บทที่ 134 ฟื้นคืนชีพ[รีไรท์]

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 134 ฟื้นคืนชีพ[รีไรท์]

สีหน้าของฮวาชิงหวู่ไม่หวาดกลัวเหมือนคนอื่น ๆ ดวงตาคู่งามของเธอพลันเบิกกว้าง สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด ความหวัง ความประหลาดใจ และที่มากสุดคือความเหลือเชื่อ

เส้นไหมสีขาวเส้นนี้เป็นของฉู่ชวิ๋น…แต่มันเป็นไปไม่ได้ เธอไม่กล้าหายใจต่อด้วยซ้ำเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้นี้ เพราะกลัวว่าสิ่งที่กำลังพบเจออยู่นี้เป็นแค่เพียงความฝัน

ในเวลาเดียวกันนี้ ทุกสายตาต่างจ้องมองไปยังทิศทางเดียวกัน มันเป็นทิศทางที่มีเงาสีขาวเงาหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในพริบตาเดียว เงาร่างสีขาวนั้นก็มาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าทุกคน

เสื้อผ้าสีขาวของเขาสวยงามยิ่งกว่าหิมะ ชายเสื้อโบกสะบัดตามแรงลม เมื่อได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้สวมใส่ชุดขาวคนนี้ ทุกคนก็ถึงกับตะลึงกันไปเลยทีเดียว

เฉินฮั่นหลงขยี้ตาตัวเองปากอ้าตาค้างเหมือนกำลังเจอผี

โม่ซิงเหอ ซุนหยิงและคนอื่นๆ ต่างก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว พวกเขาได้แต่จ้องมองจนดวงตาแทบหลุดออกมาจากเบ้า

ฮวาชิงหวู่หลับตาแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ เขายังคงยืนอยู่ตรงนั้น นี่ไม่ใช่ความฝัน น้ำตาของเธอไหลออกมาแล้ว

การที่ชายหนุ่มซึ่งเสียชีวิตไปกว่า 3 เดือน กลับมาปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง ถือเป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับได้จริงๆ

“วิญญาณของนายท่านกลับมาช่วยพวกเราแล้ว” เฉินฮั่นหลงพูดออกมาด้วยความตื้นตันใจ

ที่เขาพูดแบบนี้เป็นเพราะว่าฉู่ชวิ๋นดูเหมือนคนที่เพิ่งกลับมาจากโลกอื่น เพราะเขาใส่ชุดจอมยุทธ์โบราณกลับมานั่นเอง

ฉู่ชวิ๋นไม่รู้จะทำอะไรดี นอกจากกลอกตามองบน

“คุณกลับมาแล้ว!” ฮวาชิงหวู่พูดเสียงอ่อย หัวเราะออกมาทั้งน้ำตา

ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อยและขอโทษ

“ตกลงว่านายท่านเป็นคนหรือเป็นผีครับเนี่ย?” เฉินฮั่นหลงสังเกตเห็นว่าด้านหลังฉู่ชวิ๋นก็ยังมีเงาเหมือนคนปกติ จึงถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ เพราะคนโบราณว่าเอาไว้ วิญญาณจะไม่มีเงานี่นา

ฉู่ชวิ๋นหันกลับมาจ้องมองเขาทันทีและพูดว่า “ฉันเป็นผี ฉันจะมาพานายไปอยู่ด้วย”

“จริงหรือครับ? เยี่ยมไปเลย พวกเรากำลังรอนายท่านอยู่พอดี” เฉินฮั่นหลงพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

จังหวะนี้ ฉู่ชวิ๋นได้แต่ส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ เขาไม่พูดอะไรออกมาอีกอึดใจใหญ่ ก่อนที่พวกของเฉินฮั่นหลงจะเดินเข้ามาห้อมล้อมกายเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ

ดวงตาพยัคฆ์ของโม่ซิงเหอรื้นไปด้วยน้ำตา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นขณะที่พูดออกมาเสียงดังว่า “นายท่านกลับมาแล้ว!”

ซุนหยิงและคนอื่นๆ ก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน ฉู่ชวิ๋นยังคงมีชีวิตอยู่ นายท่านกลับมาเพื่อช่วยพวกเขา

“แกคือฉู่ชวิ๋นงั้นหรือ?”

