ตอนที่ 135 ฉินหร่านโยนบัตรปึกหนึ่งให้เฉียวเซิง

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

มือของเมิ่งซินหรานนิ่งแล้วอย่างสิ้นเชิง

 

 

“เป็นไปได้ยังไง ทำไมเธอถึงมีบัตรของโซน A ได้” เมิ่งซินหรานมองบัตรใบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า “แล้วบัตรของฉันล่ะ”

 

 

ปากพึมพำ ราวกับไม่อยากเชื่อเรื่องนี้เลย

 

 

แรงในมือแทบจะทำให้บัตรใบนี้ยับยู่ยี่แล้ว

 

 

           คราวนี้หลินฉีรู้สึกตัวแล้ว เขาไม่พูดอะไรเลย ก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เอาบัตรจากมือเมิ่งซินหราน ยื่นให้ฉินหร่าน

 

 

           เขาไม่ค่อยกล้าสบตาฉินหร่านมากนัก “หรานหร่าน อา…อาละอายใจ”

 

 

           เขาไม่ถามเรื่องราวให้แน่ชัดแต่แรก คิดว่าฉินหร่านหาเรื่องก่อน จึงไม่สนใจเธอ

 

 

           แม้กระทั่งตำหนิว่าเธอทำให้เมิ่งซินหรานเสียเวลา

 

 

           ตอนหลังเพราะรู้สึกผิด อยากทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก คิดว่านั่นเป็นการชดเชยให้ฉินหร่าน ถือเป็นการขอโทษที่เขามีต่อเธอ

 

 

           เขาถึงขั้นคิดว่าฉินหร่านจะรู้สึกโชคดีที่เขาไม่ถือสาเอาความ

 

 

           แต่ทว่าเขาคิดไม่ถึงเลยว่า ตั้งแต่ต้นจนจบฉินหร่านเป็นผู้บริสุทธิ์ของเรื่องนี้!

 

 

           เธอถูกเมิ่งซินหรานใส่ร้าย และถูกเมิ่งซินหรานทำลายโต๊ะ โยนหนังสือ

 

 

           ฉินหร่านรู้ดีแก่ใจว่าเธอไม่ได้เอาบัตรของเมิ่งซินหรานไปแต่แรกอยู่แล้ว ฉะนั้นทั้งการกระทำและวาจาเหล่านั้นของเมิ่งซินหรานล้วนน่าขันสิ้นดี

 

 

           ก่อนหน้านี้หลินฉีไม่พอใจที่ฉินหร่านโยนโต๊ะกับหนังสือของเมิ่งซินหรานลงมาจากชั้นห้า ตอนนี้กลับรู้สึกว่าการกระทำของฉินหร่านปกติยิ่งนัก

 

 

           ถึงขั้นว่าแม้ฉินหร่านจะทำรุนแรงกว่านี้อีกสักหน่อย หลินฉีก็ไม่รู้สึกว่าเกินกว่าเหตุ

 

 

           ความละอายในใจหลินฉีเพิ่มทวี เขาโค้งตัวให้ฉินหร่าน แสดงความรู้สึกผิด       

 

 

         ฉินหร่านแค่หันไป ฉวยเอาบัตรมา น้ำเสียงราบเรียบ “ไม่เป็นไร”

 

 

           หลินฉีได้ฟัง ใจก็ดิ่งลงโดยพลัน

 

 

           เรื่องเป็นไปในทางที่เลวร้ายที่สุดอย่างที่คิด

 

 

           เฉียวเซิงยืนอยู่ข้างเกาหยาง มองดูตั้งแต่ต้นจนจบไม่พูดอะไร ขมวดคิ้วมองเมิ่งซินหรานแวบหนึ่งตอนที่ฉินหร่านเอาบัตรออกมา จากนั้นก็มองฉินหร่านอย่างตะลึง

 

 

           “ซินหราน ขอโทษหรานหร่าน” หลินฉีนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดกับเมิ่งซินหราน

 

 

           เมิ่งซินหรานเม้มปาก ทำหน้านิ่งไม่ยอมปริปาก “แต่บัตรของหนูถูกขโมยจริงๆ”

 

 

           หลินฉีขมวดคิ้ว ดูเหนื่อยมากทีเดียว

 

 

           เขาอ้าปาก ยังอยากพูดอะไรต่อ ขณะนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

 

 

           คนที่เข้ามาเป็นหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง

 

 

           ฉินหร่านยืนใกล้ประตูที่สุด

 

 

           เธอยืนพิงโต๊ะ ไขว้ขวาอย่างเกียจคร้าน เอียงหัวเล็กน้อย ดวงตาที่ชำเลืองมองแลดูเหลืออดนิดหน่อย

 

 

           พอหญิงวัยกลางคนเข้ามา สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกก็คือเธอ ท่าทางเหมือนไม่คิดว่าจะเจอเธอที่นี่ เผลอขมวดคิ้วอย่างลืมตัว

 

 

           “ป้าจาง มาได้ยังไงน่ะ” พอหลินฉีชายตามองเห็นป้าจาง ก็พูดด้วยความแปลกใจ

 

 

           ป้าจางนึกธุระสำคัญขึ้นมาได้ จึงรีบหยิบของออกจากกระเป๋า ยื่นให้หลินฉี “คืออย่างนี้ คุณหลิน เมื่อคืนตอนที่ฉันเปลี่ยนเครื่องหอมในห้องคุณหนู เห็นบัตรที่อยู่ตรงมุม ตอนหลังพวกเขาบอกว่าบัตรสำคัญกับคุณหนูมาก ฉันก็เลยรีบส่งมาให้”

 

 

           เมื่อพูดจบ ทั้งห้องก็เงียบสงัด

 

 

           ป้าจางชะงัก “ฉันพูดอะไร…ผิดไปหรือเปล่า”

 

 

           หรือคนใช้คนนั้นจะหลอกเธอ

 

 

           คืนนั้นตอนที่ป้าจางเจอบัตรในห้องของเมิ่งซินหราน เธอเตรียมจะวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง

 

 

           สาวใช้ข้างๆ คนหนึ่งบอกว่าเมิ่งซินหรานกำลังกระวนกระวายหาเจ้านี่อยู่ แถมยังให้ที่อยู่กับป้าจางด้วย

 

 

           ป้าจางเลยกุลีกุจอรีบขึ้นรถมา

 

 

           “เปล่า เธอไม่ได้พูดอะไรผิดหรอก” ตอนนี้หลินฉีไม่กล้าแม้แต่จะมองฉินหร่านด้วยซ้ำ

 

 

           วุ่นวายอยู่ค่อนวัน ทุกอย่างเป็นเพียงแค่เรื่องตลกร้าย

 

 

           เขาสูดหายใจเข้าลึก ประสบการณ์หลายปีทำให้เขาเรียกเสียงตัวเองกลับมาได้ “อาจารย์เกา คืนนี้ลำบากคุณแล้วจริงๆ”

 

 

           เมิ่งซินหรานรับบัตรสี่ใบที่ป้าจางยื่นมาให้

 

 

           ที่นั่งติดกันสี่ใบ ไม่ขาดสักใบ

 

 

           จนถึงตอนนี้ ใครบริสุทธิ์ใครถูกใครลากเข้ามาเอี่ยว แค่มองแวบเดียวก็ประจักษ์แจ้งแล้ว

 

 

           เมื่อนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ที่เมิ่งซินหรานบอกให้หลินฉีดูแลฉินหร่านให้ดี ตอนนั้นถากถางเหน็บแนมมากเท่าใด ตอนนี้มันก็ตบหน้ารุนแรงมากเท่านั้น

 

 

