บทที่ 163 ชมดอกเหมย

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

กู้ซีเผยรอยยิ้มบาง ไม่ได้กล่าวขัดอันใด…สิ่งที่นางควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ที่เหลือก็เป็นตาของคนอื่น

คุณหนูรองผู้นี้ ภายนอกดูเย่อหยิ่งจองหองอย่างยิ่ง ความจริงก็เป็นเพียงคุณหนูที่ถูกคนในเรือนตามใจจนเสียคนเท่านั้น อารมณ์ความรู้สึกล้วนแสดงบนสีหน้า มองแค่แวบเดียวก็เข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว ยังมิสู้คุณหนูสี่ผู้นั้นที่ดูฉลาดหลักแหลม

แต่ว่าคุณหนูสกุลเผยล้วนใสซื่อบริสุทธิ์เช่นนี้ กลับทำให้นางคาดไม่ถึงอยู่บ้าง

บางทีอาจเป็นสาเหตุที่ว่า หลินอันเป็นเพียงเมืองเล็กๆ กระมัง?

กู้ซีและคุณหนูรองเดินไปที่พักของนางอย่างเอื่อยเฉื่อย

คุณหนูรองกลับขบริมฝีปาก ขมวดคิ้วแน่น

ไม่ได้ นางควรหาวิธีทำให้กระจ่างใจว่าเหตุใดคุณหนูอวี้จึงเข้าออกจวนสกุลเผยได้

ในเมืองหลินอันมีคนที่อยากประจบประแจงสกุลเผยมากมาย นางไม่ชอบให้คนแอบอ้างชื่อสกุลเผยเพื่อใช้เป็นแผ่นรองเหยียบ หาผลประโยชน์ให้ตัวเอง

เพียงแต่กู้ซีเป็นแขก ทั้งเพิ่งจะรู้จักกัน นางจึงไม่อาจพูดอะไรมากต่อหน้ากู้ซีได้ ยามที่กู้ซีกำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง นางก็อดไม่ไหว ออกคำสั่งกับหญิงรับใช้ที่ดูแลนางตั้งแต่เล็กให้ไปสืบเรื่องของอวี้ถัง

หญิงรับใช้ผู้นั้นอดขมวดคิ้วไม่ได้ “คุณหนูรอง นั่นเป็นเรื่องของบ้านหลักนะเจ้าคะ หากท่านไม่ชอบคนผู้นี้ ก็เอ่ยรับหน้าเป็นมารยาทไม่กี่คำก็เพียงพอแล้ว เหตุใดยังต้องไปแปดเปื้อนน้ำสกปรกนี้? อีกอย่างไม่นานท่านก็ต้องออกเรือนแล้ว เมื่อไปสกุลสามี ยังต้องพึ่งพาสกุลมารดา หากในสกุลมารดามีเรื่องเสียหายอะไรเผยแพร่ออกไป ท่านก็ย่อมไม่มีหน้าตาในสกุลสามี ข้าว่า เรื่องเช่นนี้ท่านอย่ายุ่งดีกว่าเจ้าค่ะ!”

คุณหนูรองยังคงไม่ยอมปล่อย “ข้าไม่อยากให้ใครใช้สกุลเผยของพวกเราเป็นเครื่องมือ! ข้าเพียงอยากรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องราว ท่านย่าก็เคยสั่งสอนพวกเรา อย่าได้เป็นสตรีที่ปากมากแต่ก็ไม่อาจโง่เขลาเบาปัญญาได้เช่นเดียวกัน คุณหนูอวี้ผู้นั้นไม่ธรรมดา สามารถประจบประแจงท่านย่าได้แทบทุกทาง นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนปกติคนใดก็สามารถทำได้”

หญิงรับใช้คนนั้นก็อับจนหนทาง จึงรับปากไป แต่ยังคงกำชับนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่ว่าข้าจะสืบเจออะไร ท่านก็จะต้องกดไว้ในใจเท่านั้นนะเจ้าคะ”

คุณหนูรองโบกมืออย่างหงุดหงิดใจ ยามนี้หญิงรับใช้ผู้นั้นจึงถอนตัวออกไป

ด้านกู้ซีจัดแจงเสื้อผ้าอยู่เบื้องหน้าโต๊ะกระจก ทั้งสั่งให้เหอเซียงไปจับตาดูคนของคุณหนูรองไปพลาง เอ่ยกับนางเสียงเบา “อย่างไรก็ไม่ใช่สกุลพวกเรา เจ้าก็ทำเรื่องระมัดระวังหน่อย”

ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหอเซียงทำเรื่องเช่นนี้ นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไร อย่าพูดถึงทางคุณหนูรองเลย แต่ด้านคุณหนูสี่ ข้าก็ส่งคนไปจับตาดูเช่นกัน ไม่อาจให้คนสกุลเผยจับผิดอะไรได้แน่เจ้าค่ะ”

กู้ซีผงกศีรษะอย่างพอใจ เอ่ยถามนาง “เงินยังพอใช้หรือไม่?”

ครั้งนี้นางพาคนรับใช้ติดตามมาเพียงสองสามคนเท่านั้น หากอยากรู้ว่าโดยรอบเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ก็ทำได้เพียงหยิบยืมแรง ซื้อตัวข้ารับใช้ของจวนสกุลเผย แต่หลายวันมานี้หลังจากพวกนางเข้าพักในสกุลเผยก็พบว่า เพราะท่านแม่เฒ่าอยู่เป็นม่ายคนเดียว บ้านหลักก็ยังเสียตำแหน่งประมุขไป แม้ดูคล้ายไม่มีคนคอยควบคุมสตรีในเรือน แต่ความเป็นจริงสกุลเผยกลับไม่มีความวุ่นวายแม้แต่น้อย เดิมทีพวกนางก็ไม่กล้าเป็นฝ่ายเข้าหาหญิงรับใช้หรือสาวใช้ที่มีหน้ามีตาในสกุลเผยพวกนั้น ทำได้เพียงซื้อตัวหญิงรับใช้และสาวใช้ที่ไร้ตำแหน่งบางคน จากนั้นก็คาดเดาจากการสังเกตว่าคนผู้นี้ควรทำหน้าที่อะไร

เหอเซียงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พอเจ้าค่ะ พวกเรายังเหลือกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง!”

กู้ซีปวดเนื้อปวดตัวขึ้นมาพักหนึ่ง

ยามที่พี่ชายนางออกจากหังโจวก็ทิ้งตั๋วเงินไว้ให้นางหนึ่งพันตำลึง ครั้งนี้มาหลินอัน นางขบคิดว่าจำเป็นต้องใช้เงิน จึงให้คนไปแลกเงินมาสามร้อยตำลึง นี่เพิ่งจะไม่กี่วัน ก็เสียเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงแล้ว ยังไม่ทันได้ถึงมือเจ้านายเสียด้วยซ้ำ

แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้พวกนางขาดคนในมือกัน!

กู้ซีถามอีกครั้ง “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดนายหญิงใหญ่จึงขอให้นายหญิงเสิ่นช่วยส่งจดหมายให้นาง?”

เหอเซียงออกประตูไปมองซ้ายแลขวา เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างยุ่งวุ่นวาย จึงค่อยกระซิบข้างหูกู้ซี “กล่าวว่ามีเรื่องอยากขอร้องพี่สะใภ้สกุลมารดา กลัวว่าท่านแม่เฒ่าจะไม่พอใจ จึงขอให้นายหญิงเสิ่นช่วยส่งจดหมายเจ้าค่ะ”

กู้ซีเลิกคิ้วขึ้น

หรือจะเล่าเรื่องไม่ดีของแม่สามี?

ไม่สิ หากจะพูดเรื่องไม่ดี ก็คงพูดเรื่องเผยเยี่ยนที่เป็นน้องชายสามีมากกว่า

แต่สรุปแล้ว เผยเยี่ยนเป็นฝ่ายแย่งชิงตำแหน่งผู้นำสกุลหรือท่านผู้เฒ่าที่ล่วงลับไปลำเอียงกันแน่? เรื่องนี้ต้องสืบให้กระจ่างชัดเสียหน่อย

นางไม่อยากแต่งให้คนที่ถูกผู้อื่นซุบซิบนินทา กระทั่งตำแหน่งยังไม่มั่นคง!