ใบหน้าของราชาปีศาจเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น แต่น้ำเสียงกลับเจือด้วยความไม่มั่นใจ ก็ฉู่ชวิ๋นตายไปแล้วไม่ใช่หรือ? แล้วจะมีชีวิตอยู่รอดมาได้อย่างไร?

“โบราณว่าเอาไว้ทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป ฉันอุตส่าห์ไม่ตามล่าแก แต่แกกลับพยายามจะมาฆ่าครอบครัวของฉัน เห็นทีวันนี้ฉันคงต้องส่งแกลงนรกซะแล้ว” สีหน้าของฉู่ชวิ๋นก็เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นไม่ผิดกัน แต่คำพูดของเขาเชือดเฉือนเหมือนใบมีดโกน กัดกินแทงลึกเข้าไปจนถึงจิตใจ

ราชาปีศาจรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาแล้ว ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความชั่วร้ายและความน่าหวาดกลัว ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมว่า “แกฆ่าพ่อฉัน แกฆ่าลูกศิษย์ของฉัน ทำลายสำนักของฉัน แล้วจะไม่ให้ฉันโกรธแค้นแกได้ยังไง ฉันมาที่นี่ก็เพื่อนตั้งใจสังหารคนรอบตัวแกให้หมด ไม่คิดเลยว่าแกยังมีชีวิตอยู่แบบนี้ วันนี้ แกกับฉันจะต้องตายกันไปข้าง”

ถึงแม้ว่าสีหน้าของฉู่ชวิ๋นจะไม่บังเกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันขึ้นมาแล้ว

“นี่คือฉู่ชวิ๋นจริงหรือ? ไหนว่าเขาตายไปแล้วไงล่ะ”

“ได้ข่าวว่าเขาคนเดียวล้างบางสำนักราชาปีศาจจนเกลี้ยง ว่ากันว่าคนๆนี้มีฝีมืออำมหิตยิ่งนัก ตอนที่สู้กับราชาปีศาจคนก่อนได้ตายลงไปพร้อมกันทั้งคู่ แต่ทำไมเขาถึงฟื้นขึ้นมาได้ล่ะเนี่ย?”

“หรือว่ามันจะแกล้งตาย เพื่อล่อให้เรามาที่นี่?”

“เราต้องคิดดูให้ดีซะแล้ว จะทำยังไงดีล่ะถ้าเขาแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม? แต่เขาจะกล้าลงมือทำอะไรหรือเปล่า เรามีคนมากกว่าขนาดนี้ ฉู่ชวิ๋นจะสามารถจัดการคนในจำนวนมากในเวลาเดียวกันได้ยังไง?”

กลุ่มจอมยุทธ์ส่งเสียงปรึกษาหารือกันอื้ออึง แต่ไม่มีใครคิดที่จะหลบหนี เนื่องจากมั่นใจว่าฉู่ชวิ๋นเพียงตัวคนเดียว ไม่มีทางกล้าเล่นงานพวกเขาทั้งหมดในเวลาเดียวกันแน่ๆ

“ฉู่ชวิ๋น แกตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” เฉียงไท่จากสำนักกระบี่ทองคำเดินออกไปข้างหน้า ถามด้วยน้ำเสียงห้วนสั้น คนเราก็เป็นแบบนี้ เมื่อรู้ตัวว่าฝ่ายตนเองมีจำนวนคนมากกว่า ก็มักจะเกิดความฮึกเหิมจนไม่เห็นหัวอีกฝ่ายหนึ่ง แม้จะรู้ว่าฉู่ชวิ๋นเป็นคนอำมหิต แต่มีอิทธิพลมาอยู่ที่นี่ตั้งมากมาย ทำไมเขาจะต้องกลัวฉู่ชวิ๋นที่ตัวคนเดียว

ฉู่ชวิ๋นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงยกมือขึ้นและกดลง

เปรี้ยง!

เกิดเป็นลมปราณรูปฝ่ามือขนาดใหญ่ กระแทกลงไปบนพื้นดินจนเกิดรอยแตกแยก เศษฝุ่นฟุ้งกระจายในอากาศ ลำตัวครึ่งหนึ่งของเฉียงไท่จมหายลงไปใต้พื้นดิน กระดูกของเขาแตกหักละเอียด เสียชีวิตไปในทันที!

เงียบ…

ไม่มีใครกล้าส่งเสียงอะไรออกมาอีกแล้ว

“ฉู่ชวิ๋น แกกล้าฆ่าคนจากสำนักกระบี่ทองคำงั้นเหรอ?” ขั้นปรมาจารย์จากสำนักกระบี่ทองคำทำลายความเงียบขึ้นด้วยความโกรธแค้น

ฉู่ชวิ๋นหมุนกายเข้าหาอีกฝ่ายด้วยความพลิ้วไหว หมัดของเขาถูกปล่อยออกไปเพื่อโจมตี

“กำแหงนัก!” ขั้นปรมาจารย์ระดับ 3 ของสำนักกระบี่ทองคำส่งเสียงคำรามลั่นและพุ่งเข้าไปหาฉู่ชวิ๋นในเวลาเดียวกัน

สีหน้าของฉู่ชวิ๋นสงบราบเรียบ หมัดของเขาปล่อยออกไป เกิดเป็นคลื่นอากาศขนาดใหญ่พุ่งตรงเข้าหาฝ่ายตรงข้าม

ผลั่ก!

เลือดสาดกระจายในอากาศ ขั้นปรมาจารย์ระดับ 3 ของสำนักกระบี่ทองคำส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ฉู่ชวิ๋นต่อยเข้าไปที่แขนของอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อได้เห็นฝีมือการต่อสู้ของชายหนุ่มคนนี้ ขั้นปรมาจารย์ก็ได้แต่อ้าปากร้องโหยหวน หวาดกลัวเกินกว่าที่จะคิดต่อสู้ ฉู่ชวิ๋นต่อยหมัดเข้ามารัวเร็วจนชายชราไม่อาจต้านทานได้อีกแล้ว

ตู้ม!

เกิดเสียงการระเบิดขึ้นแล้วร่างของขั้นปรมาจารย์ก็ขาดครึ่งท่อนกลายเป็นเพียงม่านหมอกเลือดและเศษกองเนื้อสาดกระจายในอากาศ

พรึ่บ!

เสียงร้องโหยหวนของขั้นปรมาจารย์ขาดหายไปแล้ว ผมบนศีรษะของทุกคนชี้ชันด้วยความหวาดกลัว  สองขาอ่อนล้าหมดแรงยืน กลิ่นเลือดในอากาศของเก่ายังไม่ทันจะจางหาย กลิ่นเลือดใหม่ที่แรงกว่าเก่าก็ฟุ้งกระจายในขณะนี้

กลุ่มจอมยุทธ์ที่ยืนอยู่โดยรอบ ถึงกับปากสั่นฟันกระทบกันดังกึก ๆ ด้วยความหวาดกลัว

การได้เห็นฉู่ชวิ๋นผู้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากความตายสังหารขั้นปรมาจารย์ของสำนักกระบี่ทองคำด้วยความอำมหิตเช่นนี้ เป็นยิ่งกว่าฝันร้ายเสียอีก

สีหน้าของฉู่ชวิ๋นเต็มไปด้วยความเย็นชา มือข้างหนึ่งของเขายังคงชูขึ้นสูงในอากาศ

มวลอากาศพลันบิดตัวส่งแรงสั่นสะเทือน นิ้วมือขนาดยักษ์ที่มีความยาวมากกว่า 10 เมตรปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันมีอานุภาพร้ายแรงจนสามารถสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน และนิ้วมือยักษ์นี้ก็กำลังพุ่งตรงเข้าไปหากลุ่มคนจากสำนักกระบี่ทองคำด้วยความรวดเร็ว

พรึ่บ!

สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกับเกิดระเบิดนิวเคลียร์ถูกทิ้งลงมากลางภูเขาเฉียนหลง เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง พื้นดินทรุดตัวและแยกออกจากกัน ฝุ่นบนพื้นคลุ้งตลบในอากาศจนทุกคนมองอะไรไม่เห็นอีกแล้ว

ผ่านไปครึ่งค่อนวัน เมื่อฝุ่นจางหายไป ทุกคนจึงเริ่มกลับมามองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง

แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ในขณะนี้ ก็คือสมาชิกของสำนักกระบี่ทองคำได้เปลี่ยนสภาพกลายเป็นเพียงเศษกองเนื้อน่าขยะแขยง ส่งกลิ่นคาวเลือดชวนอาเจียนลอยขึ้นมาจากบนพื้น

สำนักกระบี่ทองคำถูกทำลายล้างในแบบชนิดที่ว่า ไม่เหลือศพของสมาชิกเลยสักคนเดียว

ตุบ!

