บทที่ 162 ให้ความสนใจ

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

อวี้ถังรู้ว่าคุณหนูห้าไม่ค่อยถูกกับหิมะ ย่อมจับตาดูนางเป็นพิเศษ เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่มีเวลาได้เล่นคนเดียวเท่าใด เวลาครึ่งเช้าหมดไปกับการเล่นสนุกกับพวกคุณหนูไม่กี่คน ยามที่หยุดพัก เสื้อนางก็ชุ่มเหงื่อไปหมด

สภาพแวดล้อมและอากาศเช่นนี้เป็นหวัดได้ง่าย

อวี้ถังตัดสินใจกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องตัวเองก่อน

นายหญิงรองกลับกำชับนางว่า “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบร้อน กลับไปอาบน้ำ เช็ดผมให้แห้งแล้วค่อยเข้ามาเถิด พวกเราจะรอกินข้าวกลางวันกับพวกเจ้า”

ร่างกายเหนียวเหนอะหนะ หากอาบน้ำได้ย่อมดีที่สุด

อวี้ถังเอ่ยขอตัวกับนายหญิงรอง เมื่อเดินได้ครึ่งทางกลับพบจี้ต้าเหนียง

“คุณหนูอวี้!” จี้ต้าเหนียงเข้ามาคำนับนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “คนดูแลประตูกล่าวว่าสกุลของท่านส่งจดหมายมา เมื่อครู่ข้าจึงออกไปรับจดหมาย กำลังเตรียมส่งไปให้ท่านอยู่พอดี!”

อวี้ถังตกใจไม่น้อย

คงไม่ใช่ว่าในเรือนเกิดเรื่องอะไรหรอกกระมัง?

นางขอบคุณจี้ต้าเหนียง ในใจกลับคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา

มารดาของนางไม่ได้ขาดยา นับวันร่างกายก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ปีก่อนโรคไม่ได้กำเริบ ปีนี้ก็ดูแลเอาใจใส่เหมือนปีก่อน ย่อมไม่อาจเกิดเรื่องอันใด? ทางพี่สะใภ้ ป้าสะใภ้ใหญ่และญาติผู้พี่ก็ประคบประหงมนางดั่งหยกในมือ พากันรุมล้อมดูแลนาง ร่างกายของพี่สะใภ้ก็แข็งแรงดี คงไม่เกิดเรื่องอะไรเช่นกัน…แล้วเหตุใดในเรือนจึงส่งจดหมายให้นางกันแน่?

นางรีบบอกลาจี้ต้าเหนียง สาวเท้าอย่างรวดเร็วกลับที่พักของตัวเอง ร้อนใจอยากจะเปิดจดหมายจนแทบไม่ไหว

แต่เมื่อกวาดสายตามอง นางก็ค่อยโล่งใจขึ้นมา

ที่แท้คุณชายจางวาดภาพสิบภาพส่งเข้ามาแล้ว ญาติผู้พี่ก็ไม่อาจตัดสินใจได้ จึงส่งภาพมาทางนาง ให้นางช่วยออกความเห็น

อวี้ถังมองภาพของคุณชายจางอย่างละเอียด ไม่แปลกใจที่เป็นผู้มีสุนทรียภาพ แม้ว่าภาพรวมจะดูน้อย กลับงดงามเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ ดูเรียบหรูน่าสนใจ

นางเขียนจดหมายตอบกลับญาติผู้พี่ทันที ให้จ่ายเงินตามราคาที่นางพูดคุยไว้ก่อนหน้า ทั้งยังกล่าวว่า “แม้สินค้าที่สั่งซื้อก่อนหน้านี้จะไม่ถูกใจพ่อค้าต่างถิ่น ก็สามารถเก็บเอาไว้ทำอย่างอื่นได้”

ซวงเถาทำตามคำสั่งนาง ขอให้เด็กรับใช้หน้าประตูช่วยส่งจดหมายให้ ด้านอวี้ถังก็อาบน้ำโดยมีหลิ่วซวี่คอยช่วยเหลือ

ไม่นานนักซวงเถาก็กลับมา

รองเท้านั้นปกคลุมไปด้วยหิมะ

ดูท่าแล้วหิมะคงจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ

อวี้ถังเอ่ยว่า “ส่งจดหมายออกไปแล้วรึ?”