กู้ซีเอ่ยกับเหอเซียง “เจ้านำของว่างมาเสียหน่อย ข้าจะไปทักทายนายหญิงเสิ่น แล้วค่อยไปพูดคุยเป็นเพื่อนคุณหนูรอง”

ไม่รู้ว่าเหตุใดพี่ชายนางจึงนึกถึงนายหญิงเสิ่นได้ นายหญิงเสิ่นผู้นี้ ก็เป็นคนแปลก ไม่หลงใหลในเงินทอง ทั้งไม่ชอบการคบค้าสมาคม พอใจแต่ชื่อเสียงลาภยศ ขอเพียงแค่บอกเป็นนัยว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของนาง นางก็พร้อมลงมาพัวพันทันที พาให้คนที่เห็นรู้สึกสมเพชและขบขันไม่น้อย

เพียงแค่ไม่รู้ว่านายหญิงใหญ่ใช้วิธีอันใดสั่นคลอนนายหญิงเสิ่นกัน?

เสิ่นซ่านเหยียนก็น่าสงสาร แต่งภรรยาเช่นนี้ ยังดีที่เขาไม่ได้ดิ้นรนต่อสู้ในเส้นทางขุนนาง ไม่อย่างนั้น นายหญิงเสิ่นผู้นี้จะก่อเรื่องราวอะไรออกมาหรือไม่ ก็พูดยากเช่นกัน!

เหอเซียงรับคำสั่งก่อนออกไป

กู้ซีมองหญิงสาวในกระจกที่แต่งชุดธรรมดา แต่เพราะสวมเครื่องประดับที่วิจิตรประณีตจึงเผยความสง่างามเรียบหรูออกมา ก่อนจะเผยรอยยิ้ม

คนในกระจกก็ยิ้มตามเช่นกัน

ยามนี้นางจึงค่อยออกจากห้องอย่างพอใจ

อาจเพื่อให้สะดวกต่อการชมดอกเหมย ศาลาเหมันต์ของสกุลเผยจึงสร้างอยู่ท่ามกลางป่าเหมยหลังภูเขา

นั่งอยู่ในศาลาที่มีตี้หลงให้ความอบอุ่น ดื่มชาขาวรสอ่อนให้ร่างกายสดชื่น ชมดอกเหมยแดงที่เบ่งบานละลานตา สูดกลิ่นหอมแผ่วบางของมันไปพลาง กระทั่งเทพเซียนก็ไม่เคยได้ใช้ชีวิตดีเช่นนี้

คุณหนูสามเอ่ยออกมาเป็นคนแรก “ย่างเนื้อที่นี่ ก็คงทำลายบรรยากาศเกินไป กลิ่นหอมของดอกเหมยย่อมกลายเป็นกลิ่นน้ำมันหมู วันนี้แทนที่จะย่างเนื้อ มิสู้ชมดอกเหมยดีกว่า? ดีที่คุณหนูกู้และคุณหนูอวี้ต่างก็อยู่ที่นี่ พวกเรายังสามารถเล่นท้าพนันกันไม่ก็แต่งกลอน ท่านพ่อกล่าวว่า ปีนี้หลังจากเทศกาลโคมไฟก็ต้องเริ่มเข้าเรียน ข้ายังมีกลอนหกสามบทที่ยังไม่ได้ทำเลย!”

นางบ่นพร่ำ อวี้ถังลอบตกใจ “ในจวนสอนหนังสือสตรีด้วยรึ?”

คุณหนูสามพยักหน้า “พวกเราต่างก็เรียนหนังสือด้วยกัน”

ด้านกู้ซีเหลือบมองท่านแม่เฒ่าที่นั่งยิ้มอยู่ด้านบนอย่างรวดเร็ว เอ่ยออกไปทันที “ข้าได้ทั้งนั้น! แม้จะกินเก่ง แต่เรื่องตำราก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน”

คุณหนูสี่หัวเราะชอบใจ

คุณหนูห้ามองมารดาและท่านแม่เฒ่าอย่างลังเล เอ่ยพึมพำ “ไม่ ไม่ใช่ว่ายังเหลืออีกเดือนกว่าจึงจะข้ามปีหรอกรึ? ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นกระมังเจ้าคะ!” พูดจบ ก็มองอวี้ถังอย่างขอความช่วยเหลือ

อวี้ถังรู้ดีว่า แต่งกวีวาดภาพต่อสัมผัสกาพย์กลอนล้วนเป็นสิ่งที่กู้ซีถนัด จะเล่นท้าพนันหรือแต่งกลอน กู้ซีย่อมโดดเด่นทั้งนั้น แต่นางก็ไม่อยากทำลายบรรยากาศที่งดงามนี้ด้วยการย่างเนื้อเช่นกัน

นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่อย่างนั้นพวกเรามายกมือลงความเห็นกันเถิด!”

