รถม้าวิ่งโคลงเคลงออกจากบ้านตระกูลโจวไป แต่ครั้งนี้คนบังคับรถไม่ใช่ท่านชายโจวหก

“รู้ทางหรือไม่” สาวใช้เปิดม่านมาถาม

คนบังคับรถพยักหน้ารับจนหัวสั่นคลอน

“ไปทางถนนต้าถ่งใกล้กว่า” สาวใช้กล่าวแล้วส่งสายตาเป็นนัยว่า ‘เจ้ารู้ทางจริงหรือไม่กันแน่’พร้อมมองดูคนบังคับรถ “ท่านชายหกของพวกเจ้ามักจะไปทางอ้อมทุกครั้ง”

พูดจบก็ปล่อยม่านลงแล้วกลับเข้าไปในรถ

คนบังคับรถแอบเบะปาก

จากตรงนี้ไปสะพานอวี้ไต้จะต้องผ่านถนนต้าถ่งจริงๆ แล้วทะลุผ่านตรอกเป่าเชาถึงจะใกล้ที่สุด รถม้าและคนมีไม่มากนัก

คนชนบทจากเจียงโจวผู้นี้ก็รู้ด้วยหรือ

ผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่วันก็คุ้นเคยเมืองหลวงกว่าคนที่เกิดและโตในเมืองหลวงอย่างเขาเสียอีก

เช่นนี้สินะที่เขาร่ำลือกันว่าลูกสาวอาหญิงคนนี้ได้พบเจอกับเทพเซียน สาวใช้ข้างกายถึงได้เก่งกาจเพียงนี้

พลขับรถม้ายกแส้ขึ้นเร่งม้าวิ่งไปอย่างนิ่งๆ

สาวใช้ในรถสีหน้ากังวลเล็กน้อย มองดูเฉิงเจียวเหนียง

“นายหญิง พวกเรายังจะกลับบ้านตระกูลโจวอีกหรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถาม

“กลับสิ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “พวกเขายังไม่ได้ไล่ข้าไปนี่”

สาวใช้หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ก่อนจะรีบเก็บอาการ

“นายหญิง สองสามวันนี้ข้าไปดูว่านายใหญ่จางเข้าเมืองหลวงมาหรือยังดีหรือไม่เจ้าคะ” นางเหมือนนึกอะไรได้แล้วเอ่ยออกมา

เฉิงเจียวเหนียงมองดูนาง

“ไม่ต้อง ข้ายังไม่ถึง ตอนที่ไร้หนทางไป” นางกล่าว

สาวใช้หัวเราะคิกคัก

“นายหญิง ข้าไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกท่าน นายหญิงยอดเยี่ยมที่สุดแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลางยิ้ม

“ข้ารู้” เฉิงเจียวเหนียงตอบ “ข้าเพียงแต่ไม่ชอบ ฝากความหวังไว้กับ คนอื่น เท่านั้น”

เมื่อพูดเพียงเท่านั้นนางก็มองไปที่สาวใช้แล้วยิ้มมุมปาก

“ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ทุกอย่าง ก็เป็นไปตามที่ใจข้าหวัง” นางกล่าว

สาวใช้พยักหน้าแล้วขานรับ

การมาถึงของเฉิงเจียวเหนียงทำให้สะพานอวี้ไต้คึกคักขึ้นมา

“น้องสาว เจ้าไม่ได้มาหลายวันแล้วนะ” สวีปั้งฉุยตะโกนเรียก

เฉิงเจียวเหนียงและเหล่าชายหนุ่มที่ออกมาต้อนรับคำนับซึ่งกันและกัน ก่อนจะก้าวเข้าเรือนไป

สวีปั้งฉุยไปจูงม้าด้วยตนเอง กลับเห็นพลขับรถม้าสีหน้าตกตะลึงตาค้างปากค้าง

“มองอะไรกัน!” เขาจ้องเขม็งแล้วแย่งแส้มา แล้วจูงม้าเข้าเรือนไป

พลขับตั้งสติได้ก็รีบเดินตามเข้าไป

“นี่ๆ เจ้าทำอะไร” สวีปั้งฉุยหันหน้ามาจ้องแล้วตะโกนใส่

พลขับรถตกใจยืนชะงักอยู่ตรงนั้น

“ข้า ข้า ข้า…” เขาพูดตะกุกตะกักจนฟังไม่ได้ความ

“ออกไป ออกไป ช่างไม่รู้ธรรมเนียมจริงๆ ที่นี่เป็นที่ที่เจ้าเข้ามาได้หรือ” สวีปั้งฉุยกล่าวพร้อมเชิดหน้าจ้องมองพลขับหัวจรดเท้าแล้วส่ายหน้า “เจ้านี่เทียบพลขับคนก่อนไม่ได้เลย คนนั้นรู้ธรรมเนียมดีนัก ไม่เคยเข้าเรือนมา หามุมหาที่นั่งรอไป เจ้าต้องเรียนรู้จากเขาเสียหน่อย”