ซวงเถาถอดรองเท้า ทั้งเอ่ยด้วยรอยยิ้มไปพลาง “ส่งไปแล้วเจ้าค่ะ ข้ายังให้เงินเด็กรับใช้ผู้นั้นไปยี่สิบเหรียญอีแปะ”

อวี้ถังพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเปิดกล่องไม้เลือกเครื่องประดับที่เหมาะสมมาสวม

ซวงเถาเข้ามาช่วยเหลือ พลางคุยเล่นกับนาง “ยามที่ข้ากลับมา พบกับหญิงรับใช้ข้างกายของนายหญิงเสิ่นพอดี นางก็มาส่งจดหมายเช่นกันเจ้าค่ะ แต่ให้เงินเด็กรับใช้คนนั้นแค่สิบเหรียญอีแปะ เดิมทีข้ายังคิดจะรอกลับเข้ามาพร้อมนาง พอเห็นนางทำเช่นนี้ กลับไม่อยากจะสุงสิงอะไรกับนางแล้ว”

อวี้ถังชะงักมือที่กำลังเลือกเครื่องประดับไปเล็กน้อย “นายหญิงเสิ่นก็ให้คนไปส่งจดหมายเช่นกันรึ? รู้หรือไม่ว่าส่งให้ใคร?”

ซวงเถาช่วยนางเลือกดอกไม้ผ้าเสียบลงไปที่ผม ทั้งเอ่ยไปพลาง “เหมือนว่าจะส่งไปหังโจวเจ้าค่ะ ข้าได้ยินเด็กรับใช้คนนั้นถามหญิงรับใช้ข้างกายของนายหญิงเสิ่น หากส่งผ่านสกุลเผย ก็ทำได้เพียงนำจดหมายไปฝากทางเถ้าแก่ใหญ่ถง จากนั้นเถ้าแก่ใหญ่ถงจะเป็นคนเอาไปส่งยามที่ไปเมืองหังโจว หากส่งจดหมายผ่านทางการ พวกเขาก็จะช่วยนางเอาไปส่งที่ศาลาพักม้า[1]แล้วนำใบหลักฐานมาให้นาง คาดว่านายหญิงเสิ่นคงจะเร่งรีบ จึงให้พวกเขาช่วยนำไปส่งที่ศาลาพักม้าเจ้าค่ะ” พูดจบ นางก็เอ่ยอย่างตำหนิอยู่บ้าง “หิมะตกหนักขนาดนี้ ศาลาพักม้าก็ไกลมิใช่น้อย แต่หญิงรับใช้ของนายหญิงเสิ่นกลับให้เงินเด็กรับใช้คนนั้นเพียงสิบเหรียญอีแปะ…”

อวี้ถังได้ฟังก็เอ่ยอย่างไม่พอใจนัก “แต่ละสกุลล้วนมีสถานการณ์เงื่อนไขที่ต่างกัน ไม่แน่ว่าเงินยี่สิบเหรียญอีแปะที่เรามอบให้เด็กรับใช้พวกนั้น ในสายตาของพวกเขาอาจจะน้อยก็ได้ อีกอย่าง ยามนี้พวกเราอยู่ในสกุลเผย เจ้าต้องระมัดระวังคำพูดให้มาก!”

ซวงเถาตอบรับด้วยใบหน้าแดงก่ำ รอจนนางแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็ไปหาทางท่านแม่เฒ่า

คุณหนูสาม คุณหนูสี่และคุณหนูห้าล้วนถึงกันแล้ว พวกนางก็อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นกัน กำลังนั่งล้อมพูดคุยอยู่ข้างกายท่านแม่เฒ่า

เมื่อเห็นอวี้ถังเข้ามา ทุกคนก็หยัดกายขึ้นทักทายกัน

กู้ซีและคุณหนูรองก็เข้ามาพร้อมกัน

ทั้งสองคนก็อาบน้ำสางผมอีกครั้งเช่นกัน

ทุกคนเริ่มคุยเล่นกันขึ้นมา

ท่านแม่เฒ่าเห็นแล้วก็ออกคำสั่งกับเฉินต้าเหนียงด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อคนมาครบแล้ว ก็ยกอาหารขึ้นโต๊ะเลยเถิด!”

