่งเครียด “ปัญหาใหญ่ปัญหาเล็กอะไรของเจ้า นี่สรุปแล้วเอ้อร์เส้าเหยียให้เจ้ามาทำให้ข้าสบายใจหรือทำให้ข้าวุ่นวายใจกันแน่”
ตงจึก้มหน้าลงอย่างสลด “ข้าน้อยมิบังอาจขอรับ เอ้อร์เส้าเหยียมิให้ข้าน้อยปากมาก เกรงว่าข้าน้อยจะพูดไม่ชัดเจนแล้วพาให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายเป็นกังวลขอรับ”
หยินหลิ่วถลึงตาใส่ตงจึ “ที่เจ้ากำลังพูดจาอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นี่แหละทำให้คนเขาเป็นกังวลใจน่ะ!”
เหวินลี่ที่คอยเฝ้าดูอยู่บริเวณประตูทางเข้าออกเมื่อเห็นนายหญิงกลับมาแล้วจึงรีบเข้าไปต้อนรับ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ในที่สุดท่านก็กลับมาเสียที”
หรูอี้กล่าวด้วยสีหน้าตื่นตกใจ “เหวินลี่ ใบหน้าเจ้าไปถูกอันใดเข้า”
หลินหลันมองเห็นร่องรอยบนใบหน้าของเหวินลี่เช่นกัน ทั้งมุมปากที่บวมเป่ง จมูกเขียวช้ำนอกจากนั้นยังมีรอยเลือดซิบอีกสามสี่รอย เป็นสภาพซึ่งชวนตกใจไม่น้อยทีเดียวเชียว
เหวินลี่กอบกุมใบหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว “มิเป็นไรๆ มิเป็นไรแล้ว เอ้อร์เส้าหน่ายนายเหนื่อยมากแล้ว รีบเข้าไปพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ!”
หลินหลันเดินหน้าเคร่งขรึมเข้าสู่ภายในเรือน จึงได้เห็นว่าอวิ๋นอิงที่กำลังกวาดพื้นก็มีใบหน้าบวมเป่งและจมูกเขี้ยวช้ำไม่ต่างกัน ตามมาด้วยกุ้ยซ่าว ป้าจ้าว แล้วยังมีจิ่นซิ่วที่กำลังย้ายสิ่งของออกมาจากห้องปีกข้าง หรูอี้จำได้ว่านั่นคือสิ่งของของป๋ายฮุ่ย จึงอดประหลาดใจไม่ได้ “ย้ายของเหล่านี้ออกมาทำไมกันหรือเจ้าคะ”
เมื่อทั้งสามคนเห็นนายหญิงกลับมาจึงรีบร้อนเข้ามาคารวะ หลังจากนั้นกุ้ยซ่าวจึงบอกกล่าว “ของเหล่านี้มิได้ใช้แล้ว เอ้อร์เส้าเหยียสั่งการให้นำออกไปทิ้งหรือเผาให้หมด”
“จิ่นซิ่ว เหตุใดเจ้าก็…” หยินหลิ่วพึมพำออกมาภายใต้สีหน้าตกตะลึง
หลินหลันมองเห็นคนในเรือนของตนมีใบหน้าบวมช้ำทีละคนๆ จึงอดรู้สึกเดือดดาลประหนึ่งเพลิงไฟกำลังลุกไหม้ภายในจิตใจขึ้นมามิได้ สรุปแล้วหลี่หมิงอวินจัดการปัญหาอย่างไรของเขากันแน่ หรือว่าเพื่อต่อกรป๋ายฮุ่ยเพียงผู้เดียวถึงกับต้องใช้กำลังราวกับไปทำสงคราม ทำให้แต่ละคนมีสภาพสะบักสะบอมถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“เอ้อร์เส้าเหยียล่ะ” หลินหลันเอ่ยถามเสียงเย็นชา
จิ่นซิ่วมุ่ยปาก “เอ้อร์เส้าเหยียอยู่ในเรือนเจ้าค่ะ”
นางฮานสั่งให้คนเรียกแม่เติ้งมาเพื่อซักถามทันทีที่กลับถึงโถงหนิงเฮ๋อ แต่กลับได้รับรายงานว่าแม่เติ้งถูกขับไล่ออกจากบ้านไปแล้ว นางฮานจึงตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง “นี่มันเรื่องอันใดกัน”
สาวใช้ผู้นั้นกล่าวอย่ากล้าๆ กลัวๆ “ ข้าน้อยก็มิทราบแน่ชัดเช่นกันเจ้าค่ะ”
นางฮานโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและก่นด่าออกมา “ใช้ไม่ได้เลยสักตัว ไปเรียกแม่เหยามา”
แม่เจียงเข้าไปช่วยลูบแผ่นหลังระบายเลือดลมให้นางฮาน “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไปเจ้าค่ะ ระมัดระวังสุขภาพของตนเองด้วยนะเจ้าคะ”
นางฮานกล่าวด้วยความอึดอัดใจ “ข้าจะไม่ร้อนใจได้อย่างไรกัน เดิมทีคิดว่าเรื่องสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี คาดไม่ถึงเลยว่าแม่เติ้งจะถูกคนขับไล่ออกไปเสียได้”