           เมิ่งซินหรานหน้าแดงก่ำ ถูกสายตาของเฉียวเซิงกับเกาหยางจับจ้อง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า รีบออกจากห้องไปทันที

 

 

           หลินฉีพูดขอโทษฉินหร่านอีกครั้งแล้วพรวดพราดออกไปราวกับหนีอะไร

 

 

           มือของหนิงฉิงจับกระเป๋าแน่น อยากพูดอะไรบางอย่างกับฉินหร่าน แต่ฉินหร่านกลับไม่มองเธอเลย

 

 

           …

 

 

         “สุดยอด เจ๊หร่าน เธอไปเอาบัตรมาจากไหนกันแน่!” ระหว่างทางที่ฉินหร่านกำลังเดินกลับ ในที่สุดเฉียวเซิงก็ได้สติ เขาเกาหัวตัวเอง เบี่ยงตัวมามองฉินหร่านอยู่ข้างๆ

 

 

           ฉินหร่านถือมือถือไว้ในมือ ไม่รู้ว่ากำลังส่งข้อความให้ใคร ดวงตาหลุบต่ำ เงียบงันและเย็นชา

 

 

           เฉียวเซิงตะโกนโหวกเหวกข้างหู เธอเลยอดยกมือขึ้นแคะหูไม่ได้ เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “มีคนให้มา”

 

 

           “ใครใจดีขนาดยอมให้เจ้านี่กับเธอ” เฉียวเซิงอ้อมไปอีกฝั่งของเธอ “ทำไมไม่มีใครให้ฉันบ้าง”

 

 

           “ลู่จ้าวอิ่ง” ฉินหร่านตอบอย่างไม่ยี่หระ เมื่อเห็นเฉียวเซิงไม่เข้าใจ เธอจึงอธิบายว่า “หมอประจำห้องพยาบาลของโรงเรียน”

 

 

           คราวนี้เฉียวเซิงที่ถูกสวีเหยากวงเตือนนับครั้งไม่ถ้วนซึมเซาเสียแล้ว

 

 

           เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “มิบังอาจ มิบังอาจ”

 

 

           ฉินหร่านตอบอืมโดยที่ไม่เงยหน้า

 

 

           ใกล้ถึงห้องพยาบาลแล้ว ฉินหร่านโบกมือให้เขาแล้วเข้าไปทันที

 

 

           ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว เฉียวเซิงไปห้องวงจรปิดหลังเลิกเรียนทันที จนตอนนี้ยังไม่ได้กินข้าว

 

 

           ตอนนี้โรงอาหารไม่มีข้าวแล้ว เขาก็ไม่ออกไปข้างนอก แค่ไปซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกระป๋องหนึ่งกลับไปกินที่หอพักของสวีเหยากวง

 

 

           “คุณชายสวี นายบอกว่าพวกคนห้องพยาบาลไม่ธรรมดาไม่ใช่เหรอ” เฉียวเซิงเทน้ำร้อนเสร็จ ปักส้อมลงไป ก็นั่งลงบนเก้าอี้ เอี้ยวตัวมองสวีเหยากวง

 

 

           หอพักที่สวีเหยากวงพักอยู่เป็นหอพักเดี่ยวที่มีไม่มาก เนื้อที่กว้างขวาง มีโต๊ะเก้าอี้วางอยู่ด้วย

 

 

           เฉียวเซิงยกขาขึ้นพาดกับโต๊ะ

 

 

           “ไม่ธรรมดาจริงๆ ถ้าไม่มีธุระก็อย่าไปป้วนเปี้ยนแถวนั้น” สวีเหยากวงไม่เงยหน้า นิ้วเรียวยาวกำลังพลิกหนังสือฟิสิกส์เล่มหนึ่งอยู่ นัยน์ตาเย็นชา “ถึงตอนนั้นตายยังไงแม้แต่ตัวนายเองก็ยังไม่รู้”

 

 

           มือของเฉียวเซิงวางอยู่บนโต๊ะ พูดอย่างอ่อนแรงว่า “แต่ฉันเห็นเจ๊หร่านสนิทสนมกับพวกเขามาก มีคนให้บัตรเธอด้วยละ”

 

 

           หลังเกิดเรื่องในวันนี้ขึ้น เฉียวเซิงรู้ว่าที่เขาอยากได้บัตรจากเมิ่งซินหรานคงจะคว้าน้ำเหลวแล้วละ

 

 

           เมื่อได้ยินประโยคนี้ ใบหน้าของสวีเหยากวงขยับ ราวกับไม่เข้าใจ

 

 

           ไม่รอให้เขาคิดอะไรออก มือถือก็สว่างวาบ

 

 

           เขาไม่สนแม้แต่หนังสือฟิสิกส์ คว้ามือถือโดยตรงแล้วมองแวบหนึ่ง

 

 

           เฉียวเซิงเห็นว่าได้เวลาแล้ว ก็หยิบส้อมคลุกเคล้าบะหมี่ จากนั้นกินเข้าไปคำหนึ่ง

 

 

           เมื่อเห็นท่าทางของสวีเหยากวง เขาก็อดกลอกตาไม่ได้ “คุณชายสวี ข้อความจากฉินอวี่อีกแล้วเหรอ”

 

 

           “อืม เธอส่งบัตรมาให้ฉันสองใบ ให้เราไปดูการแสดงครั้งแรกของเธอสิ้นเดือนนี้” สวีเหยากวงวางมือถือ หันมองเล็กน้อย น้ำเสียงเฉยชา

 

 

           เฉียวเซิงกลืนบะหมี่ลงไป ไม่เงยหน้าด้วยซ้ำ “ฉันไม่ไป”

 

 

           สวีเหยากวงมองเขาแวบหนึ่ง พูดเสียงเรียบว่า “ครั้งนี้เธอจะบรรเลงเพลงใหม่ ฉันเคยฟังวิดีโอที่เธอส่งมา ก้าวหน้าเยอะมาก ไม่ไปคงน่าเสียดาย”

 

 

           “ฉันจะกลับไปขอร้องพ่อ ว่าจะให้ฉันกับพวกเหอเหวินปลอมตัวเป็นพนักงานเข้าไปในการแข่งขันยังไงดีกว่า” เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉียวเซิงก็รู้สึกสิ้นหวัง

 

 

           …

 

 

ทางด้านฉินหร่านก็ถึงห้องพยาบาลแล้ว

 

 

เฉิงมู่เห็นเธอกลับมาแล้ว ถึงได้เริ่มจัดแจงอาหาร

 

 

ลู่จ้าวอิ่งแอบมองสีหน้าของฉินหร่าน แม้ยังเป็นท่าทางที่รับมือไม่ค่อยง่ายเหมือนเดิม แต่มองออกว่าอารมณ์ดีกว่าก่อนออกไป

 

 

เขาโล่งใจแล้ว

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองเธอแวบหนึ่ง วางของในมือลงอย่างเชื่องช้า เดินออกไปข้างนอก ราวกับไม่แปลกใจเท่าใดนัก

 

 

บนโต๊ะอาหาร ฉินหร่านกำลังกินข้าวอย่างเอื่อยเฉื่อย พร้อมกับคิดว่าใครหน้าไหนไปเชิญป้าจางคนนั้นมา

 

 

ไม่นาน ลู่จ้าวอิ่งก็ส่งข้อความเข้ากลุ่มการสนทนา…

 

 

ลู่จ้าวอิ่ง ‘พี่น้องสู้เขา ฉันไปเอาบัตรพนักงานหลายใบมาจากพ่อ เจอกันพรุ่งนี้ตอนบ่ายสาม! (ส่งรูป) ’

 

 

จากนั้นก็ส่งตำแหน่งที่อยู่มา

 

 