คุณหนูสามยกมือทันที “ข้าเห็นด้วยกับการชมดอกเหมย!”

คุณหนูสี่สองจิตสองใจ ผ่านไปพักใหญ่ก็ไม่ยกมือ

ด้านคุณหนูห้ามองไปยังคุณหนูสี่

กู้ซีป้องปากขำอยู่ด้านข้าง คล้ายว่าอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น

อวี้ถังลอบถอนหายใจ ยกมือขึ้น “ข้าเห็นด้วยกับการแต่งกลอน”

กาพย์กลอนชั้นยอดย่อมไม่มีในใจ แต่หากเป็นโคลงตลกขบขันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับนาง

ความคิดแล่นอย่างว่องไว นางถึงกระทั่งมีความคิดชั่วร้ายว่า ไม่อย่างนั้นก็นำผลงานโคลงว่าด้วยความงามของดอกเหมยที่กู้ซีในชาติก่อนภูมิใจนักหนามาโกง ย่อมทำให้กู้ซีตกตะลึงพรึงเพริดทั้งยังอาจรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ คงต้องสนุกอย่างแน่นอน

แต่นางก็ทำได้เพียงคิดเท่านั้น

เรื่องอื่นอาจสามารถนำมาสร้างความลำบากให้กู้ซีได้ แต่ความสามารถเรื่องวาดภาพกาพย์กลอน นางย่อมไม่ถึงกับคัดลอกผลงานคนอื่นมาเป็นของตัวเองได้หรอก

ทว่านางเพิ่งจะพูดจบ คุณหนูห้าก็มองนางอย่างโมโหเสียแล้ว คล้ายว่านางไปทำเรื่องเลวร้ายอันใดมาก็มิปาน

อวี้ถังงงงวย

อวี้ถังพยายามอดกลั้นจึงไม่ได้หัวเราะออกมา

พวกคุณหนูต่างก็น่าขบขันเช่นนี้ ไม่ว่าจะพบเรื่องดีหรือร้าย ก็เผยท่าทีอย่างตรงไปตรงมา น่ารักอย่างยิ่ง

แต่นางยังคงรู้สึกว่าหากย่างเนื้อที่นี่ก็เหมือนเผาพิณต้มกระเรียน[1] มิสู้เปลี่ยนเป็นที่อื่นดีกว่า

คุณหนูสี่กลับกระโดดออกมาในเวลานี้ ยกมือขึ้นเอ่ยว่า “ข้าอยากย่างเนื้อ!” พูดจบ ก็เหลือบมองกู้ซีแวบหนึ่ง

กู้ซีบีบรัดในใจ

รู้สึกว่าอาจจะเสียแผน

หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ นางก็คงทำเหมือนคนหนูอวี้แล้ว ออกความเห็นให้เร็วหน่อย

ยามนี้ นางควรแสดงว่าเห็นด้วยหรือคัดค้านดีล่ะ?

กู้ซีปวดหัวไม่น้อย

คุณหนูห้ากลับไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องพวกนี้ นางดีใจอย่างยิ่ง เอ่ยตามเช่นกัน “ข้าก็อยากย่างเนื้อ!” คล้อยหลังก็มองคุณหนูรองตาปริบๆ

สองต่อสองแล้ว ท่าทีของคุณหนูรองและคุณหนูกู้ย่อมสำคัญ แต่นางคิดว่าคุณหนูกู้คงจะตามเสียงส่วนใหญ่เป็นแน่ เช่นนั้นท่าทีของคุณหนูรองย่อมสำคัญยิ่งกว่า

คุณหนูรองแค่นเสียงหัวเราะ เอ่ยว่า “ข้าเห็นด้วยกับการชมดอกเหมย! หากจะย่างเนื้อ เปลี่ยนสถานที่น่าจะดีกว่า”

กู้ซีถอนหายใจ ทำได้เพียงเอ่ยว่า “ข้าก็เห็นด้วยกับการชมดอกเหมย!”

