เฉิงเจียวเหนียงรักษาโรคได้สามวันแล้ว ในเรือนของเฉิงเจียวเหนียงก็ยังคงมีผู้คนมากมายดั่งเช่นทุกวัน
ฮูหยินคนหนึ่งแหวกม่านเดินออกมา คนอื่นที่นั่งอยู่ในห้องก็รีบลุกขึ้นมา
“เป็นอย่างไรบ้าง นายหญิงเฉิงจัดยาให้หรือไม่” ทุกคนรีบเอ่ยถาม
ฮูหยินคนนั้นส่ายหน้าด้วยความไม่เข้าใจ
ทุกคน ณ ที่นั้นมองหน้ากัน ในตาเต็มไปด้วยความสับสน
“ไม่จัดยาให้อีกแล้วหรือ แล้วว่าอย่างไรเล่า” คนหนึ่งรีบเอ่ยถามขึ้น
ฮูหยินคนนั้นส่ายหน้าอีก
“เป็นเช่นนี้อีกแล้วหรือ” ทุกคนพูดคุยกันโหวกเหวก “นี่…นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน”
หลายวันมานี้ ทุกคนต่างก็ได้พบกับนายหญิงเฉิงตามปรารถนา อีกยังพูดถึงเรื่องที่ตนจะให้ดูอาการให้อย่างพอใจ ไม่ว่าจะเรื่องลูกชายลูกสาวสามีหรือญาติคนอื่นๆ นายหญิงเฉิงก็รับฟังอย่างเงียบๆ ให้พวกนางได้พูดรายละเอียดมา ท่าทางฟังอย่างตั้งใจแต่สุดท้ายกลับไม่ได้พูดอะไรเลย
ไม่จัดยาให้ไม่บอกชื่อโรค ถือเป็นการตรวจรักษาโรคได้อย่างไร หรือแค่มาฟังพวกนางพูดคุยเรื่องสัพเพเหระหรือ
คนในที่นั้นต่างก็กระวนกระวายกัน
“มีฮูหยินท่านใดอยากสอบถามอาการอีกหรือไม่” สาวใช้เปิดม่านออกมาถาม
เมื่อเห็นสาวใช้ ฮูหยินคนหนึ่งลุกขึ้นมา
“ข้าจะไปถามนาง” นางกล่าวแล้วทำท่าทางว่าอย่าเพิ่งร้อนรนไปกับทุกคน “ข้าถามนางตรงๆ ดูว่านางจะพูดอย่างไร”
ทุกคนพยักหน้า ด้วยความที่ทุกคนต่างก็เป็นฮูหยินสูงศักดิ์จึงทำตามขนบธรรมเนียม และเห็นว่านายหญิงเฉิงผู้นี้ทำตามจรรยาบรรณของแพทย์ ฉะนั้นถึงแม้หลายวันมานี้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยปากถามไถ่
แต่ดูเหมือนจะไม่ถามไม่ได้แล้ว
ฮูหยินผู้นั้นเดินเข้าห้องปีกไป เห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเตี้ยท่าทางเหมือนกำลังอ่านหนังสืออยู่ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเด็กสาว
นางนั่งลงแล้วคำนับซึ่งกันและกัน
“มีอาการอย่างไร อายุผู้ป่วย เล่ามาให้ข้าฟัง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยปากถามอย่างตรงไปตรงมา
ฮูหยินผู้นั้นก็รู้กฎธรรมเนียมแล้ว จึงได้เล่าอย่างตั้งใจ พอพูดจบเห็นว่าตาของหญิงสาวผู้นี้ยังคงดูหนังสืออยู่ ไม่รู้ว่าได้ยินหรือไม่
ในห้องเงียบไปสักพัก
“ฮูหยินเล่าจบแล้วหรือ” สาวใช้เอ่ยถาม
ฮูหยินพยักหน้า แล้วมองดูเฉิงเจียวเหนียง
เฉิงเจียวเหนียงก้มหน้าคำนับเล็กน้อย
“ฮูหยินเชิญเจ้าค่ะ” สาวใช้รีบลุกขึ้นนำทาง
คราวนี้ฮูหยินท่านนี้ไม่ได้ตามออกไปโดยดี แต่นั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้น
“นายหญิงเฉิง” นางเอ่ยถาม “สามีข้าต้องใช้ยาอะไรกันแน่หรือ”
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นมองนาง
“ข้า ไม่รู้” นางกล่าว
ฮูหยินชะงักงัน นึกว่าตนเองฟังผิดไป
“นายหญิง นายหญิงว่าอย่างไรนะ” นางเอ่ยถาม
“อาการป่วยของสามีท่าน ข้าไม่รักษา ฉะนั้นจึงไม่รู้ว่าจะใช้ยาอะไรรักษา” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
นี่มันหมายความว่าอย่างไร
ฮูหยินผู้นั้นจ้องตาเขม็งสีหน้าตกตะลึง
เมื่อได้ยินข่าวคราว คนนอกห้องทั้งหมดต่างก็ทะลักเข้ามาล้อมเฉิงเจียวเหนียงแล้วซักไซ้กันอย่างวุ่นวาย เฉิงเจียวเหนียงก็ตอบว่าตนไม่รักษาจริงๆ
“แม่นาง แล้วหลายวันมานี้ เจ้า…เจ้าปั่นหัวพวกข้าเล่นหรือ”
“นั่นสิ นั่นสิ…เจ้าเป็นหมอเทวดามิใช่หรือ”
“ทำไมเจ้าถึงรักษาไม่ได้เล่า โรคพวกนี้ก็ไม่ได้พบเห็นยากเสียเมื่อไรนี่”
ในห้องเต็มไปด้วยเสียงสอบถามกันอย่างกระวนกระวาย
เฉิงเจียวเหนียงก็ยังคงนั่งอย่างสงบหน้าโต๊ะเตี้ย ถือหนังสือของตนอย่างเชื่องช้า
“นี่เป็นกฎนี่เจ้าคะ” สาวใช้ตะโกนดังกลบเสียงสอบถามของทุกคน
“กฎหรือ ใช่ กฎของเจ้าคือไม่ออกบ้านรักษาให้ พวกข้าก็มาแล้ว เจ้ายังจะให้พวกข้าทำเช่นไรอีก” ไม่พูดยังพอว่า พอพูดถึงเรื่องนี้ เมื่อนึกถึงว่าหลายวันมานี้ต้องมารอที่นี่อย่างร้อนใจแล้ว ฮูหยินคนหนึ่งก็โมโหจนตะโกนออกมา
“นั่นสิ นายหญิงของข้าจะรับรักษาโรคนั้นมีกฎอยู่ พวกท่านก็รู้มิใช่หรือ” สาวใช้ก็ถามกลับอย่างประหลาดใจ “นี่เป็นกฎข้อหนึ่งในนั้นนี่เจ้าคะ”
ข้อหนึ่งหรือ ยังมีข้อสองหรือ
ทุกคนต่างก็ตะลึงไปแล้วมองหน้ากัน
“ข้อสองคืออะไรหรือ” มีคนเอ่ยถาม
สาวใช้ไม่ได้พูดอะไร เฉิงเจียวเหนียงลุกขึ้นมา ดวงตากลมโตใต้หน้าม้าและคิ้วตรงเรียวเล็กนั้นกวาดมองทุกคน
“คนที่ ไม่ถึงตาย ไม่รักษาให้” นางพูดขึ้นมา
ทุกคนตกตะลึง ความโกลาหลก่อตัวขึ้นมาทันใด
คนที่ไม่ถึงตาย ไม่รักษาให้อย่างนั้นหรือ
ล้อเล่นอะไรกัน
บ้าไปแล้วหรือ
เหล่าฮูหยินสูงศักดิ์เต็มเรือนทะลักเข้ามาในเรือนฮูหยินโจวดั่งน้ำไหลหลาก
ตอนแรกก็มาขอพบด้วยความอยากรู้ พอไม่ได้พบก็กลับไปอย่างผิดหวัง ต่อมาก็บอกว่ารับการสอบถามอาการอย่างกระทันหัน ท่าทีก็ดีเสียด้วย ก็ดีใจขึ้นขึ้นมาชั่วขณะ จึงมาที่นี่อย่างคึกคัก หญิงผู้นี้ยังบอกอีกว่าวันหนึ่งรับแค่ห้าหกคน ทุกคนต่างก็รอกันอย่างดีใจและกระวนกระวายใจ สุดท้ายตอนนี้จู่ๆ กลับมาบอกว่าคนที่ไม่ถึงตายไม่รับรักษา!
นั่นก็หมายความว่า หลายวันมานี้ที่พวกนางทำไปนั้นสูญเปล่า!
ผิดหวัง ประหลาดใจ ดีใจ กระวนกระวายใจแล้วก็ผิดหวังอีก นี่กำลังปั่นหัวพวกนางอยู่สินะ
ภายในห้องวุ่นวายเสียแทบจะถล่มลงมา เหล่าฮูหยินที่ท่าทีสง่างามกันมาตลอด เมื่อผ่านเรื่องราวที่ทำให้อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เช่นนี้ ก็โมโหจนระเบิดออกมา
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“ข้าเรียกเจ้าว่าพี่สาว มีพี่สาวที่ไหนทำกับน้องสาวเช่นนี้กัน”
“คังจิ่วเหนียง พวกเราเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เล็กจนโต เจ้า…ตอนนี้เจ้าสนิทชิดเชื้อกับบ้านอำมาตย์เฉินแล้ว ข้าก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเจ้าแล้วใช่หรือไม่…”
“จะมีผู้ใดที่รังแกคนอื่นเช่นเจ้าอีก”
ฮูหยินโจวเพิ่งจะกินยาแล้วหลับไป เห็นมีคนพุ่งเข้ามาหาทั้งตะโกนทั้งว่ากล่าวมากมายเพียงนี้ หัวสมองก็วุ่นวายไปหมด
เกิดอะไรขึ้น
เกิดอะไรขึ้น
วุ่นวายได้พักใหญ่จึงถามไถ่ได้ความจากฮูหยินที่กำลังโกรธอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น ฮูหยินโจวก็ชะงักไป
“ล้อเล่นอะไรกัน…” นางลุกพูดพลางลุกขึ้นยืน
“นั่นสิ เจ้าล้อพวกข้าเล่นอะไร วันปีใหม่แท้ๆ สนุกนักหรือไร” ฮูหยินคนหนึ่งพูดด้วยความเกรี้ยวกราด
“มันเกี่ยวอะไรกับข้า” ฮูหยินโจวยื่นมือมากุมหน้าอก
“ลูกสาวบ้านพวกเจ้า ไม่เกี่ยวกับเจ้าแล้วเกี่ยวกับพวกข้าหรือ” ฮูหยินอีกคนรีบตอบกลับ
ดูสิดู ยกยอปอปั้นแต่เด็กคนนั้น พอเกิดเรื่องก็ให้นางมาแบกรับ
ฮูหยินโจวกุมหน้าอกไอโขลก
“นางไม่รักษา พวกเจ้าไปหานางสิ มาโมโหกับข้าทำไม” นางกล่าวอย่างโมโห
“ในเมื่อมีกฎ ก็ไม่บอกให้ชัดเจนแต่แรก เจ้าจงใจให้พวกข้าเป็นตัวตลก!” เหล่าฮูหยินก็กล่าวอย่างโมโห
กฎอะไร ฮูหยินโจวหัวสมองอื้ออึงไปหมด เมื่อได้ฟังแล้วก็ยิ่งงงงวยไปกันใหญ่
คนไม่ถึงตาย ไม่รักษาให้หรือ
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้” นางรีบกล่าว
ทว่าเวลานี้เหล่าฮูหยินที่กำลังโมโหอยู่ต่างก็ไม่ยอมรับฟัง
“เช่นนั้นก็เถอะ พวกเจ้าเก่งนักนี่ พวกเจ้าพูดอะไรก็ถือเป็นคำขาด พวกข้าก็แค่มาให้พวกเจ้าปั่นหัวเล่น สมน้ำหน้าดีนี่” เหล่าฮูหยินกล่าวอย่างโมโห ไม่ฟังคำพูดของฮูหยินโจวอีกแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป
ฮูหยินโจวยื่นมือจะรั้งไว้แต่ก็ไม่รู้จะรั้งคนไหนดี นางไอไม่หยุด สุดท้ายก็ยื่นมือมากุมหน้าอก
“รีบเรียกนายท่านกลับมา เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” นางตะโกนกล่าวแล้วล้มตัวลงนั่งบนเบาะ
ขณะเดียวกับที่รถม้าหน้าประตูบ้านตระกูลโจวนั้นวิ่งออกไปกัน คำพูดเหิมเกริมเหมือนคำพูดคนบ้านั้นก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วดั่งสายน้ำหลาก
ในเดือนแรกของปีเป็นเวลาที่คนเดินทางไปมาหาสู่กันมากที่สุดพอดี ไม่ว่าในเรือน ในห้องของแต่ละบ้าน ทำให้ข่าวลือต่างๆ แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวางกว่าปกติ
ถึงแม้จะรักษาท่านพ่อของอำมาตย์เฉินจนหายได้ อีกยังมีข่าวลือว่าได้พบเซียนอยู่ก่อนหน้า ก็มิอาจต้านทานคำพูดเหิมเกริมนี้ได้
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้มีคนได้พบเฉิงเจียวเหนียงมากขึ้นแล้ว เป็นเพียงสาวอายุน้อยแท้ๆ ถึงแม้รูปลักษณ์จะไม่เหมือนคนสติไม่สมประกอบ แต่ก็ไม่ถือว่าฉลาดนัก
ไม่เคยเรียนการแพทย์มา กล้าพูดคำพูดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
เรื่องเทวดาและเวทย์คาถาให้เหล่าชาวบ้านฟังไปพูดไปพอให้คึกคักสนุกสนานก็พอแล้ว บ้านตระกูลใหญ่ขุนนางชั้นสูงไม่ค่อยบูชาผีสางเทวดา
“บ้านโจวแห่งส่านโจวอยากมีชื่อจนบ้าไปแล้วละสิ!”
“รักษาหายเพียงคนเดียว บ้านตระกูลโจวก็เหิมเกริมเช่นนี้”
“พูดถึงแช่โจวแห่งส่านโจวก็เรียกมาตั้งนานแล้ว หลายปีมานี้ก็ไม่ได้มีการพัฒนาอะไร ควรจะเปลี่ยนชื่อได้แล้ว อย่างเช่น…”
“อย่างเช่นคนบ้าแซ่โจวหรือ”
“ฮ่าๆ…”
นายใหญ่โจวผลักโต๊ะเตี้ยตรงหน้าล้มระเนระนาด แม่นมสาวใช้ทั้งในห้องนอกห้องหดหัวไม่กล้าพูด
ในห้องมีเสียงไออย่างรุนแรงมากขึ้นของฮูหยินโจวลอยมา
“ข้าบอกแล้ว ข้าบอกแล้ว ท่านก็ไม่เชื่อ…” นางตะโกนเสียงสั่นเครือ “นางตั้งใจจะทำลายบ้านตระกูลโจวของเรา! อยู่เมืองหลวงต่อไปไม่ได้แล้ว!”
พูดพลางเร่งเร้าแม่นมไปพลาง
“เก็บของ เก็บของ รีบไป กลับส่านโจว”
เหล่าแม่นมไม่กล้าไปเก็บของจริงๆ คุกเข่าอยู่บนพื้นทั้งปลอบทั้งหว่านล้อม
“นางยังเห็นที่นี่เป็นบ้านอยู่หรือไม่” นายใหญ่โจวตะโกนแล้วเตะแท่นดอกไม้จนล้ม
“ท่านนึกว่านางเห็นที่นี่เป็นบ้านหรือ” ฮูหยินโจวตะโกนอยู่ในอก ก่อนจะไออย่างรุนแรงขึ้นมาอีก “นางเห็นที่นี่เป็นศัตรู!”
“หญิงชั้นต่ำคนนั้นล่ะ เรียกนางมานี่!” นายใหญ่โจวตะคอก “เรียกนางมา”
แม่นมคนหนึ่งรีบวิ่งออกไปอย่างรีบร้อน ไม่นานก็วิ่งกลับมาอย่างรีบร้อนอีก
“นาง นาง ไม่มาเจ้าค่ะ” แม่นมกล่าวเสียงสั่นเครือ
หญิงชั้นต่ำ!
นายใหญ่โจวโมโหจนหงายหลังไป เขาเดินหาไปทั่วห้องจากนั้นจึงยื่นมือไปคว้ากระบี่ที่แขวนไว้บนผนัง
“ตัวหายนะเช่นนี้ จะเก็บไว้ทำไม!” เขาตะโกนแล้วพุ่งตัวไปด้านนอก
ทำเอาแม่นมสาวใช้ในห้องรีบคุกเข่ากอดแขนขารั้งเอาไว้
ท่านชายโจวหกถีบประตูออก สาวใช้ในห้องตกใจ
“ท่านชายหก” สาวใช้เผยรอยยิ้มขึ้นมาทันทีแล้วลุกขึ้นมา “ข้ากำลังจะไปบอกท่านว่านายหญิงเราจะออกไปข้างนอก ท่านไปเตรียมรถเถิด”
ท่านชายโจวหกที่สีหน้าตึงเครียดกำลังจะด่าทอก็ต้องกลืนคำด่ากลับเข้าไปเพราะคำพูดประโยคนี้
“เฉิงเจียวเหนียง เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้!” ท่านชายโจวหกตะคอกแล้วมองไปหลังม่าน
เมื่อเห็นสีหน้าของท่านชายโจวหก สาวใช้ที่เดิมทีหน้าตายิ้มแย้มอยู่ก็เคร่งเครียดขึ้นมาทั้งยังไม่พูดอะไรต่อ แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวหรือกระทั่งโมโหอย่างที่สาวใช้คนอื่นควรมี เพียงแต่ถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วยืนนิ่งอยู่หน้าม่าน
หลังม่านนั้น มีเสียงฝีเท้าเบาๆ ลอยมา สาวใช้ยื่นมือไปเปิดม่านออก
เฉิงเจียวเหนียงที่เปลี่ยนเป็นชุดสีพื้นชุดคลุมสีพื้นตัวประจำ ผมยาวสยาย มองดูท่านชายโจวหก
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ” ท่านชายโจวหกตะโกนกล่าว
“เปล่า” เฉิงเจียวเหนียงตอบกลับแล้วก้าวออกมา
“ไม่ได้บ้า แล้วพูดจาบ้าๆ ออกมาทำไม” ท่านชายโจวหกกัดฟันกล่าว “คนไม่ถึงตายไม่รักษาให้ กฎเกณฑ์อะไรกัน! เจ้าพูดจาเหลวไหล จะจงใจก่อเรื่องก็ทำให้น่าเชื่อถือกว่านี้หน่อยมิได้หรือ”
เฉิงเจียวเหนียงมองดูเขาแล้วยิ้มมุมปาก
“เจ้า ไม่รู้กฎนี้ของข้าหรือ” นางเอ่ยถาม
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร ข้าไม่ใช่คนสติไม่สมประกอบเสียหน่อย!”
เฉิงเจียวเหนียงมองดูเขา
“เจ้า มีปั้นฉินมิใช่หรือ” นางกล่าวอย่างเชื่องช้า
มีชื่อปั้นฉินโผล่ขึ้นมากระทันหัน สาวใช้ด้านข้างก็ชะงักไปเล็กน้อย เกือบจะขานรับด้วยความเคยชิน
“เจ้า ลองไปถามดู ว่าข้าเฉิงเจียวเหนียง เป็นคนพูดจาเหลวไหล แต่งเรื่องเพ้อเจ้อ เช่นนั้นหรือไม่”
ไม่รอให้ใครตอบกลับหรือถามต่อ เฉิงเจียวเหนียงก็กล่าวต่อ พลางก้าวเข้าไปข้างหน้าอย่างช้าๆ แล้วมองดูท่านชายโจวหก
“เจ้า ลองไปถามดู ว่าข้าเฉิงเจียวเหนียง ทำตามกฎระเบียบมาตลอด ใช่หรือไม่”
“ข้าเฉิงเจียวเหนียง ทำอะไร ตรงไปตรงมา ไม่ไปรักษาที่บ้าน คนไม่ถึงตายไม่รักษา หากมีคำใดเป็นเท็จ”
ขณะที่เฉิงเจียวเหนียงพูดอยู่ ก็ได้มายืนอยู่ตรงหน้าท่านชายโจวหกแล้ว
ยามอยู่ต่อหน้าเด็กสาวที่โตเต็มวัยแล้ว แววตาของเด็กหนุ่มที่ยังโตไม่เต็มที่ไม่สามารถสู้กับ
“ขอให้ข้าถูกฟ้าผ่าห้าครั้ง!” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวทีละคำ
ในขณะเดียวกันกับที่พูดประโยคนี้ ข้างหูท่านชายโจวหกก็เหมือนมีเสียงฟ้าร้องพาดผ่าน เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เมื่อตั้งสติได้ ความโมโหก็แล่นริ้วขึ้นมาบนใบหน้าตึงเครียด
แต่ทว่าเฉิงเจียวเหนียงหันหลังกลับแล้วเดินออกไปข้างนอกแล้ว
“เฉิงเจียวเหนียง เจ้าไม่กลัวกลายเป็นเรื่องใหญ่หรือ” ท่านชายโจวหกกัดฟันตะคอกใส่
เฉิงเจียวเหนียงหยุดเดิน หันหน้ามามองเขาแล้วยิ้มที่มุมปาก
นี่เป็นสีหน้าเดียวที่หญิงสาวผู้นี้มี เพียงแต่ท่านชายโจวหกไม่ได้รับรู้ถึงความเจริญตาเจริญใจ
ใบหน้าแข็งทื่อ ดวงตาไม่มีรอยยิ้มเลยสักนิด มองแล้วทำให้รู้สึกขนลุก
“ข้า กลัวแค่ว่า จะไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่”
………………………………………………..