ระหว่างนั้นแม่เหยาเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“แม่เหยา สรุปแล้วมันเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ เหตุใดแม่เติ้งถึงถูกขับไล่ออกจากจวนไปได้ แล้วผู้ใดเป็นคนออกคำสั่ง” นางฮานเอ่ยถามอย่างกระวนกระวายใจ
แม่เหยาคารวะแล้วกล่าวตอบ “ฮูหยินเจ้าคะ เรื่องไม่ค่อยดีเลยเจ้าค่ะ! ภาระงานที่ท่านมอบหมายให้แม่เติ้งไว้ แม่เติ้งดันทำมันพังน่ะสิเจ้าคะ เอ้อร์เส้าเหยียจับได้และแม่เติ้งก็สารภาพเสียจนหมดเปลือก แล้วยังลงนามไว้เป็นหลักฐานให้เสร็จสรรพ นอกจากนี้ยังมีสาวใช้ป้าๆ ในห้องครัวที่เป็นผู้ร่วมกระทำการช่วยเป็นพยานให้อีก เอ้อร์เส้าเหยียจึงไปขอคำแนะนำจากเหล่าเหยีย เหล่าเหยียโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง ยกอำนาจทั้งหมดให้เอ้อร์เส้าเหยียเป็นผู้ตัดสิน เอ้อร์เส้าเหยียจึงลงโทษแม่เติ้งด้วยการโบยยี่สิบไม้แล้วขับไล่ออกไปจากจวน ส่วนป้าฉีและป้าหวังที่อยู่ทางห้องครัวก็ถูกลงโทษโดยการตัดเงินเดือนสามเดือน คนอื่นๆ ที่เหลือแม้ว่ามิได้รับโทษแต่ก็ถือว่าเคยกระทำผิดแล้ว จึงถูกเอ้อร์เส้าเหยียลงบันทึกไว้ในสมุดบันทึกเจ้าค่ะ บ่าวอยากช่วยเหลือแม่เติ้งทว่าตนเองก็ไร้ความสามารถ หลังเกิดเรื่องราว เอ้อร์เส้าเหยียลงกลอนประตูทุกบานในจวน ไม่อนุญาตให้ผู้ใดออกไปจากจวนและไม่อนุญาตให้ถกถึงประเด็นนี้ หากฝ่าฝืนจะต้องรับโทษโบยจนเสียชีวิตเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น นางฮานสมองแทบระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เกือบจะล้มพับลงมาจากเตียงเตา โชคยังดีที่แม่เจียงเข้ามาประคองไว้ทันการณ์ “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านอย่าเพิ่งเป็นอันใดไปนะเจ้าคะ ยามนี้อย่าได้สติกระเจิงไปเชียวเจ้าค่ะ…”
นางฮานค่อยๆ เรียกสติกลับคืนในชั่วครู่ถัดมาและกล่าวขึ้นภายใต้สีหน้าเลื่อนลอย “แม่เติ้งสารภาพหมดแล้วหรือ เอ่ยว่าข้าเป็นคนสั่งการนางใช่หรือไม่”
แม่เหยาพยักหน้าด้วยความสลดใจ
นางฮานหน้าซีดเผือดพร้อมกับความรู้สึกราวกับจะกระอักเลือด นางกัดฟันแน่นแล้วกล่าว “นังโง่เง่าที่ไม่ได้เรื่องผู้นี้ ช่างทำกับข้าได้เจ็บแสบเสียจริง”
แม่เจียงกล่าวอย่างกระวนกระวาย “เช่นนั้นป๋ายฮุ่ยล่ะ”
“ป๋ายฮุ่ยถูกเอ้อร์เส้าเหยียขับไล่ออกไปจากจวนแล้วเช่นกัน เอ้อร์เส้าเหยียมิให้ผู้อื่นพ้นออกไปจากจวนแม้เพียงครึ่งฝีก้าว ยามนี้แม่เติ้งและป๋ายฮุ่ยไปไหนต่อไหนแล้ว บ่าวเองก็มิอาจรู้ได้เลยเจ้าค่ะ” แม่เหยากล่าวเสียงอ่อน
นางฮานกล่าวอย่างฉุนเฉียว “พวกไร้ความสามารถ ทำอันใดก็ไม่สำเร็จสักอย่าง แต่ละตัวมิได้เรื่องทั้งนั้น…”
“ฮูหยิน ท่านอย่าเพิ่งโมโหเลยนะเจ้าคะ ยามนี้โมโหไปก็มิช่วยอันใดขึ้นมา เรามาคิดหาคำอธิบายกับเหล่าเหยียจะดีกว่านะเจ้าคะ” แม่เจียงกล่าวเตือนสติ
นางฮานแสยะยิ้มอย่างอนาถใจ อธิบาย จะให้นางอธิบายอย่างไรได้หรือ แม่เติ้งสารภาพหมดเปลือกขนาดนั้นแล้ว เพื่อช่วยสาวใช้คนหนึ่งให้ปีนขึ้นไปบนเตียงนอนของนายน้อย นางจึงระดมคนมาร่วมมือใช้วิธีการเจ้าเล่ห์เจ้ากลและต่ำทราม ทุกวันนี้เหล่าเหยียก็จงเกลียดจงชังและไม่อยากพบเจอนางยิ่งกว่ากระไรดี แล้วคิดหรือว่าเขาจะฟังคำอธิบายจากปากนาง