คุณหนูห้ายู่ปาก ดึงมือคุณหนูสี่

คุณหนูสี่หัวเราะขึ้นมา เผยท่าทีราวกับไม่ยอมแพ้ “ที่นี่ยังมีท่านย่า นายหญิงเสิ่นและอาสะใภ้รอง พวกเรายังไม่นับว่าแพ้!”

นายหญิงเสิ่นมองคุณหนูสี่แวบหนึ่งอย่างไม่ชอบใจอยู่บ้าง ไม่ปริปากอันใด ท่าทีราวกับไม่อยากเทียบความรู้ตัวเองให้เท่าพวกนาง

นางหญิงรองเห็นก็ไม่พอใจเท่าใด เดินแย้มยิ้มเข้าไปลูบศีรษะลูกสาว เอ่ยอย่างอ่อนโยน “ข้าออกเสียงให้พี่สามของเจ้า”

ยามนี้นับว่าเสียความได้เปรียบไปแล้ว

คุณหนูห้าย่ำเท้าอย่างแง่งอนร้องว่า “ท่านแม่”

นายหญิงรองและท่านแม่เฒ่าต่างก็หัวเราะขึ้นมา

ท้ายที่สุดทุกคนจึงตัดสินใจชมดอกเหมยในยามบ่าย ย่างเนื้อในยามเย็นแทน

คุณหนูห้ายังหงุดหงิดอยู่บ้าง คุณหนูสี่จึงดึงนางไปปัดหิมะออกจากกลีบดอกเหมย ทั้งยังกระซิบข้างหูด้วยเสียงที่ทุกคนได้ยิน “ท่านแม่ข้ากล่าวว่า สามารถเก็บไว้ในโถนำไปฝังดิน ฤดูร้อนก็นำออกมาต้มชา”

“แต่นั่นต้องเก็บตอนเช้ากระมัง!” คุณหนูห้าสับสนงงงวยอยู่บ้าง

“ไอหยา!” คุณหนูสี่ไม่คิดเช่นนั้น “ยามเช้าหรือยามบ่ายคงไม่มีความแตกต่างมากมายกระมัง? อย่างไรข้าก็ไม่อยากแต่งกลอน”

คุณหนูห้าหัวเราะร่า “พวกเราไปเก็บดอกเหมยได้! นำกลับไปเสียบแจกันไหว้พระให้ท่านย่า ทั่วห้องก็จะเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมย”

คุณหนูสี่เอ่ยว่า “ใส่แจกันไหว้พระควรต้องใส่ตอนเช้ากระมัง?”

คุณหนูห้าชะงักไป

ทุกคนต่างหัวเราะเสียงดังขึ้นมา

ท่านแม่เฒ่ากวักมือเรียกทั้งสองคน “เจ้าลิงสองตัวนี้ มาแต่งกลอนสองบทให้ข้าฟังที่นี่ดีกว่า นอกจากจะเหมาะกับบรรยากาศแล้ว ยังได้แสดงความสามารถให้ข้าเห็นด้วย ไม่ใช่ว่ามีแต่ได้กับได้หรอกรึ?”

ทั้งสองคนตอบรับอย่างเศร้าสร้อย พาให้ทุกคนหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง

พวกจี้ต้าเหนียงนำพู่กันหมึกกระดาษแท่นฝนหมึกที่เตรียมไว้เข้ามา หลังจากจัดวางสี่สิ่งล้ำค่าของห้องหนังสือแล้วก็รายงานกับท่านแม่เฒ่า “มีเด็กรับใช้ในเรือนคุณหนูอวี้ส่งจดหมายเข้ามาเจ้าค่ะ”

ทุกคนต่างพากันประหลาดใจ

ท่านแม่เฒ่าเอ่ยกับอวี้ถังอย่างมีเมตตา “รีบไปดูเถิดว่าเกิดเรื่องอะไร ข้าจะได้สบายใจด้วย”

อวี้ถังก็สงสัยเช่นกัน คุกเข่าคำนับ ก่อนจะตามจี้ต้าเหนียงออกจากศาลาเหมันต์ไป

กู้ซีกลับทำมือบอกเป็นนัยให้เหอเซียงอย่างเงียบเชียบ

ไม่นานนัก เหอเซียงก็หายไปไม่เห็นเงาเช่นกัน

———————-

[1]เผาพิณต้มกระเรียน หมายถึงการทำลายสิ่งมีค่าให้เสียของ