เฉินต้าเหนียงรับคำสั่ง

กู้ซีเดินเข้าไปประคองท่านแม่เฒ่า

ท่านแม่เฒ่าลูบมือนางด้วยรอยยิ้ม ปล่อยให้นางพยุง ด้านพวกอวี้ถังก็เดินเบียดเสียดกันไปห้องโถง

บางทีอาจเป็นเพราะว่าอากาศเย็น อาหารวันนี้จึงเพิ่มน้ำแกงเนื้อแพะเข้ามา

ไม่เพียงเนื้อแพะนั้นจะอร่อยผิดหูผิดตา น้ำแกงยังรสชาติกลมกล่อมอย่างยิ่ง

อวี้ถังดื่มไปสองชามติด ร่างกายอบอุ่นสบายขึ้นมา ยามนี้จึงค่อยวางตะเกียบลง

ด้านคุณหนูสี่ก็เสนอความคิดให้ทุกคนไปศาลาเหมันต์

ท่านแม่เฒ่าหัวเราะอย่างยินดีปรีดา กำชับจี้ต้าเหนียง “ไปบอกกล่าวนายหญิงรอง ยามบ่ายให้นางทำตัวว่างเสีย ไปเป็นเพื่อนพวกนางก็เพียงพอแล้ว”

จี้ต้าเหนียงรับคำสั่งทั้งรอยยิ้ม

ทุกคนต่างก็ดีอกดีใจ แย่งกันพูดเชิญท่านแม่เฒ่าให้ไปด้วยกัน

ท่านแม่เฒ่ายิ้มอย่างอ่อนโยน “แข้งขาข้าไม่มีเรี่ยวมีแรงแล้ว ทนการทรมานจากพวกเจ้าไม่ไหวหรอก พวกเจ้าก็ปล่อยข้าไปเสียเถิด ให้ข้าได้พักผ่อนอยู่ในเรือนดีๆ”

พวกลูกหลานต่างก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง

ท่านแม่เฒ่าเห็นก็อดไม่ได้ เอ่ยว่า “เอาเถิด ทุกคนกลับไปนอนกลางวันสักงีบ อย่างไรยามบ่ายข้าจะเข้าไปหาพวกเจ้าก็แล้วกัน”

ทุกคนต่างดีใจขึ้นมาอีกครั้ง กลัวว่าจะรบกวนเวลานอนกลางวันของท่านแม่เฒ่า พากันทยอยบอกลา

ท่านแม่เฒ่าให้เฉินต้าเหนียงส่งพวกนางออกจากประตู

อวี้ถังและกู้ซีต่างก็พักอยู่ด้านหลังห้องหลักของท่านแม่เฒ่าซึ่งต้องเดินผ่านตรอกแคบเส้นหนึ่งออกไป แต่พวกคุณหนูของสกุลเผยต่างก็พักอยู่ทางตะวันออกของห้องหลักท่านแม่เฒ่า คนสองกลุ่มออกจากห้องหลักท่านแม่เฒ่าไป อวี้ถังและกู้ซีอยู่ทางเดียวกัน ส่วนพวกคุณหนูสกุลเผยก็อยู่อีกทาง ทว่ายามที่ออกจากห้องหลักของท่านแม่เฒ่า คุณหนูรองกลับเอ่ยเชื้อเชิญกู้ซี “พี่สาว ไปนั่งเล่นที่เรือนของข้าดีหรือไม่?”

กู้ซีเผยสีหน้ารู้สึกผิด เอ่ยว่า “ข้ายังต้องกลับไปดูนายหญิงเสิ่น ไม่อย่างนั้น คุณหนูรองไปนั่งเล่นที่ห้องข้า ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินสาวใช้ของจวนเจ้ากล่าวว่า หลังเขามีป่าเหมยกว้างใหญ่ละลานตา ข้ายังขบคิดว่ารอยามที่หิมะตก จะไปเก็บดอกเหมยมาทำเครื่องหอมเสียหน่อย คาดไม่ถึงว่าเมื่อเย็นวานก็หิมะตกแล้ว ข้ายังวางแผนจะชวนพวกน้องๆ และคุณหนูอวี้ไปชมดอกเหมยด้วยกัน!”

พวกคุณหนูสกุลเผยได้ยินพลันตาเป็นประกาย คุณหนูสี่เอ่ยด้วยความสนใจอย่างยิ่ง “พี่กู้ ข้าอยากไปด้วย เจ้าไปเก็บดอกเหมยยามใด อย่าลืมเรียกข้าเชียว”

คุณหนูห้าก็ตะโกนเสียงดังตาม “ข้าก็อยากไปด้วย!”

กู้ซีแย้มยิ้ม เอ่ยว่า “ยังไม่รู้ว่าดอกเหมยในจวนเก็บได้หรือไม่? หากเก็บได้ ถึงเวลานั้นก็จะพาพวกเจ้าไปด้วยกันทั้งหมด”

ยากที่คุณหนูสามก็สนใจเช่นกัน นางเอ่ยว่า “น่าจะเก็บได้ อีกเดี๋ยวพวกเราถามอาสะใภ้รองก็เพียงพอแล้ว”

คุณหนูสี่พยักหน้าระรัว ส่วนคุณหนูห้าก็ขันอาสาจะเป็นฝ่ายถามมารดา

ทุกคนพากันหัวเราะก่อนจะจบเรื่องไป ยามนี้จึงค่อยแยกย้ายกันออกไป

อวี้ถังเห็นคุณหนูรองและกู้ซีเดินเคียงไหล่คุยกันไป รู้ว่ากู้ซีกำลังคิดจะเอาชนะใจคนสกุลเผย ให้คนสกุลเผยเกิดความรู้สึกดีกับนาง นางไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว จึงจงใจรั้งฝีเท้าให้ช้าลง ค่อยๆ ทิ้งระยะห่างจากเบื้องหลังของพวกนาง

ใครจะรู้ว่าเพิ่งออกจากตรอกแคบ กลับพบเข้ากับเด็กรับใช้ที่เพิ่งจะไว้ผมยาวคนหนึ่ง เมื่อพบอวี้ถังก็คำนับแก่นาง ยังเอ่ยถามว่า “ท่านคือคุณหนูอวี้ใช่หรือไม่ขอรับ?”

อวี้ถังขานรับว่า “ใช่” อย่างแปลกใจ

เด็กรับใช้คนนั้นจึงหัวเราะ เอ่ยว่า “นายท่านสามขึ้นเขามาขอรับ ทราบว่าคุณหนูอวี้ต้องการส่งจดหมาย จึงให้คนดูแลประตูนำจดหมายไปให้พ่อบ้านหู ให้เขาเอาไปส่งที่เรือนท่านด้วยตัวเอง พ่อบ้านหูกลัวว่าท่านจะกังวล จึงตั้งใจให้ข้ามาบอกกล่าวกับท่านขอรับ”

อวี้ถังทั้งตกใจทั้งดีใจขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด “นายท่านสามเข้ามารึ?”

“ขอรับ” เด็กรับใช้ผู้นั้นตอบ “เพิ่งจะขึ้นเขามา พักอยู่ที่สวนซีหยวนทางตะวักตก สักพักก็คงจะเข้ามาน้อมทักทายท่านแม่เฒ่าขอรับ”

ตามกฎของสกุลเผย เขาไม่ควรเปิดเผยแผนการเดินทางของนายท่านสาม แต่นายท่านสามเพิ่งขึ้นเขามา นอกจากจะให้พ่อบ้านหูช่วยส่งจดหมายให้อวี้ถังแล้ว พ่อบ้านหูยังให้เขาตั้งใจเข้ามาบอกกล่าวกับคุณหนูอวี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็พาให้เขารู้สึกว่าอวี้ถังเป็นแขกผู้มีเกียรติของสกุลเผย เขาคิดว่าตัวเองก็ควรเอาอย่างพ่อบ้านหู ประจบประแจงอยู่เบื้องหน้าคุณหนูอวี้เสียหน่อย

อวี้ถังให้เงินรางวัลเขาเล็กน้อย ยามนี้จึงค่อยเดินไปกับซวงเถาต่อ ผลปรากฏว่ายามที่นางเงยหน้าขึ้น ก็พบกับกู้ซีและคุณหนูรองยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้า มองนางอย่างตาไม่กะพริบ

นางยกมือลูบหน้าตัวเองอย่างมึนงง เอ่ยอย่างแปลกใจ “เป็นอะไรรึ? มีเรื่องอันใดหรือไม่?”