ฉินหร่านลูบคาง มองข้อความพวกนี้พลางทำท่าครุ่นคิด

 

 

หลังกินข้าวเสร็จ ฉินหร่านก็นอนฟุบหัดคัดลายมืออยู่บนโต๊ะ มือซ้ายของเธอเขียนได้ชัด ตอนนี้บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิด

 

 

เฉิงมู่ยกชาแก้วหนึ่งไปให้เธอ แอบมองตัวหนังสือที่เธอคัดอย่างระมัดระวัง

 

 

แปลกใจเล็กน้อย ก้าวหน้าแล้วเหรอ

 

 

“รู้ไหมว่าสมุดคัดพวกนั้นเป็นของใคร” ลู่จ้าวอิ่งลูบคาง มองเฉิงมู่อย่างคาดเดาไม่ออก

 

 

เฉิงมู่ส่ายหน้า สีหน้าไม่บอกอารมณ์ “ใคร”

 

 

“ไต้ซือเจียง”

 

 

เฉิงมู่ทำหน้างุนงง ราวกับกำลังคิดว่าไต้ซือเจียงเป็นใคร

 

 

“ไต้ซือที่นายท่านของบ้านฉันเชิญตั้งห้าครั้ง ถึงจะได้รูปวาดทิวทัศน์มาคนนั้นไง” ลู่จ้าวอิ่งโยนปากกาทิ้ง เอนตัวพิงข้างหลัง

 

 

เมื่อพูดแบบนี้ เฉิงมู่ก็นึกออกแล้ว “คุณหมายถึงไต้ซือเจียงที่นิสัยประหลาด แถมของยังแพงสุดขีด ไม่ค่อยขายผลงานตัวเองให้คนอื่นนั่นน่ะเหรอ”

 

 

“เขานั่นแหละ” ลู่จ้าวอิ่งดีดนิ้ว

 

 

คราวนี้เฉิงมู่มองไปทางฉินหร่านด้วยความตกตะลึง

 

 

“ท่านเจวี้ยนของพวกนาง เชิญไต้ซือเจียงคนนี้มาทำสมุดคัดลายมือให้ฉินเสี่ยวหร่านฝึกคัดหลายเล่มเลยละ” ลู่จ้าวอิ่งหรี่ตาลง สุดท้ายก็กดเสียงต่ำลง “เฉิงมู่ ฉันถามหน่อย ถ้าเปลี่ยนเป็นนายท่านของพวกนาย มั่นใจมากแค่ไหนว่าจะได้สมุดคัดลายมือมาจากไต้ซือเจียง”

 

 

เฉิงมู่ทำหน้านิ่ง “ถ้าเป็นภาพวาดภาพหนึ่งอาจจะได้ แต่สมุดคัดลายมือ…”

 

 

แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

 

 

ทั้งสองคนคิดแทบจะในเวลาเดียวกัน

 

 

จากนั้นก็มองหน้ากัน จมอยู่ในภวังค์ความคิด

 

 

ฉะนั้นแล้วท่านเจวี้ยนของพวกเขาทำได้อย่างไร

 

 

…        

 

 

ทางด้านบ้านสกุลหลิน

 

 

หลินจิ่นเซวียนเข้าโรงเรียนในเมืองหลวงไปก่อนแล้ว

 

 

คืนนี้หลินฉีไม่ได้กลับบ้าน แต่ไปที่บ้านเก่าของสกุลหลิน

 

 

ในห้องหนังสือของผู้เฒ่าหลิน หลินฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างละอายใจว่า “คุณพ่อ วันนี้ผมทำพลาดไปเรื่องหนึ่ง”

 

 

อ่อนล้าเล็กน้อย

 

 

“เรื่องอะไร” น้อยครั้งที่ผู้เฒ่าหลินจะเห็นหลินฉีเป็นแบบนี้ เขาวางถ้วยชาลง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยนิ่งไป

 

 

“เรื่องของซินหราน” หลินฉีเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ

 

 

คำพูดกระชับ แต่ตรงประเด็น

 

 

พูดจบ หลินฉีก็ก้มหน้า “ตอนนั้นที่คุณพ่อให้ผมเอาใจใส่ฉินหร่าน ที่จริงผมเลือกอวี่เอ่อร์ ไม่กล้าบอกคุณพ่อ ตอนนี้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น สกุลหลินของเราอยากจะผูกมิตรกับเธอ ไม่มีทางเป็นไปได้แน่”

 

 

สุดท้ายก็ถอนหายใจ “ผมไม่รู้ว่าต่อไปตัวเองจะเผชิญหน้ากับเธอยังไง”

 

 

ผู้เฒ่าหลินฟังจบ ไม่ได้ตอบกลับทันที

 

 

ผ่านไปพักใหญ่ เขาถึงขมวดคิ้วน้อยๆ “เรื่องที่แกทำวันนี้ไม่เหมาะสมจริง แต่บัตรของอวิ๋นกวงกรุ๊ปนั่น… เธอมีได้ยังไง”

 

 

           เรื่องนี้หลินฉีเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

 

 

           “ช่างเถอะ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว” ผู้เฒ่าหลินนิ่งกว่าหลินฉี “ในโลกมีคนที่มีความสามารถอยู่ถมถืด ใครจะรู้ว่าต่อไปจะมีอะไรแน่นอน อีคิวแบบเธอ ต่อไปจะรักษาโอกาสไว้ได้หรือเปล่าก็ยังไม่แน่นอน แกเองก็พูดว่า ผลการเรียนของฉินหร่านไม่ดี แปลว่าเธอไม่มีความสม่ำเสมอ แถมยังมักใหญ่ใฝ่สูง ต่อไปอาจจะล้มลงมาอย่างแรงก็ได้”

 

 

           หยุดคิดไปครู่หนึ่ง ผู้เฒ่าหลินก็พูดขึ้นมาอีกว่า “เมื่อวานหว่านเอ่อร์บอกฉันแล้วว่า พวกเขาบอกว่าความเป็นไปได้ 90% ที่อาจารย์เว่ยจะรับอวี่เอ่อร์เป็นศิษย์ อวี่เอ่อร์ไม่ถูกกับฉินหร่าน แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน แกจะได้ไม่ต้องลำบากใจ”

 

 

           นักธุรกิจ สุดท้ายแล้วก็เห็นแก่ผลประโยชน์อยู่ดี

 

 

           “ผมเข้าใจแล้ว” หลินฉีเงยหน้าขึ้น “เรื่องนี้ พรุ่งนี้ผมจะไปขอโทษเธอด้วยตัวเองอีกครั้ง”

 

 

           ผู้เฒ่าหลินพยักหน้าอย่างขอไปที “การแสดงตอนสิ้นเดือนของอวี่เอ่อร์ ตั้งใจว่าจะไปกี่คน”

 

 

           “แม่ของเธอกับจิ่นเซวียน บริษัทผมยุ่ง ไม่ไปแล้ว”

 

 

         “ได้” ผู้เฒ่าหลินพยักหน้า

 

 

           …

 

 

           ฉินหร่านเพิ่งคัดลายมือเสร็จ ก็กลับไปเรียนคาบเรียนด้วยตัวเองที่ห้องเก้าต่อ

 

 

           ห้องเก้ายังคงเงียบสงัด

 

 

           และกองหนังสือใต้ตึกเรียนมัธยมปลายปีสามก็ยังไม่ได้เก็บ

 

 

           ฉินหร่านวางวรรณกรรมภาษาต้นฉบับที่หอบกลับมาจากห้องพยาบาลลงบนโต๊ะ หลินซือหรานมองอย่างแปลกใจ พบว่าหนังสือส่วนใหญ่กลับมาอยู่ในสภาพเดิมแล้ว

 

 

           ฉินหร่านสวมหูฟังด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ หยิบสมุดคัดลายฝึกขึ้นมาเริ่มฝึกคัดอีกครั้ง

 

 

           พวกเฉียวเซิงก็มาดึกเหมือนกัน พอมาถึงก็เริ่มหารือเรื่องที่จะปลอมตัวปะปนเข้าไปในการแข่งขันพรุ่งนี้กันเจี๊ยวจ๊าว

 

 

           เกาหยางให้พวกหัวหน้าห้องเตรียมโต๊ะตัวใหม่ให้เมิ่งซินหราน วางไว้แถวหลังสุด

 

 

           อยู่ข้างหลังเฉียวเซิงพอดี

 

 

           คนที่หัวสูงอย่างเมิ่งซินหราน ไม่มีทางอยู่ห้องเก้าต่ออีกแน่นอน

 

 

           เธอย้ายไปอยู่ห้องหนึ่งทันที

 

 

           ตอนนี้เธอกำลังกอดมือหน้าไร้อารมณ์ ยืนอยู่ที่ประตูหลังห้อง

 

 

           ส่วนนักเรียนชายห้องหนึ่งสามคน กำลังช่วยขนของให้เธอ

 

 

           ก่อนหน้านี้ผู้ชายตาโตคิ้วหนาที่เป็นผู้นำขอให้เฉียวเซิงพาพวกเขาเข้าไปในการแข่งขันด้วย แต่ถูกเฉียวเซิงปฏิเสธ เพราะแค่เขาพาพวกเหอเหวินเข้าไปก็เสี่ยงอันตรายมากแล้ว

 

 

           ตอนนี้เห็นพวกเฉียวเซิงกำลังคุยเรื่องจะแอบลักลอบเข้าไปในการแข่งขันกันอย่างเมามัน เขาก็พูดอย่างสบายใจเฉิบว่า “เฉียวเซิง เหอเหวิน ต้องขอโทษด้วยจริงๆ เมื่อกี้เมิ่งซินหรานให้บัตรสามใบนั่นกับพวกเราแล้ว”

 

 

           เมิ่งซินหรานมือกอดอก มองพวกเฉียวเซิงด้วยความเฉยชาอย่างยิ่ง มุมปากเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน ไม่มองฉินหร่าน ราวกับดูถูกเป็นอย่างมาก

 

 

           เฉียวเซิงมองพวกเขาแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร

 

 

           ห้องเก้าเงียบกริบ

 

 

           ปึก

 

 

           ฉินหร่านถอดหูฟังออก โยนมันทิ้งลงบนโต๊ะ

 

 

           การกระทำนี้เกิดขึ้นฉับพลัน ทุกคนต่างก็มองมาทางเธอ

 

 

           ฉินหร่านบีบนวดข้อมือ จากนั้นก็หันข้าง มองไปทางเฉียวเซิง พูดด้วยสีหน้าไม่บอกอารมณ์ว่า “เมื่อกี้ลืมเอาของให้นายไปเลย”

 

 

           ขณะที่พูด เธอก็ใช้มือคลำกระเป๋าข้างซ้าย ไม่เจออะไร

 

 

            มุ่ยคิ้วนิดหน่อยแล้วคลำกระเป๋าข้างขวาอย่างหงุดหงิดใจ ในที่สุดก็เจอ โยนไปทางโต๊ะของเฉียวเซิงอย่างสบายๆ

 

 

           ระยะห่างสามร้อยเมตรแต่แม่นยำมาก

 

 

           ทุกคนต่างก็มองไปทางที่เธอโยนของมา

 

 

           บนโต๊ะของเฉียวเซิง…

 

 

           มันเป็นบัตรเข้าชมการแข่งขันปึกหนึ่ง

 

 

           ผู้ชายที่เพิ่งพูดจาอย่างสบายใจ ราวกับถูกคนบีบลูกกระเดือก