ถึงกับมีคนทรุดลงไปด้วยความสยองขวัญกับสิ่งที่เห็นแล้ว

เพล้ง!

สองพี่น้องตระกูลไป๋ที่จับตัวเจิ้งก่วงอี้และหยานหลาน ในตอนนี้กำลังหวาดกลัวถึงขีดสุด มือและเท้าของพวกเขาไม่มีแรง มีดในมือจึงร่วงหล่นลงกระทบพื้นทีละคน

ไม่ว่าจะเป็นคนจากสำนักความหวังใหม่ คนจากหุบเขาราชาพิษ หรือว่าคนจากสำนักอื่น ๆ ต่างก็เริ่มหาทางล่าถอยด้วยความตื่นกลัว ไม่มีใครรู้ว่าฉู่ชวิ๋นจะลงมือโจมตีสำนักไหนอีกบ้าง? ชายหนุ่มโจมตีเพียงเล็กน้อย แต่เต็มไปด้วยความอำมหิตเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนต่างก็หันมองหน้ากันด้วยความหวาดกลัว ชายคนนี้ไม่พูดอะไรสักคำ เพียงแค่ตรงเข้ามาสังหารคนโดยไม่พูดไม่จา ไม่มีอะไรน่ากลัวมากไปกว่านี้อีกแล้ว

ฉู่ชวิ๋นหันหน้ากลับมามองที่สองพี่น้องตระกูลไป๋ ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย

ชายหนุ่มทั้งสองคนหวาดกลัวจนไร้เรี่ยวแรง พวกเขาร้องขอความเมตตา แต่ทันใดนั้นก็ต้องร้องออกมาด้วยความกลัว ในหน้าอกของพวกเขารู้สึกร้อนผ่าวเหมือนหัวใจกำลังถูกไฟเผาอยู่ทั้งเป็น!

สำหรับผู้ที่ทำสัญญาขายวิญญาณให้กับฉู่ชวิ๋น การทรยศเขามีผลลัพธ์เพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น คือความตาย!

“นายท่านครับ ได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย…” สองพี่น้องส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดขณะที่กลิ้งไปบนพื้นอย่างทุรนทุราย ความเจ็บปวดที่พวกเขาเจอไม่ได้มีแค่ระดับร่างกาย แต่มันเจ็บลึกลงไปจนถึงระดับจิตวิญญาณ

“มีควันลอยขึ้นมาจากตัวของพวกเขาได้ยังไง!” ใครบางคนพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ

แต่ในไม่ช้า ความประหลาดใจก็เปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวที่ไม่มีที่สิ้นสุด

ร่างกายของสองพี่น้องตระกูลไป๋ปรากฏเปลวไฟลามเลียออกมาอย่างน่ามหัศจรรย์ อุณหภูมิความร้อนขึ้นสูงจนได้ยินเสียงเปลวไฟปะทุดังเปรี๊ยะปร๊ะ และเพียงแค่พริบตาเดียว ร่างของสองพี่น้องใจโฉดก็หายวับไปกับตาโดยไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูกด้วยซ้ำ

ทุกคนหวาดกลัวถึงขีดสุดแล้ว นี่มันไฟอะไรกัน? ร้ายกาจเกินไปแล้ว แม้แต่ผงกระดูกก็ไม่เหลือ

ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นชวนอาเจียน หลายคนหวาดกลัวจนขับถ่ายออกมา

ในขณะนี้ แม้แต่บรรดาขั้นปรมาจารย์จากสำนักต่าง ๆ ก็มีแววตาหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีใครกล้าออกมาต่อกรกับชายหนุ่มผู้อำมหิตคนนี้เลย ไม่ว่าจะอยู่สำนักอะไร เพียงแค่ฉู่ชวิ๋นตวัดมือทีเดียว สำนักแห่งนั้นก็จะหายไปจากโลกนี้ตลอดกาล

ฉู่ชวิ๋นมองไปยังกลุ่มคนของสำนักความหวังใหม่และพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “พวกแกมาจากสำนักอะไรกัน?”

หยางเฟ่ยในยามนี้หวาดกลัวจนลนลาน ฟันของเขาสั่นกระทบกันด้วยความหวาดกลัวจนฟันแทบหักแล้ว เขาไม่ได้มีท่าทีจองหองอย่างก่อนหน้านี้อีก เมื่อได้ยินคำถามของฉู่ชวิ๋น หยางเฟ่ยก็ไม่กล้าพูดคำใดออกไปอีกแล้ว

มีเพียงขั้นปรมาจารย์ที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา ประสานมือคารวะและพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพ “พวกเรามาจากสำนักความหวังใหม่ครับ”

สำนักความหวังใหม่? ฉู่ชวิ๋นตกตะลึงเล็กน้อย เขารู้สึกคุ้นหูชื่อสำนักนี้ชอบกลและแล้วชายหนุ่มก็จำได้ ฉู่ชวิ๋นมีสีหน้าค่อนข้างประหลาดใจตอนที่พูดออกมา “สำนักนี้เคยมีผู้อาวุโสชื่อเป่ยชงใช่ไหม?”

ขั้นปรมาจารย์ระดับ 3 ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนที่จะตอบรับอย่างดีใจว่า “นายท่านรู้จักเป่ยชงหรือครับ?”

ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อย

กลุ่มคนจากสำนักความหวังใหม่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ไม่คิดเลยว่าฉู่ชวิ๋นที่แสนร้ายกาจคนนี้จะเป็นเพื่อนเก่ากับเป่ยชง นับว่าโชคเข้าข้างพวกเขาแล้ว วันนี้ทุกคนคงรอดชีวิตเป็นแน่แท้

หยางเฟ่ยพลันเหยียดหลังตรง สองขากลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง ฟันของเขาก็ไม่ได้สั่นกระทบกันดังกึก ๆ อีกแล้ว และเขาไม่ลืมที่จะหันหน้าไปมองเกาเล่ยผู้เป็นศัตรูเก่า และใช้สายตาบอกเป็นนัยว่า พวกฉันคือสำนักความหวังใหม่ ผู้มีพี่น้องอยู่ทุกดินแดน

ในดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของเกาเล่ย ปรากฏความเดือดดาลขึ้นมาไม่น้อย

“ผู้เฒ่าไม่กล้าปิดบังเรื่องนี้กับนายท่านแล้วครับ ผู้อาวุโสเป่ยชงได้เสียชีวิตไปแล้ว ตอนที่เราพบศพท่านผู้อาวุโส ศพของท่านเหลือแค่เพียงครึ่งเดียว ผู้เฒ่าทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง จนถึงตอนนี้สำนักเราก็ยังจับฆาตกรไม่ได้เลยครับ…” ขั้นปรมาจารย์ระดับ 3 พูดไปก็ร้องไห้ไป

“ฉันรู้อยู่แล้ว” ฉู่ชวิ๋นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

“นายท่านรู้หรือครับว่าผู้อาวุโสเป่ยชงเสียชีวิตไปแล้ว? ถ้าอย่างนั้น…”

ฉู่ชวิ๋นยิ่งมีสายตาเจ้าเล่ห์มากยิ่งขึ้นขณะที่กล่าวแทรกว่า “ฉันรู้ เพราะว่าฉันนี่แหละที่ฆ่าเขาเอง”

“ใครฆ่านะครับ?”

“ฉันเอง”

“ว่าไงนะ?” ขั้นปรมาจารย์สะดุ้งด้วยความตกใจ ซึ่งเปิดเผยให้เห็นว่าเขาหวาดกลัวมากแค่ไหน

“นายท่าน…ไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม?” ชายชรารู้สึกได้ถึงฟันที่สั่นกระทบกันของตนเอง

“ตอนนั้นฉันฆ่าคนไปสามคนในภูเขาผีเสื้อที่เมืองหยุนหยาน หัวหน้ากลุ่มคนพวกนั้นมีชื่อว่าเป่ยชง น่าจะเป็นคนเดียวกับเป่ยชงของสำนักความหวังใหม่ใช่ไหม?” ฉู่ชวิ๋นตอบออกมาหน้าตาเฉย

ผู้อาวุโสเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มคนนี้อำมหิตเป็นอย่างยิ่ง พวกเขามีค่าเป็นศัตรู แต่ยังเสียเวลามาพูดคุยล้อเล่นอยู่อีกหรือ?