พูดจบก็จูงม้าเข้าไป เหลือเพียงพลขับยืนเหม่อที่หน้าประตู

พลขับคนก่อนหรือ ก่อนหน้านี้นายหญิงเฉิงออกบ้านท่านชายหกก็ส่งด้วยตนเองนี่

ท่านชายหกถูกคนพวกนี้นึกว่าเป็นพลขับรถม้าอย่างนั้นหรือ ทั้งยังไม่เคยเข้าเรือนอีกหรือ

ว่าแต่ชายหนุ่มพวกนี้เป็นใครกัน เข้านอกออกในที่นี่ดั่งเป็นเจ้าบ้านอย่างนั้น

คนอื่นๆ ออกไปตระเตรียมอาหารรับรองน้องสาวอย่างคึกคัก ภายในห้องจึงเหลือเพียงฟ่านเจียงหลิน สวีเม่าซิว และสวีปั้งฉุยอยู่รับรอง

เฉิงเจียวเหนียงวางแก้วชาลง

“สรุปว่ากดราคาจนถึงแปดพันก้วน แล้วหรือ” นางเอ่ยถาม

สวีเม่าซิวพยักหน้า

“เจ้านี่เรียกราคาโหดยิ่งนัก” ฟ่านเจียงหลินกล่าว “ตามตื๊อต่อราคามาตั้งหลายวัน เพิ่งจะลดเพียงเท่านี้”

เขาพูดพลางเดาะลิ้น

“แปดพันก้วนเลยนะ” เขากล่าว “ทั้งชีวิตข้ายังไม่เคยเห็นเงินมากมายขนาดนี้มาก่อน…”

“นั่นสิ หมอนั่นยังทำท่าทางเหมือนว่าพวกเราเอาเปรียบเขาอีก มาบอกว่าโรงเหล้านี้รุ่งเรืองเพียงไหน ตำแหน่งที่ตั้งดีเพียงใด ได้กำไรมากเท่าไร” สวีปั้งฉุยพูดพลางเดาะลิ้นตาม “ยังบอกอีกว่าหนึ่งปีก็คืนทุนแล้ว หาเงินได้ไวกว่าเป็นเสนาบดีเสียอีก”

เขาพูดถึงตรงนี้ก็มองไปทางสวีเม่าซิว

“พี่สาม ท่านเสนาบดียังหาเงินได้ไม่เท่าเปิดโรงเหล้าอีกหรือ” เขาเอ่ยถาม

สวีเม่าซิวยังไม่ได้พูดอะไร สาวใช้ที่นั่งคุกเข่าอยู่หลังเฉิงเจียวเหนียงเม้มปากยิ้ม

“รองอัครมหาเสนาบดีเงินรายเดือนประมาณสามร้อยก้วน ลองคำนวณดูก็จะต้องใช้เวลาสองปีถึงเก็บเงินซื้อโรงเหล้านี้ได้” นางกล่าว

ทุกคนเข้าใจในทันใด

“เป็นเสนาบดีได้เงินแค่นี้เองหรือ น่าสงสารเสียจริง” สวีปั้งฉุยกล่าวพลางพยักหน้า

เป็นเสนาบดีย่อมไม่ได้หวังเพียงแค่เงินรายเดือนอยู่แล้ว

สาวใช้หัวเราะคิกคักไม่ได้พูดอะไร

ฟ่านเจียงหลินและสวีเม่าซิวไม่ได้ใส่ใจเขา แต่กลับมองไปทางเฉิงเจียวเหนียง

“ราคานี้ไม่ถูกเลยจริงๆ ถ้าไม่รีบร้อน พวกเราค่อยๆ ตื๊อเขาไปเรื่อยๆ” สวีเม่าซิวกล่าว

เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า

“ไม่ต้อง แค่เงิน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” นางกล่าว

แปดพันก้วนหรือ

เท่านั้นหรือ

ไม่ใช่เรื่องใหญ่อย่างนั้นหรือ

คนในห้องต่างจ้องมองดูนาง แม้กระทั่งสาวใช้ยังตกใจเล็กน้อย

“น้องสาว มีเงินมากกว่าท่านเสนาบดีอีกหรือ” สวีปั้งฉุยเอ่ยพลางหัวเราะ

“ไม่ใช่” เฉิงเจียวเหนียงพูดพลางหยัดตัวลุกขึ้น “ชีวิตสำคัญที่สุด”

ชีวิตอย่างนั้นหรือ

ทั้งสามมองดูนาง สาวใช้เข้าใจขึ้นมาทันใด

“อ้อ นายหญิง ข้าเข้าใจแล้ว” นางเอ่ยขึ้นอย่างเสียกริยา

ที่แท้นายหญิงทำทุกอย่างนี้ก็เพื่อการนี้!

