บทที่ 133 เรื่องแต่งงาน

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่งร้อยสามสิบสาม

เรื่องแต่งงาน

เมื่อตันอวี้ฉาเห็นตันหงอี้เสียใจจนมีสภาพเช่นนี้ จึงเอ่ยเรียกเขาว่า “ท่านพี่” ด้วยเสียงปนสะอื้น

จากนั้นก็เห็นตันหงอี้โบกมือให้นาง พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “เจ้าออกไปเถอะ เรื่องนี้เจ้าอย่าไปบอกใคร โดยเฉพาะท่านพ่อกับท่านแม่ ข้ารู้ว่าพวกเขาเป็นห่วงข้า ไว้ข้าจะพูดกับพวกเขาตอนข้าออกไป บอกเพียงว่าพรุ่งนี้ข้าจะไปสำนักศึกษา บอกพวกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วงข้า”

ตันอวี้ฉาจนปัญญาจึงทำได้เพียงจากไปด้วยความไม่สบายใจเท่าไรนัก จากนั้นก็ถ่ายทอดประโยคของตันหงอี้ให้บิดากับมารดาฟัง

เช้าวันต่อมา นางได้ยินเสียงบ่าวรับใช้บอกว่าคุณชายใหญ่ออกมาจากห้องหนังสือแล้ว และตอนนี้กำลังกินอาหารเช้ากับนายท่านและฮูหยินที่โถงด้านหน้า

นางรีบวิ่งออกมาดู ก็เห็นว่าตันหงอี้กำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะ

ผมของเขาถูกรวบเป็นมวยอย่างเรียบร้อย หนวดเคราถูกโกนออกไปแล้ว เสื้อผ้าก็เปลี่ยนเป็นชุดใหม่ มีเพียงใบหน้าที่ยังคงซูบตอบเล็กน้อย แม้ว่าจะยังเป็นตันหงอี้คนเดิม แต่ตันอวี้ฉารู้ดีว่าพี่ชายของนางอาจไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว

และแน่นอนว่าหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ได้ยินบิดามารดาเอ่ยอยู่บ่อยๆ ว่าตันหงอี้พูดน้อยกว่าเมื่อก่อน นิสัยก็ดูเหมือนจะสุขุมไม่น้อย ไม่ว่าทำเรื่องอะไรก็ใจเย็น พวกเขารู้สึกดีใจกับการเปลี่ยนแปลงของเขายิ่งนัก คิดว่าในที่สุดตันหงอี้ก็เติบโตและรู้ความแล้ว ในภายภาคหน้าก็สามารถมอบกิจการของตระกูลให้เขาได้อย่างสบายใจ

ตันอวี้ฉารู้ดีว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่นางไม่รู้ว่าจะบอกเรื่องนี้แก่คนอื่นอย่างไร ได้แต่เก็บไว้ในใจเท่านั้น หลังจากนั้นเมื่อนางไม่มีอะไรทำก็จะไปพูดคุยเรื่องนี้กับตันหงอี้ ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องจึงดีขึ้นไม่น้อย

เหมือนอย่างในตอนนี้ เมื่อนางเห็นตันหงอี้มองตามแผ่นหลังของเสวี่ยเจียเยว่ด้วยแววตาเจ็บปวดและคิดจะต่อสู้ ตันอวี้ฉาจึงเอ่ยเบาๆ

“ท่านพี่ ฟ้ามืดแล้ว พวกเราควรกลับได้แล้วนะเจ้าคะ”

หากเป็นในอดีต นางไม่มีทางกล่าวเช่นนี้กับพี่ชายเด็ดขาด แต่ตอนนี้เพราะเข้าใจทุกอย่าง ดังนั้นนางจึงรู้สึกเห็นใจเขา