หยางเฟ่ยรู้แล้วว่าประสบการณ์ “ตกจากสวรรค์ลงสู่นรก” มันเป็นยังไง ในขณะนี้เขากลับมาหวาดกลัวจนสั่นไปทั้งตัวอีกครั้ง

“สำนักพวกแกมันไร้ค่า ฉันจะฆ่าทิ้งให้หมด” ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้น

กลุ่มคนจากสำนักความหวังใหม่ยืนตัวแข็ง ขนทุกเส้นบนร่างกายลุกชี้ชัน ชัดเจนแล้วว่าฉู่ชวิ๋นกำลังจะฆ่าพวกเขาแล้วแน่ๆ

ฟรึบ!

ในวินาทีนั้นเอง เกิดเสียงการเคลื่อนไหวที่ทำลายความตึงเครียดในบรรยากาศลง

ทุกคนต่างก็หันไปมองทันที

ฉู่ชวิ๋นเห็นว่าเฉินฮั่นหลงกำลังกระโดดขึ้นคร่อมชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง พร้อมกับรัวกำปั้นต่อยใส่อีกฝ่ายไม่ยั้งมือ

เดิมที หลิวเจี่ยเฟยพบว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง เขาคิดจะหาจังหวะหลบหนีตอนที่ฉู่ชวิ๋นมัวแต่สนใจกลุ่มจอมยุทธ์ ที่ไหนได้ เฉินฮั่นหลงกลับจับตามองความเคลื่อนไหวเขาอยู่ตลอดเวลา

แม้ว่าเฉินฮั่นหลงจะอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บ แต่พวกเขาได้ดื่มน้ำจิตวิญญาณเข้าไปเมื่อสักครู่ ทำให้ร่างกายกลับมาเกือบจะสมบูรณ์ดีอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเขาเห็นว่าหลิวเจี่ยเฟยทำท่าจะหลบหนีไป ทุกคนจึงได้เข้าล็อกตัวเอาไว้ และเฉินฮั่นหลงก็กระโดดขึ้นคร่อมหน้าท้องของฝ่ายตรงข้าม และต่อยหมัดระบายความเจ็บใจที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้

“คิดเหรอว่าฉันจะปล่อยให้แกหนีไปได้ ไอ้สารเลว ฉันจะหักคอแกเดี๋ยวนี้แหละ…”

เฉินฮั่นหลงกลับมามีกำลังวังชาอีกครั้ง สวนทางกับหลิวเจี่ยเฟย ที่ในตอนนี้ไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่อีกแล้ว

แต่ในวินาทีนั้นเอง เจิ้งกันก็เข้ามาแย่งทำหน้าที่ของเฉินฮั่นหลง

โม่ซิงเหอกำลังจะขยับเข้าไปทวงแค้นเช่นกัน แต่เจิ้งก่วงอี้ก็มายืนขวางไว้และบอกว่าหลิวเจี่ยเฟยไม่มีค่าพอให้คนที่เป็นจอมยุทธ์ลงมือ อย่าให้ต้องเดือดร้อนถึงมือของโม่ซิงเหอเลย พวกเขาพ่อลูกจะจัดการหลิวเจี่ยเฟยคนนี้เอง

โม่ซิงเหอกัดฟันกรอด เส้นเลือดบนขมับเต้นตุบๆ ต้องใช้เวลาพักใหญ่ทีเดียวกว่าที่โม่ซิงเหอจะยอมทำตามคำขอร้องของนักธุรกิจใหญ่คนนี้

“โอ๊ยยยยย…”

หลิวเจี่ยเฟยพลันยกมือกุมหว่างขาและลุกขึ้นมานั่ง ส่งเสียงร้องโหยหวนไม่เป็นภาษามนุษย์

ปรากฏว่าเมื่อสักครู่นี้ เจิ้งกันได้กระทำการเตะผ่าหมากหลิวเจี่ยเฟยสุดแรงเกิด

หลิวเจี่ยเฟยส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด แต่เฉินฮั่นหลงเดินเข้ามาใช้เท้าเตะปากของเขาอย่างแรง จนฟันหลุดออกมาหลายซี่ ปากของหลิวเจี่ยเฟยเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด ทำให้ใบหน้าของเขาดูน่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง