สุดท้ายเริ่นเสี่ยวซู่ก็ล้มเลิกความคิดจะใช้เหยียนลิ่วหยวนเป็นตัวทดลองเพราะกลัวจะมีอะไรพลาดขึ้นมา ตอนนี้เขายังควบคุมพลังไม่ค่อยได้นัก ถ้าเกิดอะไรขึ้นตอนเหยียนลิ่วหยวนข้ามผ่านประตูเงาล่ะ
เริ่นเสี่ยวซู่พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ตอนที่เขาคัดลอกพลังมาจากลั่วซินอวี่ ตอนนั้นประตูเงาสูงกว่าสองเมตร
ไหนๆ ตนเองก็เอาแขนเข้าไปได้แค่ข้างเดียว เขาก็ไม่รู้ว่าจะเปิดประตูเสียใหญ่โตไปทำไม อีกทั้งทำอย่างนั้นมีแต่จะดึงดูดสายตาคนอีก ด้วยเหตุนี้เริ่นเสี่ยวซู่จึงคิดจะสร้างประตูเล็กๆ ที่พอให้ยัดแขนเข้าไปข้างเดียวก็พอ
คิดเสร็จ เหยียนลิ่วหยวนที่อยู่ด้านข้างก็เห็นว่าประตูเงาพลุบขึ้นไปบนเพดานอีกครั้ง ก่อนที่ตัวเงาจะเริ่มกวัดแกว่งไปมา เหมือนกับว่ามีกฎเกณฑ์อะไรบางอย่างพยายามต่อต้านความคิดของเริ่นเสี่ยวซู่อยู่อย่างไรอย่างนั้น
เริ่นเสี่ยวซู่สังเกตเห็นว่าประตูเงาน่าจะมีรูปแบบตายตัวตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และไม่ใช่สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงได้ด้วย
นี่คงเป็นการต่อสู้กันของอำนาจจิต
แต่พลังนี้ควบคุมโดยพลังจิตไม่ใช่หรือเป็นพลังเหนือธรรมดาที่ก่อเกิดมาจากพลังจิตตานุภาพ
เหยียนลิ่วหยวนเห็นเหงื่อเม็ดโตบนหน้าผากของเริ่นเสี่ยวซู่ เขาไม่กล้าส่งเสียงอะไรแม้แต่น้อย
วินาทีต่อมา เหยียนลิ่วหยวนเห็นขอบประตูเงาสั่นไหวก่อนจะหดตัวลงไป!
ถ้าลั่วซินอวี่อยู่ที่นี่ด้วย เธอคงอ้าปากค้างถึงพื้นแล้ว เพราะขนาดเธอเป็นเจ้าของพลังประตูเงา เธอก็ยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างประตูได้เลย!
เริ่นเสี่ยวซู่โล่งอก ตอนนี้เส้นผ่าศูนย์กลางของประตูเงาเหลือแค่แขนข้างหนึ่งแล้ว เขาลองปิดเปิดประตูเงาอีกครั้ง รอบนี้เริ่นเสี่ยวซู่สามารถปรับขนาดประตูได้ตามใจ
เขาได้แต่เศร้าใจที่ไม่ว่าประตูจะใหญ่แค่ไหน เขาก็เอาเข้าไปได้แค่แขนข้างเดียวเท่านั้น
ตรรกะแม่*บรรลัยฉิบหาย!
อุตส่าห์ควบคุมพลังได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว ทำไมถึงยังมีข้อจำกัดอยู่ล่ะวะ
เริ่นถามพระราชวังในห้วงจิต “ฝีมือแกสินะ”
พระราชวังตอบ [ไม่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล]
เริ่นเสี่ยวซู่เซ็งจัด เขาค่อนข้างมั่นใจเลยว่าที่เขาเอาแขนเข้าประตูเงาได้แค่ข้างเดียวนั้นเป็นกฎเกณฑ์จากพระราชวัง
เริ่นเสี่ยวซู่พูดกับเหยียนลิ่วหยวน “ตอนนายออกไปจ่ายตลาดกับพี่เสี่ยวอวี้พรุ่งนี้ ฝากซื้อไก่เป็นๆ ให้สักตัวสิ”
“ได้” เหยียนลิ่วหยวนตอบ “พี่ พลังของพี่ทำอะไรได้น่ะ”
“ใช้อะไรไม่ค่อยได้เท่าไร” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเครียด “ถึงฉันจะเอาเข้าไปได้แค่แขนเดียว แต่ก็น่าจะใช้ลอบฟาดหน้าคนได้แหละ คนไม่รู้ด้วยว่าฝีมือใคร”
ถึงเขาจะใช้พลังนี้ได้ไม่เต็มที่ แต่ก็เหมาะกับนิสัยของเริ่นเสี่ยวซู่มากทีเดียว
…
เช้าวันต่อมา เหยียนลิ่วหยวนก็ออกไปจ่ายตลาดกับเสี่ยวอวี้ พอหวังฟู่กุ้ยยกประตูม้วนขึ้นไปหมด ก็เห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตารออยู่หน้าร้าน
เป็นเหยียนหลินเฟิงจากเขตตะวันตก
เขาเห็นเหยียนหลินเฟิงเดินว่างท่าเข้ามา “ได้ยินมาว่าพวกนายขายยาดี?”
หวังฟู่กุ้ยเห็นโอกาสทางธุรกิจในทันควัน เป็นสัปดาห์แล้วตั้งแต่มีคนมาซื้อยาครั้งล่าสุด ปกติแล้วผลของยาน่าจะเข้าหูคนหมดแล้ว แต่นี่ตั้งนานแล้วกลับไม่มีใครมาเลย
หวังฟู่กุ้ยรู้สึกเสียความมั่นใจอยู่บ้าง แต่มีเหยียนหลินเฟิงมาเยือนถึงที่ หมายความว่าข่าวฤทธิ์ยาแพร่ออกไปแล้ว
กระนั้นหวังฟู่กุ้ยก็ไม่รีบร้อน เขายิ้มพูด “ใช่แล้ว พวกเราขายยาดีสำหรับคุณผู้ชายโดยเฉพาะเลยล่ะ แต่เพราะว่ากระบวนการผลิตนั้นซับซ้อนมาก เลยขายได้แค่สัปดาห์ละชุดเท่านั้น”
“อ้อ?” เหยียนหลิงเฟิงเอ่ย “ชุดหนึ่งราคาเท่าไร”
“สองพันหยวน” หวังฟู่กุ้ยยิ้ม
“ปล้นกันชัดๆ!” เหยียนหลิงเฟิงรู้ราคาก็ตาโต “ทำไมฉันได้ยินมาว่ามันชุดละแค่แปดร้อยหยวนเอง”
“เพราะวัตถุดิบทำยานับวันมีแต่จะหายากขึ้นน่ะสิ ต่อไปปริมาณยาดำที่ทำได้ก็น้อยลงเรื่อยๆ เหมือนกัน” หวังฟู่กุ้ยตีหน้าซื่อตอบ พ่อค้าหัวใสแบบเขาในหัวมีแต่เรื่องเงิน หาข้ออ้างมาขึ้นราคาเป็นเรื่องเล็กน้อย
เริ่นเสี่ยวซู่ที่เดินออกมาจากหลังร้านได้ยิน ก็ได้ยินคำของเหยียนหลินเฟิงที่ใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งว่า “ขอชุดหนึ่ง”
“โทษที แต่ยาของสัปดาห์นี้จะวางขายพรุ่งนี้ ช่วงขายของประจำสัปดาห์กำหนดไว้แล้ว” หวังฟู่กุ้ยเชิดหน้าพูด ไม่หลุดอาการ
เหยียนหลินเฟิงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “รู้หรือเปล่าว่าฉันคือใคร”
เริ่นเสี่ยวซู่ที่รู้จักเขาดีเกินพอรู้สึกตลก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา กลับกันเขาเปลี่ยนเรื่องด้วยการพูดว่า “สัปดาห์ที่แล้วหัวหน้าหน่วยเฉินจากกองดูแลความสงบเรียบร้อยมาสั่งซื้อพวกเรายังต้องปฏิเสธเลย ไม่ใช่ว่าเล่นตัวอะไรหรอก แต่ยาดำยังทำไม่เสร็จต่างหาก”
เหยียนหลินเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม “ฉันต้องการยาด่วน นายเป็นหมอไม่ใช่เหรอ คนเป็นหมอควรพูดแบบนี้เหรอไง ฉันจะให้โอกาสนายพูดอีกรอบ!”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไปพักหนึ่ง หมอควรจะพูดอะไรอย่างนั้นเหรอ เขาคิดไปแล้วก็ตอบว่า “หมอขอโทษ พวกเราพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว”
เหยียนหลินเฟิง “…”
มันใช่สิ่งที่เอ็งควรพูดไหม ข้ายังไม่ตายโว้ย!
ตอนนั้นเองก็มีลูกค้าอีกคนเดินเข้าร้านมา เหยียนหลินเฟิงหันไปมอง ก่อนจะประหลาดใจที่เห็นเป็นหัวหน้าหน่วยหวังจากกองแผนงาน
เขาเห็นลูกน้องอีกสองคนเดินตามหัวหน้าหน่วยหวัง พวกเขาแบกธงมาด้วย
พอเหยียนหลินเฟิงเห็นเขา ก็รีบโค้งตัวยิ้มพูด “หัวหน้าหน่วยหวัง ท่านมาทำอะไรที่นี่เหรอครับ”
“อ้าว เสี่ยวเหยียนเองเหรอ” หัวหน้าหน่วยหวังยิ้มถือตัว “ฉันมาขอบคุณคุณหมอของที่นี่นะ”
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นธงนั่นก็เกิดลางไม่ดีขึ้นมาในบัดดล คงไม่ใช่ของอย่าง ‘มือมหัศจรรย์ ไม้ผลิกลับคืน’ อีกหรอกนะ แต่พอหัวหน้าหน่วยหวังให้ลูกน้องคลี่ธงออก ก็เห็นตัวอักษรห้าคำปักว่า ‘กวนอิมประทานบุตร’
เฮ้ย เดี๋ยวก่อนนะ เขาไปมีเอี่ยวกับกวนอิมประทานบุตรอะไรยังไงตอนไหน!?
เหลียนหลินเฟิงที่อยู่ใกล้ๆ กำลังตะลึงกับภาพที่เห็น ยานั่นมันดีขนาดนั้นเลยเหรอ เหยียนหลินเฟิงที่คิดจะสร้างเรื่องเสียหน่อยพลันไม่กล้าลงมือ ในใจคิดว่าถ้าสร้างปัญหาในร้านตอนนี้ ก็ไม่ต่างกับไปมีปัญหากับหัวหน้าหน่วยหวัง
หัวหน้าหน่วยหวังยิ้มตาหยี “หลายปีก่อนโรงพยาบาลที่สามแห่งป้อมปราการวินิจฉัยว่าฉันมีภาวะการมีบุตรยาก เรื่องที่ไม่สามารถมีลูกนี่เป็นเรื่องฝังใจของฉันมานาน ก่อนหน้านี้มีคนส่งยาดำมาให้ฉันลองดู เมื่อวานฉันตะลึงไปเลยล่ะ หลังจากวันที่ฉันใช้ยา ภรรยาก็มาบอกว่าเธอท้อง!”
หัวหน้าหน่วยหวังพูดจบ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ถามพระราชวัง “ยาดำแก้ภาวะการมีบุตรยากได้ด้วยเหรอ”
และเริ่นเสี่ยวซู่ก็ต้องตาโตที่พระราชวังตอบแบบขวานผ่าซากว่า [ไม่ได้]
ทั้งเริ่นเสี่ยวซู่ทั้งหวังฟู่กุ้ยรู้สึกมึนงงอยู่หน่อยๆ เริ่นเสี่ยวซู่ถามย้ำว่า “ภรรยาคุณตั้งครรภ์แน่นะ”
หัวหน้าหน่วยหวังพูดอย่างยินดีว่า “แน่สิ เมื่อวานพวกเราไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลกันแล้ว ผลตรวจเลือดไม่มีทางผิดหรอก เธอท้องแล้วจริงๆ”
เริ่นเสี่ยวซู่มองหน้าหัวหน้าหน่วยหวังและครุ่นคิด ก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “นี่มันปาฏิหาริย์ชัดๆ”