คุณหนูรองขมวดคิ้วเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง กลับถูกกู้ซีขัดขวางไว้ก่อน

“ไม่มีอันใด!” กู้ซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แค่เดินไปเดินมา พลันพบว่าไม่เห็นเจ้าเสียแล้ว พวกเราจึงรอเจ้าอยู่ที่นี่”

คุณหนูรองฟังจบก็ร้องว่า ‘พี่กู้’ อย่างแปลกใจ

กู้ซีกลับดึงคุณหนูรองไว้ เอ่ยกับอวี้ถังด้วยรอยยิ้ม “อีกเดี๋ยวเจ้าวางแผนจะออกไปยามใด? ถึงเวลานั้นให้พวกเราเรียกเจ้าดีหรือไม่? พวกเราจะได้ไปศาลาเหมันต์ด้วยกัน” นางเอ่ยเบี่ยงประเด็นอื่นแทน

อวี้ถังนั้นเข้าใจกู้ซีอย่างยิ่ง

คิดมาก ทั้งกังวลมาก เอื้อนเอ่ยวาจายังต้องอ้อมค้อมวกไปวนมา ให้คนที่ฟังคิดแล้วคิดอีกจึงจะสามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงของนางได้

ชาติก่อนพวกนางเป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้ จึงพบหน้ากันอย่างไม่อาจหลบเลี่ยงอยู่บ่อยครั้ง ยามนี้ทั้งสองคนต่างก็มีทางเป็นของตัวเอง นางคร้านที่จะคาดเดาจุดประสงค์ของกู้ซี ขอเพียงแค่กู้ซีไม่ถามเจาะจงมาทางนาง นางก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ให้กู้ซีได้ขบคิดว้าวุ่นไปเอง

นึกมาถึงตรงนี้ ในสมองอวี้ถังพลันปรากฏภาพกู้ซีเดินเป็นหนูติดจั่นในห้องอย่างกระวนกระวายใจ มุมปากนางก็กระตุกยกยิ้มขึ้นมา

“ได้สิ!” นางมองไปทางกู้ซี “ถึงเวลานั้นข้าจะรอพวกเจ้ามาเรียกข้า พวกเราก็ไปศาลาเหมันต์ด้วยกัน”

“เช่นนั้นก็ตกลงกันตามนี้!” ขณะที่กู้ซีกล่าว ก็ดึงคุณหนูรองให้เดินไปด้วยกัน

อวี้ถังยิ้มระรื่น ก่อนจะพาซวงเถากลับห้องไป

คุณหนูรองกลับไม่ได้หนักแน่นเหมือนกู้ซี

เมื่อร่างของอวี้ถังหายไปจากครรลองสายตาของพวกนาง คุณหนูรองก็เอ่ยกับกู้ซีอย่างทนไม่ไหว “เหตุใดพี่กู้ไม่ให้ข้าถามนาง? ไฉนนางจึงได้รับการเอาใจใส่จากพ่อบ้านหู? แม้ว่าอวี้ซิ่วไฉจะมีความสัมพันธ์อันดีกับพ่อบ้านหู แต่ยามนี้นางพักอยู่เรือนใน มีเรื่องอะไรต้องให้พ่อบ้านหูช่วยออกหน้ากัน? ตกลงนางคิดจะทำอะไรกันแน่?”

เด็กรับใช้คนนั้นพูดอะไร พวกนางฟังได้ไม่ชัดเจนนัก ยามนี้ยิ่งไม่เข้าใจขึ้นไปอีก

กู้ซีหลับตา นึกถึงสกุลของอวี้ถัง เอ่ยเสียแผ่วเบา “ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดคุณหนูอวี้จึงได้รับความโปรดปรานจากท่านแม่เฒ่า? ตามหลักแล้ว สกุลอวี้และสกุลเจ้าก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน เหตุใดนางจึงสามารถเดินไปมาอยู่เบื้องหน้าท่านแม่เฒ่าได้อย่างง่ายดาย?”

คุณหนูรองชะงักไปเล็กน้อย ครุ่นคิดอย่างละเอียด กลับยิ่งรู้สึกว่าคำพูดของกู้ซีมีเหตุผล

นางเอ่ยอย่างลังเล “คล้ายจะได้ยินว่านางทำดอกไม้ผ้าได้อย่างยอดเยี่ยม…แต่แม้ฝีมือนางจะดีเพียงใด จะสู้หญิงที่ชำนาญเรื่องเย็บปักถักร้อยในเรือนได้เชียวรึ?” พูดมาถึงตรงนี้ นางก็ตกตะลึง “พี่กู้ ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าก็คงคิดไม่ออก อวี้ คุณหนูอวี้ดูเหมือนจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาเสียอย่างนั้น!”

————————–

[1]ศาลาพักม้า เป็นที่พักม้าทั้งยังเป็นสถานที่ส่งสารในสมัยโบราณ