บทที่ 164 ตื่นตะลึง

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ผู้ที่มาส่งจดหมายให้อวี้ถังคืออาเสา

เมื่อเห็นอวี้ถัง เขาก็รีบสาวเท้าเข้ามาคำนับให้นาง “คุณหนู คุณชายให้ข้ามาส่งจดหมาย เขากล่าวว่า ได้รับจดหมายของท่านแล้ว ย่อมจะทำตามประสงค์ของท่าน ยังพูดอีกว่า ทุกอย่างในเรือนเรียบร้อยดี ท่านไม่ต้องกังวล การค้าขายนั้นก็พูดคุยสำเร็จแล้ว รอท่านกลับไป ค่อยเฉลิมฉลองด้วยกันขอรับ” พูดจบ ก็ควักจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

อวี้ถังพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เปิดจดหมายออก ก่อนจะอ่านจดหมายทันที

นอกจากคำพูดพวกนั้นของอาเสา ในจดหมายอวี้หย่วนยังชื่นชมภาพวาดสิบภาพนั้นของคุณชายจาง กล่าวว่าพ่อค้าต่างถิ่นพอใจอย่างยิ่ง ยังเสนอซื้อภาพทุกภาพ ภาพละสิบตำลึง อวี้หย่วนเขียนจดหมายให้นางแฝงความนัยอยู่สองอย่าง ประการแรกอยากทำการค้าขายนี้…ในสกุลพ่อค้าต่างถิ่นนั้นทำเกี่ยวกับสินค้าเย็บปัก มาซื้อหีบสัมภาระจากสกุลพวกเขาเพื่อให้สินค้าในร้านพวกเขามีของครบครัน ทำให้กิจการเย็บปักค้าขายดียิ่งขึ้น ดังนั้นนอกจากกิจการของสองสกุลจะไม่มีจุดที่ขัดแย้งกันแล้ว ยังสามารถพัฒนาช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ ประการที่สองคืออยากปรึกษากับนางว่า หากขายภาพให้สกุลพ่อค้านั้น จะต้องให้เงินสกุลจางหรือไม่? ต้องให้เงินคุณชายจางเท่าใดถึงจะเหมาะสม?

เพราะพ่อค้าต่างถิ่นผู้นั้นอีกไม่กี่วันก็จะออกจากหลินอันกลับบ้านเกิด หีบสัมภาระที่ทำเสร็จแล้ว สกุลพวกเขาเป็นผู้รับผิดชอบจัดส่ง เรื่องนี้ต้องตัดสินใจก่อนพ่อค้าต่างถิ่นจะออกจากหลินอัน ยามนี้เขาเพิ่งได้รับจดหมายจากอวี้ถังก็ส่งอาเสามาตอบกลับจดหมายทันที

อวี้ถังลูบจดหมายครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตอบกลับจดหมายอวี้หย่วน

ขายภาพนั้นทำได้ เงินที่ได้จากการขายภาพสามารถแบ่งคนละครึ่งกับสกุลจาง แต่ต้องให้พ่อค้าต่างถิ่นคนนั้นเขียนสัญญาภาพวาดสิบภาพนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของสกุลอวี้ พ่อค้าต่างถิ่นเอาไป ก็จำกัดใช้เพียงร้านค้าสกุลพวกเขาเท่านั้น ไม่อาจนำไปขายต่อได้ หากจะขายต่อจริงๆ ต้องร่างหนังสือรายงานกับสกุลอวี้ ทั้งได้รับความยินยอมจากสกุลอวี้ เพื่อจ่ายเงินกันใหม่อีกครั้ง

ยามนี้ก็เย็นมากแล้ว กลับเมืองหลินอันอย่างน้อยที่สุดต้องใช้เวลาครึ่งชั่วยาม อาเสารับจดหมายมาก็หยัดกายบอกลา กลับสกุลอวี้ทันที

ด้านเผยเยี่ยนทราบว่านอกจากอวี้ถังจะพักอยู่ที่เรือนนอกชั่วคราวแล้ว ยังมีนายหญิงเสิ่นและกู้ซีพักอยู่ที่นี่ด้วย มีคนนอกอยู่ เขาไม่อาจไปน้อมทักทายท่านแม่เฒ่าโดยตรงได้ จึงกลับไปเรือนที่ตัวเองพักอาศัย หลังจากอาบน้ำผลัดผ้า ก็ส่งคนไปถามท่านแม่เฒ่าว่าสะดวกจะพบเขายามใด

แต่ส่งคนออกไปยังไม่ทันได้รับข้อความตอบกลับ เขาก็ได้ยินเสียก่อนว่ามีคนจากสกุลอวี้มาส่งจดหมายให้อวี้ถัง

เขาอดแปลกใจไม่ได้

จดหมายของอวี้ถังเพิ่งจะส่งกลับไป คนในเรือนก็ส่งจดหมายกลับมาหานางทันที กระทั่งหนึ่งวันยังรอไม่ได้ คงไม่ใช่ว่าในเรือนเกิดเรื่องอะไรขึ้นกระมัง?