ขณะที่ท่านชายโจวหกกำลังจะยกไหเหล้าเทเข้าปาก

ท่านชายฉินก็ใช้ไม้เท้าในมือยื่นไปตีเขาไปทีหนึ่งจนเหล้าหกราดตัวท่านชายโจวหก

“เจ้าทำอะไร จะดื่มร่วมแก้วกันอีกหรืออย่างไร” ท่านชายโจวหกจ้องตาเขม็งตะโกนออกมา

คำพูดของเขาทำท่านชายฉินหัวเราะออกมา

“เจ้านี่นะ ทำไมถึงไม่ยอมฟังข้า จะหาเรื่องนางให้ได้ เจ้าหาเรื่องนางทำไมกัน” เขาเอ่ยพลางยิ้ม “ตีไม่ได้ เถียงก็ไม่ชนะ เจ้านี่มันหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ”

“นางหาเรื่องพวกเราต่างหาก!” ท่านชายโจวหกตะโกน “แค้นเคืองกันปานนั้นมาจากที่ไหน ไม่จบไม่สิ้น”

“เขาอาจจะพูดความจริง พวกเจ้าร้อนตัวไปทำไม” ท่านชายฉินกล่าว

ท่านชายโจวหกถ่มน้ำลาย

“คนที่ไม่ถึงตายไม่รักษาให้ บ้านตระกูลเฉินคุยโวให้นางไม่กี่คำ นางก็นึกว่าตนเป็นเทพเซียนไปแล้วจริงๆ หรือ” เขาเยาะเย้ย “นางก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้เพื่อจะยั่วโมโหเรา มีประโยชน์อะไรกับนางกัน เป็นสาวเป็นนาง เอาแต่ใจถึงเพียงนี้ วันหน้าจะทำอย่างไร”

ท่านชายฉินที่กำลังยกถ้วยน้ำชาขึ้นพอได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา

“มีพี่ชายอย่างเจ้าปกป้องดูแลนางก็พอ” เขายิ้มเอ่ย

“ฉินสิบสาม!” ท่านชายโจวเขินอายแต่แสร้งทำเป็นโมโหแล้วตะโกนออกมาแทน

ท่านชายฉินยิ้มพลางยกถ้วยน้ำชาขึ้น

“ข้าไม่ล้อเล่นแล้ว ข้าไม่ล้อเล่นแล้ว” เขาพูดตอบก่อนจะเพ่งสติอยู่ชั่วครู่ “ความจริงแล้วข้าคิดว่าเรื่องมันก็ไม่ได้มีอะไร เป็นจริงหรือเท็จ ยั่วโมโหหรือว่าตั้งใจ เจ้าลองถามดูก็รู้แล้วมิใช่หรือ”

ท่านชายโจวหกชักสีหน้าตึงเครียดไม่ได้พูดอะไร

“เจ้าก็รู้ว่าข้าพูดถึงใคร เจ้าอย่ามาทำเป็นแกล้งโง่แกล้งบ้าหน่อยเลย” ท่านชายฉินกล่าวแล้วก็ดื่มน้ำชาจนหมด

“ใครก็ได้” ท่านชายโจวหกตะโกนเรียก

สาวใช้หน้าประตูรีบเปิดประตูเข้ามา

“ไปเรียกปั้นฉินมา” ท่านชายโจวหกกล่าว

สาวใช้ชะงักไปสักครู่

“ท่านชาย ปั้นฉินคนไหนเจ้าคะ” นางลังเลอยู่สักครู่แล้วเอ่ยถาม

ท่านชายโจวหกกำถ้วยเหล้าไว้แน่น

“หญิงผู้นี้ ข้ารู้สึกว่า…ทุกสิ่งที่นางทำล้วนแต่จงใจทั้งสิ้น!” เขากัดฟันพูด

ราวกับว่านางต้องการให้ทุกคนระลึกถึงการมีตัวตนอยู่ของนางไปเสียทุกที่ทุกเวลา แถมยังไม่ใช่การมีตัวตนที่น่าอภิรมย์เสียด้วย

สายตาเขามองไปบนโต๊ะเตี้ย ท่านชายฉินที่นั่งตรงข้ามกำลังเทน้ำชาอยู่

เมื่อสังเกตเห็นสายตาของท่านชายโจวหก ท่านชายฉินก็ยิ้มขึ้นมาทันใด

“น้ำชานี้รสชาติแย่นัก ข้ากินเหล้าดีกว่า” เขาเอ่ยพลางเลิกคิ้วขึ้น

ท่านชายโจวหกจ้องเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ปั้นฉินของท่านชายหกพวกเจ้าน่ะ” ท่านชายฉินหัวเราะดังลั่น ก่อนจะหันไปบอกสาวใช้ที่ยังยืนรออยู่หน้าประตูด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

สาวใช้เข้าใจแล้วจึงขานรับในทันที ก่อนจะหันหลังกลับเดินออกไป

………………………………………………………………..