บทที่ 132 บุปผาร่วงหล่นมีใจ

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่งร้อยสามสิบสอง

บุปผาร่วงหล่นมีใจ

การสอบระดับมณฑลต้องสอบทั้งหมดสามรอบ แต่ละรอบต้องสอบสามวัน รวมทั้งสิ้นเก้าวัน ทำให้ทุกคนต่างเหนื่อยล้ายิ่งนัก

ในระหว่างเก้าวันนี้ไม่เพียงผู้เข้าสอบเท่านั้นที่เหนื่อยล้า แต่คนในครอบครัวก็ทั้งเหนื่อยกายและใจเช่นเดียวกัน อย่างเช่นเสวี่ยเจียเยว่ หลายวันมานี้ไม่ว่าเธอจะทำสิ่งใด จิตใจของเธอก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คอยคิดถึงแต่เสวี่ยหยวนจิ้งว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง

เมื่อถึงวันที่สิบหก เสวี่ยเจียเยว่ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป เธอเพิกเฉยต่อคำสั่งที่เสวี่ยหยวนจิ้งเคยกำชับเมื่อวันที่แปดว่าอย่าไปรับเขา หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เธอก็เดินทางไปกงหยวน[1]

จนกระทั่งตกเย็น ประตูของกงหยวนก็เปิดออกทั้งสองบาน จากนั้นผู้เข้าสอบทยอยเดินออกมา สีหน้าของแต่ละคนดูเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก

เสวี่ยเจียเยว่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน พร้อมกับเขย่งเท้ามองไปยังหน้าประตูกงหยวนอย่างใจจดใจจ่อว่ามีเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ในกลุ่มคนที่เดินออกมาหรือไม่

จู่ๆ เสียงเย็นชาก็ดังขึ้นข้างๆ “เจ้าเองหรือ”

เสวี่ยเจียเยว่หันไปมองจึงเห็นว่าเป็นสตรีอายุสิบห้าถึงสิบหกปีสวมชุดกระโปรงสีชมพูกลีบดอกท้อ

เธอจำได้ว่าสตรีผู้นี้คือตันอวี้ฉา เมื่อปีที่แล้วนางเคยมาพบเสวี่ยหยวนจิ้งสองครั้ง ครั้งหนึ่งเสวี่ยเจียเยว่บังเอิญได้ยินเสียงนางร้องไห้สารภาพรักกับเสวี่ยหยวนจิ้ง ทว่ากลับถูกชายหนุ่มปฏิเสธอย่างไร้ความปรานี และนับแต่นั้นมานางก็ไม่เคยมาหาเขาอีกเลย ได้ยินว่าตอนนี้นางได้หมั้นหมายกับลูกชายคนเล็กของจือฝู่ ส่วนพี่สาวของนาง… ตันอวี้เหอก็ออกเรือนไปแล้ว

สตรีสี่คนซึ่งเป็นนางเอกที่ปรากฏตัวออกมาจนถึงตอนนี้ ไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสวี่ยหยวนจิ้งอีกแล้ว

ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกดีใจ แต่อีกใจหนึ่งก็เป็นกังวลว่า แล้วนางเอกอีกแปดคนที่เหลือล่ะ ไม่รู้ว่าพวกนางจะมีหน้าตาเช่นไร ทางที่ดีก็ขอให้บทบาทเดิมของพวกนางเปลี่ยนไปทั้งหมด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเสวี่ยหยวนจิ้งได้เลยยิ่งดี

ตอนนี้เมื่อเห็นตันอวี้ฉาอยู่ตรงหน้า จะเป็นการดีกว่าหากพูดทักทายกับนาง ดังนั้นเสวี่ยเจียเยว่จึงไตร่ตรองดูครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าทักทายนางด้วยความสุภาพ “เจ้าเองก็อยู่ที่นี่เช่นกันหรือ”

เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องมารอรับตันหงอี้ออกจากกงหยวน

เมื่อคิดถึงตันหงอี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็ถอนหายใจเบาๆ อย่างอดไม่ได้

เธอยังจำสีหน้าตกใจของตันหงอี้ได้อย่างชัดเจน หลังจากวันที่แม่สื่อฉีมาที่เรือนของเธอ เสวี่ยเจียเยว่ได้พบตันหงอี้อีกครั้ง เขาเอ่ยถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าคนที่เธอหมั้นหมายด้วยนั้นคือตระกูลใด เขาจะไปเจรจากับพวกเขาให้ถอนหมั้นด้วยตัวเอง ขอเพียงพวกเขายินดีถอนหมั้น ต่อให้ใช้เงินเท่าไรเขาก็ยอม

เสวี่ยเจียเยว่ยังจำตอนที่เธอถอนหายใจและกล่าวกับเขาได้

“คุณชายตัน แม้ว่าเงินจะสามารถซื้อได้หลายอย่าง แต่ในใต้หล้านี้ก็มีหลายเรื่องที่เงินไม่สามารถแก้ไขได้ ข้าได้หมั้นหมายแล้วจริงๆ เกรงว่าต่อให้ยื่นเงื่อนไขใดไป คนผู้นั้นก็ไม่มีทางยอมถอนหมั้นแน่นอน ดังนั้นความรู้สึกที่เจ้ามีต่อข้า ก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถิด”

หลังจากสิ้นประโยคนั้น เธอมองแววตาที่ตกใจและเสียใจของตันหงอี้ เขายืนอึ้งงันไม่พูดไม่จาและมองเธออยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป

เสวี่ยเจียเยว่ยังจำภาพแผ่นหลังอันโดดเดี่ยวอ้างว้างของเขาในตอนนั้นได้ ความโอหังอวดดีที่เคยมีสลายไปจนหมดสิ้น จนกระทั่งตอนนี้ตันหงอี้ก็ไม่มาพบเธออีกเลย

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ และไม่คิดรังเกียจที่จะทักทายตันอวี้ฉา ทว่าอีกฝ่ายกลับแค่นเสียงใส่เธออย่างเย็นชาเสียอย่างนั้น เธอจึงทำได้เพียงมองประตูกงหยวนอย่างใจจดใจจ่อ

เสวี่ยหยวนจิ้งยังไม่ทันได้ออกมา เธอก็พบกับตันหงอี้เสียก่อน

เขาสวมชุดคลุมยาวคอกลมที่ทำจากผ้าไหมปักลายต้นสนสีเขียว คาดผ้าไหมบริเวณเอว รูปร่างสูงโปร่งสมส่วน ใบหน้าดูหล่อเหลายิ่งนัก

แต่เมื่อเทียบกับในอดีตนั้น รัศมีความทะนงตนบนตัวเขาไม่มีอีกแล้ว กลับกลายเป็นความสงบและสุขุมเข้ามาแทน

พอตันอวี้ฉาเห็นตันหงอี้ นางก็รีบเรียกเขาในทันที เมื่อชายหนุ่มมองตามทิศทางของเสียง สายตาของเขากลับไม่เห็นน้องสาวของตน แต่เห็นเสวี่ยเจียเยว่ก่อน

เสวี่ยเจียเยว่เองก็กำลังมองเขาอยู่พอดี สายตาของทั้งสองถูกกั้นกลางด้วยผู้คนมากมาย คาดไม่ถึงว่าจะได้มาพบกันเช่นนี้

ตันหงอี้ตะลึงงันไปชั่วขณะ เท้าของเขาหยุดชะงักลงทันใด ยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน สายตามองตรงมาที่เธอเพียงคนเดียว ในตาคู่นั้นเหมือนมีความตกใจ เจ็บปวด และความรู้สึกอีกมากมายที่เสวี่ยเจียเยว่ไม่เข้าใจ

ความกระอักกระอ่วนเกิดขึ้นในจิตใจของเสวี่ยเจียเยว่อย่างฉับพลัน ในขณะที่เธอกำลังจะเบนสายตาไปมองที่อื่น ก็ยังรู้สึกว่าน่าอายอยู่เล็กน้อย ดังนั้นเธอจึงต้องยิ้มออกมาและพยักหน้าให้เขาเบาๆ

ตันหงอี้ไม่อยากจะมองเสวี่ยเจียเยว่จึงหันหน้าไปทางอื่น ก่อนจะหมุนตัวก้าวยาวๆ ไปอีกด้าน ตันอวี้ฉาและคนอื่นๆ เห็นเช่นนั้นก็รีบเดินตามไป

เสวี่ยเจียเยว่ถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นว่าตันหงอี้เดินจากไปไกลแล้ว เธอจึงหันไปมองคนที่ทยอยเดินออกมาจากประตูกงหยวนต่อ

ทันใดนั้นเธอก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเดินออกมา จึงรีบโบกมือให้พร้อมกับเอ่ยเรียกเขา “ท่านพี่!”

พอเสวี่ยหยวนจิ้งมองเห็นเด็กสาว เขาก็รีบเดินไปหาอีกฝ่ายทันที และลากคนร่างบอบบางออกมาจากฝูงชนที่แน่นขนัด ก่อนจะขมวดคิ้วเอ่ยออกมา

“ข้าบอกว่าไม่ต้องมารับข้าไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงยังมาอีก”

เสวี่ยเจียเยว่กอดแขนเขาพร้อมกับเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเป็นห่วงท่าน”

เมื่อเห็นว่าคิ้วของเขายังคงขมวดแน่น ทั้งสีหน้าก็ดูไม่ดีใจเท่าไรนัก เสวี่ยเจียเยว่จึงเขย่าแขนเขาและกล่าวต่อ “ก็ข้าไม่ได้เจอหน้าท่านมาหลายวันแล้ว ข้าคิดถึงท่าน ก็เลยมารับท่านอย่างไรเล่า”

ต่อให้เสวี่ยหยวนจิ้งโกรธมากเพียงใด แต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนโยนเช่นนั้น ความโกรธก็มลายไปจนหมดสิ้น

เขายกมือขึ้นบีบแก้มของเสวี่ยเจียเยว่แล้วเอ่ยอย่างจนปัญญา “เจ้าไม่เชื่อฟังข้าอยู่เรื่อย เจ้าต้องรู้เอาไว้ว่าใต้หล้านี้เต็มไปด้วยอันตรายที่ยากจะหยั่งถึง แต่ตอนนี้ข้ายังไม่มีอำนาจอยู่ในมือ จึงกังวลเสมอว่าจะไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ ต่อไปเจ้าต้องไปในที่ที่คนพลุกพล่านน้อยกว่านี้”

“ท้องฟ้าสว่างขนาดนี้จะมีเรื่องอันใด” เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยอย่างเมินเฉย “และข้าก็ไม่ได้ทำร้ายใคร ไม่มีความแค้นกับผู้ใด หรือว่ายังจะมีใครที่อยู่ดีๆ ก็อยากมีปัญหากับข้า ไยท่านถึงต้องคอยอยู่เคียงข้างเพื่อปกป้องข้าเสมอเล่า”

เสวี่ยหยวนจิ้งส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่ก็ไม่สามารถอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจได้

เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ทำร้ายใคร แต่ผิดเพียงเพราะเด็กสาวมีใบหน้างดงาม เขาจึงกังวลเสมอว่าจะมีใครปรารถนาในความงามของเสวี่ยเจียเยว่ หากเป็นเพียงคนธรรมดาก็แล้วไป เขายังสามารถต้านทานได้ แต่ถ้าคนผู้นั้นมีอำนาจอยู่ในมือ…

ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่โตแล้ว ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาเด็กสาวค่อยๆ ปรับตัวให้คุ้นชินกับเขา ถึงเวลาแล้วที่ต้องเอ่ยเรื่องแต่งงานระหว่างพวกเขาทั้งสองคนที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หัวใจของเขาก็ตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้ และนัยน์ตาเป็นประกายราวกับมีรอยยิ้มอยู่ในนั้น เขายังไม่ได้กล่าวคำใดออกไปในตอนนี้ เพียงจับมือเสวี่ยเจียเยว่เดินมุ่งหน้าไปตามทางที่จะกลับเรือนของพวกเขา

ตันหงอี้หลบซ่อนตัวอยู่ในตรอกเล็กๆ และมองตามแผ่นหลังของเสวี่ยเจียเยว่เดินจากไปไกลด้วยความเศร้าใจ

ตันอวี้ฉายืนมองอยู่ข้างๆ ด้วยความเห็นใจพี่ชาย เมื่อมองตามแผ่นหลังของเสวี่ยหยวนจิ้งที่เดินห่างออกไป หัวใจของนางก็เริ่มเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง

ในตอนแรกนางยังไม่รู้ถึงความรู้สึกที่ตันหงอี้มีต่อเสวี่ยเจียเยว่ ผ่านมาช่วงระยะเวลาหนึ่งนางก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชาย เขาดูเหม่อลอยไร้สติ และไม่ไปที่สำนักศึกษา เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องหนังสือ ไม่ออกมาพบใคร ไม่ว่าใครจะเคาะประตูเขาก็ไม่เปิด ทำให้มารดาเริ่มร้อนใจจนต้องพูดเรื่องนี้กับนางและถามตันอวี้เหอว่ามีวิธีแก้ไขเรื่องนี้หรือไม่

นางเป็นคนกล้าหาญ ดังนั้นในตอนที่ตันหงอี้หลับอยู่ในห้องหนังสือ นางจึงปีนข้ามหน้าต่างเข้าไปหาพี่ชาย

อาศัยแสงดาวและแสงจันทร์กวาดตามองภายในห้อง ก็เห็นกระดาษกระจัดกระจายอยู่บนพื้นและบนโต๊ะ เมื่อเก็บขึ้นมาดูก็พบว่ากระดาษขาวราวหิมะนั้นเต็มไปด้วยตัวอักษรที่อ่านได้ว่า ‘เสวี่ยเจียเยว่’

บางตัวถูกเขียนอย่างแรงจนพู่กันทะลุไปด้านหลัง ราวกับว่าเมื่อคิดถึงคนผู้นี้เขาจะกัดฟันกรอดในทันที หัวใจเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ทว่าบางตัวกลับเขียนอย่างนุ่มนวลดั่งปุยนุ่น ราวกับว่าหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรักอันลึกซึ้ง

ตันอวี้ฉาตะลึงงันไปชั่วขณะ

ตอนนั้นนางยังชอบเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ และเพิ่งสารภาพความในใจของนางให้เขาได้รับรู้ แต่ก็ถูกเขาปฏิเสธอย่างไร้ความปรานี แม้ว่านางจะเสียใจ แต่เมื่อคิดดูแล้ว ตันหงอี้ดูเหมือนจะเสียใจมากกว่านางเสียอีก

พี่ชายของนางชอบเสวี่ยเจียเยว่มากขนาดนี้เชียวหรือ

นางรู้สึกตกใจไม่น้อย จากนั้นก็ได้ยินเสียงเคร่งขรึมของตันหงอี้ดังขึ้นอย่างฉับพลันท่ามกลางความมืด

“เจ้าเข้ามาได้อย่างไร”

ตันอวี้ฉาตกใจจนสะดุ้งโหยง เมื่อนางรีบหันไปมอง ก็พบว่าตันหงอี้กำลังยืนอยู่ข้างๆ ฉากกั้น ใบหน้าซีดเผือด ร่างกายซูบผอม ในขณะที่เขากำลังเดินเข้ามาใกล้นั้น นางเห็นชุดของเขาเต็มไปด้วยรอยยับยู่ยี่ แขนเสื้อก็มีรอยน้ำหมึก ผมปล่อยสยายไม่ได้รวบตึง อีกทั้งใต้คางยังเต็มไปด้วยเคราสีดำ

เมื่อเห็นสภาพของเขาเช่นนี้ ตันอวี้ฉาก็รู้สึกแสบจมูกขึ้นมาทันที

นางรู้ว่าตันหงอี้เป็นคนที่ให้ความสำคัญแก่ภาพลักษณ์ภายนอกของตน ในทุกวันเขาจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดีและรู้สึกสดชื่นตลอดเวลา เสื้อผ้าหากมีรอยยับแม้แต่รอยเดียวเขาจะไม่สวม

แต่ตอนนี้…

นางสูดจมูกด้วยความเสียใจก่อนเอ่ยถาม “ท่านพี่ชอบเสวี่ยเจียเยว่ถึงเพียงนี้เลยหรือ”

ตันหงอี้ไม่ตอบนาง เพียงเดินไปหยิบกระดาษที่มีชื่อของเสวี่ยเจียเยว่ในมือน้องสาว และก้มตัวลงหยิบกระดาษที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาทีละแผ่น

เมื่อตันอวี้ฉามองแผ่นหลังอันซูบผอมของเขา นางก็อดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ “ในเมื่อท่านชอบเสวี่ยเจียเยว่ขนาดนี้ ไยไม่บอกท่านแม่ให้ชัดเจนเล่า ขอให้แม่สื่อไปเจรจาสู่ขอที่เรือนนาง เหตุใดท่านต้องทรมานตัวเองถึงเพียงนี้”

มือของตันหงอี้ที่กำลังเก็บกระดาษหยุดชะงัก ก่อนจะเก็บกระดาษต่ออย่างช้าๆ ไม่นานนักเสียงแหบแห้งของเขาก็ดังขึ้น

“นางบอกว่ามีคู่หมายแล้ว”

ตันอวี้ฉาตะลึงงัน จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “แล้วเกี่ยวอันใดกัน หากท่านพี่ชอบนางจริงๆ ก็สามารถนำเงินก้อนใหญ่ไปมอบให้คู่หมายผู้นั้นของนางได้ กองเงินเอาไว้ตรงหน้าของชายผู้นั้น ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ถอนหมั้น เมื่อเขาถอนหมั้นแล้ว ท่านพี่ก็ขอให้คนไปเจรจาสู่ขอเสวี่ยเจียเยว่ได้”

เมื่อสิ้นประโยคนั้น ตันอวี้ฉาก็พบว่าตันหงอี้ลุกพรวดพราดขึ้นมามองนาง ดวงตาของเขาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ

“ในใต้หล้านี้ใช่ว่าเงินจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง หากมีเงินแล้วสามารถซื้อทุกอย่างได้ เช่นนั้นข้าก็ยินดีจะให้ทั้งหมดที่ข้ามี ขอแค่นางชอบข้าและแต่งงานกับข้า แต่มันเป็นไปไม่ได้…มันเป็นไปไม่ได้”

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาก็เศร้าหมองลง หากฟังดูดีๆ จะเหมือนมีเสียงสะอื้นปนเล็กน้อย

[1] หมายถึง สถานที่สอบคัดเลือกขุนนางในสมัยโบราณ