เผยเยี่ยนนึกถึงอาการป่วยของนายหญิงอวี้ ทั้งนึกถึงที่นาสามสิบหมู่ที่สกุลอวี้ซื้อจากสกุลหลี่…

เขาเรียกหูซิ่งที่อยู่ปรนนิบัติรับใช้ท่านแม่เฒ่าที่นี่เข้ามา “ทางคุณหนูอวี้เกิดเรื่องอันใด?”

หลายวันมานี้ หูซิ่งอยู่ช่วยท่านแม่เฒ่าจัดการเรื่องราวที่เรือนนอกอย่างสุดความสามารถ พวกคุณหนูและแขกเหรื่อกินอาหารชนิดใดมาก ชนิดใดน้อย เขาล้วนทราบทั้งนั้น กลับไม่ได้ยินว่าทางคุณหนูอวี้เกิดเรื่องอะไรแม้แต่น้อย!

เขานิ่งงันไปทันที

เดิมทีเผยเยี่ยนก็ไม่พอใจในความสามารถเขาเท่าใด ภายหลังเห็นว่าเขาประจบประแจงท่านแม่เฒ่า รวมกับทางท่านแม่เฒ่าก็ต้องการคนที่มือเท้าไวใช้งาน เผยเยี่ยนจึงหลับตาข้างหนึ่งทำเป็นมองไม่เห็น ให้เขาได้ครองตำแหน่งพ่อบ้านต่อไป ยามนี้เห็นเขาเป็นเช่นนี้ เผยเยี่ยนยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่ ความไม่พอใจนี้ถึงกระทั่งปรากฏอยู่บนหน้าของเขาอย่างตรงไปตรงมา

เขาเอ่ยอย่างดุดัน “ว่าอย่างไร? เจ้าไม่รู้อย่างนั้นรึ?”

ไม่กี่วันนี้นายท่านสามจัดการบ่าวชายที่ปรนนิบัติรับใช้ครอบครัวของนายท่านใหญ่ พวกที่รับใช้เกินห้าปีล้วนถูกตีจนตาย ผู้หญิงและเด็กๆ ก็ขายออกไปหมด คนทั้งจวนพากันอกสั่นขวัญแขวน ลอบซุบซิบนินทานายท่านสามว่า นอกจากไม่มีเมตตาเปี่ยมคุณธรรมเหมือนท่านผู้เฒ่า ยังไม่อ่อนโยนใจกว้างเหมือนท่านแม่เฒ่า แทบไม่เหมือนคนสกุลเผยโดยสิ้นเชิง ยังมีบางคนอิจฉาหูซิ่งที่ได้รับความโชคดีภายใต้ความโชคร้าย ล่วงหน้าไปรับใช้ทางท่านแม่เฒ่าเสียก่อน

หูซิ่งได้ฟังก็อดลอบดีใจไม่ได้ แต่ก็ยังคงหวาดกลัวไม่น้อยเช่นกัน ยามนี้ถูกเผยเยี่ยนถามเช่นนี้ จึงสั่นงันงก สองขาอ่อนยวบ แทบจะคุกเข่าลงไป ผ่านไปพักใหญ่จึงค่อยเปล่งเสียงออกมาได้ เอ่ยอย่างประจบประแจง “คุณหนูอวี้และพวกคุณหนูล้วนเที่ยวเล่นอย่างสุขสบาย ตื่นเช้าเข้านอนเร็ว บางครั้งยังเดินเที่ยวเล่นตามทะเลสาบหมิงซาน เมื่อครู่เพิ่งจะไปชมดอกเหมยทางป่าเหมยกับพวกคุณหนู…” เขาแทบที่จะร้องไห้ออกมารอมร่อ “ไม่ ไม่เห็นว่านางมีความผิดปกติตรงไหนจริงๆ ขอรับ!” คล้อยหลัง สัญชาตญาณก็สั่งให้เขาใจกล้าขึ้นมา เอ่ยว่า “อีกอย่าง คุณหนูอวี้เป็นสตรีในห้องหับ แม้ว่าข้าอยากจะรู้อะไร คุณหนูอวี้ย่อมไม่อาจบอกกับข้าหรอกขอรับ!”

โทสะของเผยเยี่ยนเบาบางลง

หูซิ่งลอบเช็ดเหงื่อเย็น มีความรู้สึกราวกับเพิ่งกระโดดหนีจากความตาย

แต่ต่อจากนั้นไม่นาน เขาก็เริ่มทบทวนกับตัวเองว่า เหตุใดเขาจึงพูดว่าตัวเองไม่อาจเข้าใกล้คุณหนูอวี้ออกมา ทั้งครุ่นคิดว่าเหตุใดเผยเยี่ยนจึงคลายโทสะเพราะคำพูดนั้นของเขา…

ชั่วขณะหนึ่ง เขาก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองไปรู้เรื่องสำคัญอะไรเข้า

แววตาที่หูซิ่งมองเผยเยี่ยนแปลกไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง

เผยเยี่ยนไม่เห็นหูซิ่งอยู่ในสายตา ย่อมไม่ให้ความสำคัญกับท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยของเขา

เขาครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “พวกคุณหนูอวี้ยังอยู่ที่ป่าเหมยอย่างนั้นรึ?”

หูซิ่งละล่ำละลักตอบ “ขอรับ ยังแต่งกลอนกันด้วย”

ยังนับว่าตอบได้หลายคำถาม พอมีประโยชน์อยู่บ้าง!

เผยเยี่ยนมองหูซิ่งด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าไปส่งจดหมายให้คุณหนูอวี้อย่างเงียบๆ ให้นางรอข้าที่ข้างป่าเหมยสักครู่ ข้ามีเรื่องจะคุยกับนาง”

คงไม่ใช่เรื่องไม่เหมาะสมกระมัง?

ไฉนต้องให้เขาเป็นคนไปส่งจดหมาย?

หูซิ่งรู้สึกขมขื่นอยู่ในใจ กลับไม่กล้าปรากฏทางสีหน้าแม้แต่น้อย ไม่เพียงค้อมศีรษะรับคำสั่งอย่างนอบน้อม ยังทำท่าทีประหนึ่งดีอกดีใจที่ทำคุณไถ่โทษ เอ่ยเสียงดัง “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ!”

เผยเยี่ยนแค่นรับเสียงเย็น

อวี้ถังได้รับจดหมายก็ไม่คิดมาก กระซิบบอกท่านแม่เฒ่าไม่กี่คำ ก่อนจะหาข้ออ้างออกจากศาลาเหมันต์

คุณหนูห้าเพิ่งแต่งกลอนหกบทหนึ่งเสร็จ เห็นเช่นนั้นก็อดเอ่ยไม่ได้ “พี่อวี้ เจ้าจะไปไหนรึ?”

ทุกคนแต่งกลอนด้วยกัน กู้ซีแต่งเสร็จเป็นคนแรก คุณหนูสามมาเป็นอันดับสอง อวี้ถังอันดับสาม คุณหนูรองและคุณหนูห้าตามมาติดๆ ส่วนคุณหนูสี่ยังก้มศีรษะเขียนกลอนอยู่ตรงนั้น

ทุกคนเตรียมนำกลอนที่เขียนเสร็จแล้วไปให้ท่านแม่เฒ่า นายหญิงเสิ่นและนายหญิงรองช่วยตัดสิน

ท่านแม่เฒ่าก็ไม่คิดอะไรมาก

ในเมื่ออวี้ถังรู้เรื่องความผิดปกติที่สกุลหลี่ขายที่นา เผยเยี่ยนก็ย่อมทราบเช่นกัน

นางคาดเดาว่าเผยเยี่ยนคงจะมาหาอวี้ถังเพราะเรื่องนี้

แต่เรื่องนี้ไม่อาจให้พวกเด็กๆ ทราบได้ ท่านแม่เฒ่าจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ใครไม่มีธุระของตัวเองบ้างเล่า เจ้าเด็กคนนี้ ยามที่ควรแสร้งโง่ก็ควรทำเป็นไม่รู้ ยามที่ควรถามก็ควรพูดออกไปตามตรง เจ้ายังต้องฝึกฝนอีกมากถึงจะปล่อยให้ออกจากเรือนได้” พูดจบ ยังมองนายหญิงรองไปแวบหนึ่ง