ตันอวี้ฉายิ้มในใจอย่างขมขื่น เหตุใดพวกเขาสองพี่น้องถึงต้องถูกทำร้ายด้วยน้ำมือของพี่น้องตระกูลเสวี่ยในเวลาเดียวกัน นางยังโชคดีที่เสียใจไม่กี่วันก็ค่อยๆ ดีขึ้นแล้วเดินออกมาได้ ตอนนี้เรื่องแต่งงานก็ถูกกำหนดไว้แล้ว รอแค่ต้นฤดูใบไม้ผลิมาถึง การแต่งงานของนางกับบุตรชายคนเล็กของจือฝู่ก็จะเกิดขึ้น แต่ดูจากสภาพของตันหงอี้ในตอนนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะเดินออกมาได้เมื่อไร…

ตันหงอี้ไม่ได้กล่าวอันใด เพียงเก็บสายตาและความเจ็บปวดกลับมา ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากตรอกโดยไม่พูดไม่จา

ขณะที่เดินออกไป เขาก็รู้สึกแปลกใจกับภาพที่เห็นเมื่อครู่นี้…

เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบปี ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ก็อายุสิบสี่ปีแล้ว ต่อให้พี่น้องสนิทกันมากขนาดไหนในอดีต ตอนนี้ก็ต้องห่างกันเสียหน่อยเพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัยมิใช่หรือ เหตุใดความสัมพันธ์ของทั้งสองกลับไม่มีทีท่าว่าจะห่างกันสักนิด กลับกัน… การกระทำและคำพูดของพวกเขาดูใกล้ชิดกันยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก

จู่ๆ เขาก็นึกถึงคู่หมายที่เสวี่ยเจียเยว่เคยบอกก่อนหน้านี้ แต่ทำไมถึงไม่เคยได้ยินคนเอ่ยถึงเรื่องที่เด็กสาวจะแต่งงาน

การแต่งงานคือเรื่องจริง หรือเสวี่ยเจียเยว่กำลังโกหกเขา หากเด็กสาวโกหกเขาละก็…

เมื่อตันหงอี้คิดมาถึงตรงนี้ หัวใจก็พลันเต้นรัวอย่างรุนแรง รู้สึกเพียงว่าความตื่นเต้นพลุ่งพล่านขึ้นมาเต็มหัวใจ มือเริ่มสั่นเทาอย่างอดไม่ได้ แต่แล้วก็นึกถึงเรื่องที่เสวี่ยเจียเยว่ไม่อยากให้เขาไปยุ่งวุ่นวายอีก กระทั่งใช้คำพูดนั้นมาโกหกเขาโดยไม่สนใจชื่อเสียงของตน เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเบื่อหน่ายเขายิ่งนัก

ความเสียใจและอ้างว้างถาโถมเข้ามาในหัวใจของชายหนุ่ม เขาไม่กล่าวอันใด เพียงเดินกลับเรือนไปอย่างเงียบๆ

เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งเดินทางกลับเรือนด้วยกัน แม้ว่าสีหน้าของชายหนุ่มจะยังดูดี เดินพูดคุยกับเด็กสาวอย่างสนิทสนมไปตลอดทาง แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้ว่าเขาต้องเหนื่อยล้าจากการสอบติดต่อกันเป็นเวลานาน เมื่อกลับมาถึงเรือนเธอจึงตั้งใจทำกับข้าวให้เขากินหลายอย่าง หลังจากกินเสร็จเธอก็เร่งให้เขาไปล้างหน้าบ้วนปาก จากนั้นจึงบอกให้เขารีบเข้าห้องไปพักผ่อน

หลายวันมานี้เสวี่ยเจียเยว่กังวลมาโดยตลอด จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อบอกให้เสวี่ยหยวนจิ้งเข้าไปนอนแล้ว เธอก็ทำความสะอาดเรือนครู่หนึ่ง ก่อนจะไปล้างหน้าบ้วนปากและเข้านอน

เธอนอนหลับไม่สนิทมาหลายวัน มักจะตื่นขึ้นมากลางดึก เมื่อหัวถึงหมอนในวันนี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็นอนหลับสนิทเป็นอย่างดี

ทว่าเมื่อถึงกลางดึก จู่ๆ เธอก็ตกใจตื่นเพราะได้ยินเสียงคนเดินอยู่หน้าห้อง เธอรีบลุกขึ้นนั่งและถามว่าใคร จากนั้นก็ได้ยินเสียงเสวี่ยหยวนจิ้งดังขึ้น

“ข้าเอง”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็วางใจ แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเปิดม่านออกไป เพียงเอ่ยถามเขาเท่านั้น

“ท่านพี่ มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”

จากนั้นก็ได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยตอบ “ข้ารู้สึกไม่สบาย”

เสวี่ยเจียเยว่ตกใจจนต้องรีบสวมเสื้อคลุมตัวนอก และรีบลงจากเตียงไปเปิดม่าน ก่อนจะเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งยืนรออยู่

เธอรีบเอ่ยถามทันที “ท่านพี่ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ ไม่สบายตรงไหนหรือเจ้าคะ”

ในห้องมีเพียงแสงจันทร์รางๆ ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำให้เธอเห็นใบหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ชัดเท่าไรนัก ในขณะที่กำลังจะเดินไปหยิบตะบันไฟมาจุดเทียน เธอก็ตกอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของชายหนุ่ม โดยที่เขาโอบกอดเธอจากด้านหลัง

“ข้าไม่ได้เป็นอะไร” เสวี่ยหยวนจิ้งก้มหน้าลงไปซุกข้างลำคอของเสวี่ยเจียเยว่ และจูบเบาๆ ที่ใบหูเล็ก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

“ข้าคิดถึงแต่เจ้า นอนไม่หลับ อยากจะมาดูเจ้าสักหน่อย”

ใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่แดงเรื่ออย่างฉับพลัน แต่หลังจากนั้นเธอก็ตั้งสติและกล่าวออกมา“ตอนนี้เห็นข้าแล้วก็กลับไปนอนได้แล้วกระมัง”

“ไม่” เสวี่ยหยวนจิ้งส่ายหน้า “ข้าไม่อยากกลับ ข้านอนคนเดียวแล้วไม่หลับ อยากนอนกับเจ้า”

เสวี่ยเจียเยว่ตกใจจนหน้าถอดสี หัวใจที่เคยเต้นอย่างมั่นคงกลับมาเต้นรัวอีกครั้ง

เขา… เขาอยากนอนกับเธออย่างนั้นหรือ เขาคิดจะทำอะไร ความสัมพันธ์ของพวกเขาในตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นที่จะนอนด้วยกันได้เสียหน่อย

ใจหนึ่งตื่นเต้นมิใช่น้อย อีกใจก็รู้สึกหวาดกลัว ดังนั้นเธอจึงเอ่ยเสียงสั่นด้วยความประหม่า “ข้าไม่อยากนอนกับท่าน ท่านรีบกลับไปเถอะ”

แต่เสวี่ยหยวนจิ้งยืนนิ่งไม่ไหวติง หยุดจูบติ่งหูขาวราวหยกของเสวี่ยเจียเยว่อย่างฉับพลัน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นขบเบาๆ

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกเสียวที่ติ่งหูของตน ในชั่วพริบตาความรู้สึกนั้นก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย แม้แต่หัวใจของเธอยังอ่อนระทวย จนต้องครางออกมาเสียงเบาอย่างห้ามไม่ได้ อีกทั้งขาที่เคยแข็งแกร่งยังอ่อนแรงลง

สำหรับเสวี่ยหยวนจิ้งแล้ว ไม่ว่าการกระทำใดๆ ของเสวี่ยเจียเยว่ในตอนนี้ล้วนยั่วยวนหัวใจเขายิ่งนัก ยิ่งได้ยินเสียงครางเบาๆ เหมือนแมวน้อยเช่นนี้ แล้วจะให้เขารู้สึกอย่างไร

ความตื่นเต้นพลันปะทุขึ้นมาในหัวใจของเขา ก่อนจะขบติ่งหูเล็กแรงขึ้น และเพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายดิ้นขัดขืน เขาจึงใช้แขนขวาโอบลำตัวช่วงอกของเสวี่ยเจียเยว่เอาไว้ ส่วนแขนซ้ายก็โอบเอวบางเอาไว้แน่น

เขาสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มที่อยู่ใต้แขนขวา เมื่อสองปีก่อนส่วนนั้นยังเพิ่งตูมตึง ไม่คิดว่าตอนนี้จะเริ่มผลิบานแล้ว

เสวี่ยเจียเยว่ตกใจจนต้องรีบเอ่ยเรียก “ท่านพี่ ท่านจะทำอะไร ท่าน…”

พูดยังไม่ทันจบ ริมฝีปากเธอก็ถูกปิดแน่นด้วยปากของเสวี่ยหยวนจิ้ง คำที่เหลือนั้นกลายเป็นเสียงอู้อี้ดังอยู่ในลำคอ

ตั้งแต่ทั้งสองคนเปิดเผยความรู้สึกของตนออกมาในวันนั้น ทุกครั้งจูบของเสวี่ยหยวนจิ้งจะรุนแรง แต่หลังจากความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มชัดเจนขึ้น จูบของเขาก็ค่อยๆ อ่อนโยน เสวี่ยเจียเยว่เริ่มคุ้นเคยกับจูบอ่อนโยนเช่นนั้น แต่คืนนี้จูบของเสวี่ยหยวนจิ้งกลับรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง และมากกว่าหลายครั้งที่ผ่านมา

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกเจ็บปลายลิ้นที่เสวี่ยหยวนจิ้งดูดกลืน ดูเหมือนเขาไม่คิดจะหยุดพักเลยสักนิด เอาแต่กอดรัดฟัดเหวี่ยงเธออยู่เช่นนี้

เธอทั้งอาย โกรธ และกลัว เมื่อคิดจะผลักเสวี่ยหยวนจิ้งออกไป ก็ถูกเขากอดเอาไว้แน่น จะดิ้นให้หลุดคงเป็นเรื่องยากแล้ว เธอไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้เลย

กลางดึกที่เงียบสงัดอย่างในยามนี้ มองอย่างไรก็เหมาะแก่การทำเรื่องเช่นนั้น แต่เสวี่ยเจียเยว่ยังไม่ได้เตรียมใจให้พร้อม และเสวี่ยหยวนจิ้งก็ทำราวกับไร้สติสัมปชัญญะไปแล้ว เหมือนว่าอีกไม่นานเขาจะกลายร่างเป็นหมาป่าเสียอย่างนั้น แล้วจะไม่ให้เสวี่ยเจียเยว่หวาดกลัวได้อย่างไร ในเมื่อร่างของเธอถูกควบคุมเอาไว้แน่นหนา จะทำอะไรก็ไม่ได้ ด้วยความหวาดกลัว… น้ำตาของเธอจึงไหลพรากลงมาพร้อมเสียงสะอึกสะอื้น

เสียงร้องไห้ของเสวี่ยเจียเยว่นั้นราวกับฟ้าผ่าลงกลางใจเสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่ปาน เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายในทันที

แสงจันทร์รางๆ ที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้มองเห็นน้ำตานองใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ เด็กสาวร้องไห้จนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ไหล่ทั้งสองข้างก็สั่นเทาไม่หยุด

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าตนทำให้แม่นางผู้นี้ตกใจ จึงรีบจูบลงที่หน้าผากเนียน ก่อนจะเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“อย่ากลัวไปเลย เยว่เอ๋อร์ เจ้าอย่ากลัวข้าเลย ข้าคือท่านพี่ของเจ้า”

เขาดึงผ้าห่มบนเตียงขึ้นมาพันรอบตัวเสวี่ยเจียเยว่ที่อยู่ในชุดยับยู่ยี่ จากนั้นก็โอบกอดอีกฝ่ายโดยมีผ้าห่มกั้นเอาไว้ พร้อมกับเอ่ยปลอบโยนไม่หยุด

ปลอบอยู่พักใหญ่ถึงได้เห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่หยุดร้องไห้แล้ว ความหวาดกลัวในแววตาของเด็กสาวค่อยๆ จางลง

“เสวี่ยหยวนจิ้ง…” แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะไม่หวาดกลัวเท่าเมื่อครู่นี้แล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกน้อยใจ จึงยกขาขึ้นเตะเขาผ่านผ้าห่มที่พันตัวอย่างอดไม่ได้ พร้อมกับกัดฟันกล่าวอย่างเดือดดาล “เจ้ามันเลว”

เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มขมขื่นอยู่ในใจ เดิมทีเขาเพียงตื่นขึ้นมากลางดึก เมื่อคิดว่าไม่ได้พบหน้าเสวี่ยเจียเยว่หลายวัน จึงอยากมาดูเด็กสาวอย่างห้ามใจไม่ได้ อยากจะกอดอีกฝ่ายเพียงเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าอีกแค่นิดเดียวเขาก็จะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว

“ข้าไม่ดีเอง” เขาจูบซับน้ำตาบนใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ “ข้าผิดไปแล้ว ไม่ควรรีบร้อนเช่นนั้น ครั้งหน้าข้าจะอ่อนโยนกับเจ้ากว่านี้ เช่นนั้นเจ้าก็อย่ากลัวข้าเลย”

ยังจะมีครั้งหน้าอีกหรือ… เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น ความโกรธในใจก็ทวีคูณขึ้น จึงอดที่จะเตะเขาอีกครั้งด้วยแรงที่มากกว่าเดิมไม่ได้

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่คิดจะหลบ ปล่อยให้แม่นางน้อยเตะเช่นนั้น เมื่ออีกฝ่ายเตะจนพอใจ เขาจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “หายโกรธหรือยัง”

เมื่อกล่าวจบก็ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากของเด็กสาว “หากยังไม่หายโกรธ ก็กัดข้าเลย”

เหตุใดเธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาเป็นคนหน้าหนาเพียงนี้

เสวี่ยเจียเยว่จ้องมองเขาด้วยแววตาดุดัน แต่เสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่รู้สึกละอายสักนิด ตรงกันข้าม เขากลับมองว่าท่าทางเกรี้ยวกราดของอีกฝ่ายช่างน่าขันนัก จนอดที่จะก้มหน้าลงจูบริมฝีปากแดงเรื่อไม่ได้ และกล่าวด้วยเสียงปนหัวเราะแหบแห้ง “เยว่เอ๋อร์ของข้า”

เสวี่ยเจียเยว่เบือนหน้าหนีไม่สนใจเขาพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ท่านยังไม่กลับไปนอนอีกหรือ ข้าง่วงแล้ว ข้าจะนอน ท่านรีบกลับไปเถอะ”

เธอนอนไม่ค่อยหลับในช่วงหลายวันที่ผ่านมา คืนนี้เพิ่งได้หลับสนิท คิดไม่ถึงว่าจะถูกเสวี่ยหยวนจิ้งรบกวนเช่นนี้ จึงรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย และไม่คิดจะปกปิดเจตนาที่จะไล่เขาออกไป

เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มบาง แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหน เขาก้มหน้าลงจูบแก้มแดงเรื่อที่เต็มไปด้วยน้ำตา จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมา

“ข้าไม่รีบ ข้ายังมีเรื่องต้องปรึกษาเจ้า”

เมื่อได้ยินเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นนี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็หันไปเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “เรื่องอะไร”

รอยยิ้มชวนหลงใหลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้ง ก่อนที่เขาจะเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “เยว่เอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าเองก็โตแล้ว คิดจะแต่งงานกับข้าเมื่อไร ข้าตั้งหน้าตั้งตารอจนกระทั่งถึงวันนี้ ไม่รู้ว่าเจ้าคิดอย่างไร”