นายหญิงรองหัวเราะร่า เอ่ยรับ “ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะอบรมสั่งสอนนางอย่างดี”

ท่านแม่เฒ่าขานรับว่า ‘อืม’ เรื่องนี้จึงจบไปเช่นนี้

ด้านกู้ซีกลับคิดวกไปวนมา

เด็กรับใช้ของสกุลอวี้มาหาอวี้ถัง เห็นได้ชัดว่ามีเรื่อง อวี้ถังกลับมาก็บอกเพียงว่าคนในเรือนมาถามเรื่องเกี่ยวกับร้านค้า กระทั่งท่านแม่เฒ่าอยากรู้ยังหยุดรออยู่ด้านนอก ยามนี้มาเดินเฉิดฉายออกไปกลางคันเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็พาให้นางคิดว่าเรื่องนี้ย่อมไม่ธรรมดา

แต่เหอเซียงคิดซับซ้อนกว่ากู้ซีอยู่บ้าง

นางหาโอกาสไปกระซิบข้างหูกู้ซี “คุณหนู นายท่านสามขึ้นเขามาเจ้าค่ะ”

กู้ซีเลิกคิ้วขึ้น

เหอเซียงรู้ว่านางอยากฟังละเอียดกว่านี้ จึงเอ่ยอย่างรวดเร็ว “ข้าเพิ่งทราบตอนที่ไปสืบเรื่องของคุณหนูอวี้เมื่อครู่ นายท่านสามยังไม่ได้มาน้อมทักทายท่านแม่เฒ่า ได้ยินว่าหลังจากกินข้าวเย็นจะเข้ามาเจ้าค่ะ”

เช่นนั้นอวี้ถังจะไปทำอะไรกัน?

กู้ซีรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่เลือนราง

คุณหนูรองยังไม่ได้สืบว่าเหตุใดจู่ๆ อวี้ถังก็ปรากฏตัวขึ้นมา

นางส่งสายตาเป็นนัยให้เหอเซียง

เหอเซียงเข้าใจ ออกไปจากศาลาเหมันต์อย่างเงียบเชียบทันที

ไม่นาน กลอนของคุณหนูสี่ก็เสร็จสมบูรณ์

คุณหนูรองเอ่ยเย้าแหย่คุณหนูสี่ “พวกเราทั้งหมดล้วนรอเจ้าอยู่คนเดียว!”

คุณหนูสี่ยู่ปากอย่างไม่พอใจ “ข้ากล่าวว่าอยากย่างเนื้อ เป็นพวกเจ้าที่อยากจะแต่งกลอน ข้าไม่มีเวลาเตรียมตัวเสียด้วยซ้ำ”

“เจ้าจะเตรียมตัวอย่างไร?” ยากที่คุณหนูสามจะหยอกล้อคุณหนูสี่ “จะเอากวีของไป๋และหลี่มาอย่างนั้นรึ?”

ไป๋หมายถึงไป๋จวีอี้[1] หลี่คือหลี่ไป๋[2]

คุณหนูสี่เอ่ยโต้แย้งอย่างร้อนตัว “หรือไม่ได้เล่า?”

ทุกคนต่างหัวเราะกันขึ้นมา

ท่านแม่เฒ่าเอ่ย “เช่นนั้นก็ดูกลอนของคุณหนูสี่เป็นคนแรก”

คุณหนูสี่ให้สาวใช้ข้างกายนำบทกลอนที่นางแต่งไปให้ท่านผู้เฒ่าอย่างกระมิดกระเมี้ยน

กู้ซีกลับเอ่ยว่า “พวกเราไม่ต้องรอคุณหนูอวี้หรือเจ้าคะ?”

ท่านแม่เฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยามนี้ก็เย็นมากแล้ว อีกเดี๋ยวพวกเรายังต้องกินเนื้อย่างไม่ใช่รึ? ไม่ต้องรอนางแล้ว”

กู้ซีเม้มริมฝีปากแย้มยิ้ม เข้าไปชมบทกลอนของคุณหนูสี่ ในใจกลับพะว้าพะวังว่าเหอเซียงจะกลับมายามใด

แต่ไม่ถึงเวลาหนึ่งก้านธูป[3] เหอเซียงก็ปรากฏตัวที่ศาลาเหมันต์อย่างเงียบเชียบ

ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้เหอเซียงหาโอกาส กู้ซีก็กล่าวตามตรงว่านางอยากไปทำธุระเบา ก่อนจะพาเหอเซียงเดินเข้ามาในป่าเหมยที่ไร้ผู้คน

เหอเซียงเผยสีหน้าจริงจังอยู่บ้าง

นางเอ่ยว่า “คุณหนู คุณหนูอวี้ผู้นั้นมีเรื่องที่ไหนกันเจ้าคะ นางไปพบนายท่านสามต่างหาก!”

กู้ซีตกตะลึง ในใจกลับรู้สึกผ่อนคลายที่เรื่องเริ่มกระจ่างขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด

นางเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “ตกลงเป็นเรื่องอะไรกันแน่?”

“ประเด็นหลักคือเรื่องอะไร ข้าก็ไม่ชัดเจนเช่นกันเจ้าค่ะ” เหอเซียงเอ่ยเสียงเบา “ข้าออกมาจากศาลาเหมันต์ก็เดินไปตามทางที่คุณหนูอวี้เดินผ่านไปอย่างช้าๆ ผลปรากฏว่าทางสายนั้นมุ่งไปยังศาลาที่อยู่ข้างทะเลสาบหมิงซาน ที่ศาลานอกจากคุณหนูอวี้ยังมีชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีขาว ข้าอยากเข้าไปดูใกล้ๆ ปรากฏว่าบริเวณรอบๆ ศาลากลับมีผู้คุ้มกันเจ็ดแปดคนลอบยืนซุ่มอยู่ ข้าตกใจเสียยกใหญ่ กล่าวไปว่าข้าเป็นสาวใช้คนสนิทของท่าน ท่านให้ข้ากลับเรือนไปเอาของ แต่กลับหลงทาง ข้าจึงค่อยปลีกตัวออกมาได้ ภายหลังข้าพบกับพ่อบ้านหู จึงเอ่ยหยั่งเชิงไม่กี่ประโยค จึงได้ทราบว่าชายหนุ่มผู้นั้นก็คือนายท่านสามของสกุลเผยเจ้าค่ะ”

กู้ซีเงียบไปพักใหญ่ เอ่ยว่า “นายท่านสามหน้าตาเป็นอย่างไร?”

เหอเซียงใบหน้าแดงระเรื่อ เอ่ยอ้อมแอ้ม “หน้าตาหล่อเหลา บุคลิกสง่างาม…ในผู้คนที่ข้าเคยเห็นมา คนที่พอจะเทียบเขาได้ก็มีเพียงคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ”

กู้ฉ่างเป็นชายหนุ่มรูปงามที่เลื่องชื่อของเมืองหังโจว

ใบหน้าของกู้ซีก็ร้อนฉ่าขึ้นมาเช่นกัน

แต่เมื่อนึกถึงอวี้ถัง นางก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

เผยเยี่ยนจะทำอะไร?

เขาลอบพบเจอกับคุณหนูอวี้ ท่านผู้เฒ่าไม่รู้รึ? หรือว่ารู้แต่กลับช่วยทั้งสองคนปิดบัง?

เช่นนั้นคุณหนูอวี้ใช้ฐานะอันใดไปปรากฏต่อหน้าเผยเยี่ยน?

จะว่าไปแล้ว นางและพี่ชายยังคงพลาดไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าเมืองหลินอันยังมีหญิงสาวอย่างเช่นคุณหนูอวี้

นางควรปล่อยคุณหนูอวี้ไปเลยตามเลย? หรือควรหาวิธีทำให้คุณหนูอวี้หายไปจากจวนสกุลเผย?

กู้ซีไม่อาจตัดสินใจในช่วงเวลาสั้นๆ ได้อยู่บ้าง

นางเอ่ยกับเหอเซียง “เจ้าดูสิว่ามีวิธีสืบหาความสัมพันธ์ระหว่างคุณหนูอวี้และนายท่านสามบ้างหรือไม่ โดยเฉพาะท่านผู้เฒ่าทราบหรือไม่ทราบเรื่องนี้…”

หากท่านผู้เฒ่าทราบ เช่นนั้นสกุลเผยมีความคิดจะทำอย่างไร?

นี่เป็นสิ่งที่ควรใส่ใจและให้ความสำคัญที่สุด

กู้ซีถอนหายใจยาวเหยียด

————————

[1]ไป๋จวีอี้ คือนักกวีในสมัยราชวงศ์ถัง

[2]หลี่ไป๋ คือกวีที่มีชื่อเสียงสมัยราชวงศ์ถัง

[3]เวลาหนึ่งก้านธูป เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง