ในเดือนแรกของปี บนท้องถนนนั้นคึกคักยิ่งนัก เสียงคนดังโหวกเหวก ไม่ว่าจะยากดีมีจน บ้างก็แต่งองค์ทรงเครื่องสวยงาม บ้างก็สวมเสื้อผ้ามอซอ แต่ก็เป็นเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน เหตุผลประการแรกก็เพื่อป้องกันความหนาวเหน็บ ประการที่สองก็เพื่อความเป็นสิริมงคล เหล่าขอทานที่เดิมทีใช้ชีวิตอยู่ตามมุมถนนใต้สะพานตีนสะพานก็ถูกคนของทางการขับไล่ไปจนหมด มองไปบนท้องถนนดูสวยงามสะอาดตา

“เมืองหลวงกว้างใหญ่ดั่งว่าจริงๆ ช่างคึกคักนัก” สีหน้าของสาวใช้เต็มไปด้วยความประหลาดใจ มองดูพลางตะโกนร้องอย่างตื่นตาตื่นใจ

วันนี้อากาศแจ่มใส นางปกคลุมร่างด้วยเสื้อคลุมตัวหนา พร้อมสวมหมวกคลุมหน้า สองมือกอดเตาอุ่นมือเอาไว้ นั่งอยู่บนรถม้าช่างอบอุ่นยิ่งนัก ไม่รู้ว่าความดีใจหรือเพราะความอบอุ่น ทำให้ใบหน้าธรรมดาไม่สะดุดตาของนางนั้นมีชีวิตชีวาขึ้นมา

นางมองดูคนที่ผ่านไปมา คนพวกนั้นก็มองดูพวกนางเช่นกัน

รถลากลาดำตัวใหญ่คันหนึ่ง บ่าวชราคนหนึ่งที่เดินบังคับรถอยู่ด้านข้าง แม้แก่ชราแต่ก็ท่าทีสดชื่น เหมือนจะไม่สะดุดตาอะไร แต่ก็มีมาดที่อธิบายไม่ถูก

“ปั้นฉิน” บ่าวชราหันหน้ามาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่ถึงเมืองหลวงเลย”

สาวใช้ส่งเสียงร้องออกมา ประหลาดใจยิ่งนัก

“ยังไม่เข้าเมืองหลวงอีกหรือ แต่ว่า แต่ว่าที่นี่…” นางเอ่ยถามเบิกตาโตโพรง

“ที่นี่อยู่นอกเมืองหลวงแปดลี้ เจ้าดูด้านหน้าสิ” บ่าวชรายื่นมือใช้แส้ชี้ไปด้านหน้า “กำแพงเมืองด้านนั้น ก็คือกำแพงเมืองหลวง ผ่านกำแพงเมืองไปถึงจะเข้าเมืองหลวง”

สาวใช้ยืดตัวมองไป มองข้ามตึกรามบ้านช่องเป็นแถวเป็นแนวตรงหน้าไป ด้านหน้าที่ไกลออกไปนั้นเป็นกำแพงเมืองอร่ามตาประทับอยู่จริงๆ

บ่าวชราชี้ให้นางดูด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ก็ต้องหยุดชะงักลงในทันใดแล้วรีบวางแส้ในมือลง

“นายน้อยมาแล้วหรือขอรับ” เขาตะโกนกล่าวด้วยความดีใจ

นายน้อยอย่างนั้นหรือ

สาวใช้รีบมองตาม คนที่นางเห็นนางล้วนไม่รู้จัก จนกระทั่งมีคนมายืนอยู่ข้างรถ

นั่นเป็นชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบห้าสี่สิบหก รูปร่างค่อนไปทางผอม สวมใส่เสื้อผ้าสีดำธรรมดา มองดูเผินๆ ดูไม่สะดุดตาอะไร หากมองนานเข้าจะเห็นถึงความแข็งแกร่งและความเคร่งขรึมภายใน มาดของปราชญ์ผู้มีความรู้นั้น แม้แต่คนที่ไม่เคยเรียนหนังสือก็สามารถดูออกได้

“ท่านพ่อลำบากมาตลอดทางเลยนะขอรับ” ชายวัยกลางคนคำนับแล้วพูดขึ้น

นี่คือจางฉุน หรือจางจื่อหราน ผู้ถูกขนานนามว่าอาจารย์แห่งเจียงโจวที่มีลูกศิษย์กว่าสามพันคน

สำหรับเหล่าศิษย์ใต้หล้าเพียงได้พบหน้าก็รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก ยามพูดคุยด้วยก็มักจะตื่นเต้นดีใจ แต่บ่าวชราและสาวใช้กลับมีท่าทีนิ่งสงบ

“นายใหญ่เจ้าคะ” สาวใช้รีบหันไปเปิดม่านออก “นายท่านมารับแล้วเจ้าค่ะ”

ผู้เฒ่าในรถมองมาแล้วพยักหน้าพลางอมยิ้ม

“ปั้นฉินคำนับนายท่านเจ้าค่ะ” สาวใช้เพิ่งจะคำนับ

จางฉุนเหลือบมองสาวใช้ผู้นี้ ในแววตาก็เผยความประหลาดใจเล็กน้อย

“นายใหญ่ยกซู่ซินให้คนอื่นไปแล้วขอรับ นี่เป็นสาวใช้ที่คนผู้นั้นมอบให้นายใหญ่ขอรับ” บ่าวชรายิ้มพลางกล่าวขึ้น

สาวใช้คำนับให้จางฉุนอีกครั้ง

จางฉุนพยักหน้ารับแล้วไม่ได้สนใจนางอีก เขายื่นมือที่เห็นข้อกระดูกมือได้อย่างชัดเจนออกมากุมบังเหียนไว้แล้วบังคับรถให้ท่านพ่อด้วยตนเอง

สาวใช้และบ่าวชราเดินอยู่ข้างรถ มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงท่ามกลางผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมามากมาย

ท่ามกลางตลาดอันคึกคักในตรอกคือที่ตั้งของเรือนตระกูลจาง

นายใหญ่จางสลัดความอ่อนล้าทั่วร่างแล้วนั่งลงดื่มชา ลูกชายหลานชายข้างๆ ช่วยพยุงให้นั่งลง

“ท่านปู่ ท่านไปเที่ยวที่ไหนอีกแล้วหรือ เหตุใดปีใหม่ถึงไม่รีบกลับมา” หลานชายคนโตรูปร่างหน้าตาหมือนดั่งพ่อของตนไม่มีผิด ถึงแม้จะอายุเพียงยี่สิบกว่าปี แต่กลับดูเป็นผู้ใหญ่กว่าคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน

“ฟังดูเหมือนไปเที่ยวชมแม่น้ำภูเขาอย่างสบายใจ แต่หากให้พูดนั้นน่าขายหน้ายิ่งนัก” นายใหญ่จางหัวเราะออกมา “ข้าทำเงินหาย ติดอยู่ในตำบลซานหยางน่ะ”

สองพ่อลูกจางฉุนตกตะลึงไป

“ท่านปู่” หลานชายหัวเราะเจื่อนไม่รู้จะพูดอะไรดี

“แต่ว่าก็สนุกดี” นายใหญ่จางพูดด้วยรอยยิ้มพลางมองดูพวกเขา “ข้าไปตั้งนาน ในเมืองหลวงมีเรื่องอะไรแปลกใหม่หรือไม่”

“ฝ่าบาทพระวรกายดียิ่งนัก องค์ชายสองเข้าเรียนแล้ว” จางฉุนกล่าว

“องค์ชายสองปีนี้อายุหกขวบแล้ว ก็ควรจะเข้าเรียนได้แล้ว” นายใหญ่จางพยักหน้าพลางยิ้มกล่าว

เรื่องที่พบเห็นทั่วไปเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่อะไรกัน แต่คนถามคนตอบก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่าขัน

ฮ่องเต้มีพระโอรสเพียงสองพระองค์ องค์ชายใหญ่เป็นโอรสของกุ้ยเฟย องค์ชายสองเป็นโอรสของสนมขั้นต่ำ

ปีใหม่นี้พระองค์หนึ่งก็อายุสิบเอ็ดขวบ อีกพระองค์หนึ่งหกขวบ ถึงแม้อายุยังน้อย ในพระราชสำนักก็เริ่มเตรียมการแต่งตั้งองค์รัชทายาทแล้ว เพราะอย่างไรเสียฮ่องเต้ก็มีพระวรกายไม่แข็งแรงนัก

“ฝ่าบาทเตรียมจะเลื่อนขั้นให้ท่านพ่อ” หลานชายกล่าวเสริม

นายใหญ่จางส่งเสียง ‘อ้อ’ แล้วมองจางฉุน

“อยากให้เจ้าสอนหนังสือให้กับองค์ชายสองหรือ” เขาเอ่ยถาม

จางฉุนพยักหน้า

“ลูกปฎิเสธไปแล้ว” เขากล่าว “สัญญากับศิษย์ที่กำลังจะเข้าสอบไว้แล้วว่าจะเปิดสอนหนังสือให้ จะพูดกลับคำมิได้”

นายใหญ่จางพยักหน้า

“อ้อจริงสิ ท่านปู่ยังมีเรื่องน่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง” หลานชายกล่าว เหมือนคิดอะไรได้ แล้วเรียกคนมา “ไปเอาตัวหนังสือห้าตัวจากวัดเฉี่ยถิงในห้องหนังสือของข้ามา”

หนังสือห้าตัวจากวัดเฉี่ยถิงอย่างนั้นหรือ นายใหญ่จางไม่เข้าใจ

“ท่านปู่ ช่วงก่อนในวัดเฉี่ยถิงมีคนเขียนอักษรห้าตัวนี้ ท่านลองดู ท่านจะต้องชมว่าดีเป็นแน่” หลานชายกล่าวอย่างดีอกดีใจ

จางฉุนกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร เพราะเขาไม่ได้นิยมอักษรแบบในอักษรศิลป์ทั้งหกเป็นพิเศษ

ไม่นานบ่าวก็หยิบม้วนกระดาษที่ใส่กรอบออกมา หลานชายคลี่ออกอย่างระมัดระวัง

“นี่ก็คืออักษรที่คนนิรนามเขียนไว้หรือ” นายใหญ่จางกล่าวพลางลุกขึ้นรับมาดู สีหน้าชะงักไปเล็กน้อย

“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านปู่ ดีใช่หรือไม่ แบบอักษรใหม่ห้าแบบ พลิ้วไหว งดงาม แข็งแกร่ง อิสระ นิ่งสงบ มีทุกรูปแบบ” หลานชายเอ่ยพลางยิ้ม

ประตูถูกเปิดออก สาวใช้คนหนึ่งยกถาดรองเข้ามาพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยฟุ้งกระจาย

“นายใหญ่ เชิญกินขนมเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว

“ปั้นฉิน เจ้ามานี่” นายใหญ่จางกล่าวพลางกวักมือเรียก

สาวใช้วางถาดรองลงแล้วเดินไปด้านหลังนายใหญ่จาง

“เจ้าดูตัวหนังสือนี้” นายใหญ่จางกล่าว

พ่อลูกจางฉุนที่อยู่ข้างๆ มองหน้ากันต่างก็ประหลาดใจ

นายใหญ่เปลี่ยนสาวใช้เรื่องนี้ทุกคนต่างก็รู้กันแล้ว แค่สาวใช้ก็ไม่มีอะไรพิเศษ เพียงแต่ซู่ซินที่ติดตามนายใหญ่มาหลายปี ทั้งเชื่อฟังทั้งฉลาดเฉลียว เป็นที่โปรดปรานมาโดยตลอด ความเปลี่ยนแปลงแสนกระทันหันนี้ทำให้รู้สึกคาดไม่ถึง ไม่คิดว่านายใหญ่จะเรียกสาวใช้มาดูตัวหนังสือ หรือว่านางจะรู้จักบทกลอนภาพวาดด้วย

“นายใหญ่ ตัวหนังสือพวกนี้อ่านว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยถาม

จางฉุนยังรักษากริยาไว้ได้ แต่ลูกชายยังฝึกฝนไม่พอถึงได้หลุดหัวเราะออกมา ก้มหน้าสายตามองไปที่ถาดรองตรงหน้า

บนจานศิลาดลสี่ช่องมีก้อนข้าวเหนียวกลมสีเหลืองทองคลุกงาจัดวางอยู่

นี่คือขนมอะไร

“อ่านว่า วัดเขารอบ๊วยบาน” นายใหญ่จางกล่าวพลางยื่นมือไปชี้อักษรตัวหนึ่ง “ปั้นฉิน เจ้าดูคำว่ารอนี่ คุ้นบ้างหรือไม่”

สาวใช้ตั้งใจดู สุดท้ายก็ส่ายหน้า

“นายใหญ่เจ้าคะ หากให้ข้าดูของกินประเภทเดียวกันยังพอแยกแยะได้ แต่ตัวหนังสือนั้น…” นางเอ่ยพลางยิ้ม

หรือว่าดูผิดไป นายใหญ่จางมองดูตัวอักษร ทำไมถึงรู้สึกว่าเหมือนกับอักษรคำว่าไท่ผิงที่เคยเห็นที่วัดเสวียนเมี่ยวเมืองเจียงโจวในตอนนั้น

เขาก้มหน้าแล้วดูอีกครั้ง ก็แค่เหมือน ตัวอักษรนี้เขียนได้ดีกว่าเห็นๆ

นอกจากนั้น นายหญิงผู้นั้นอยู่เจียงโจวจะมาเขียนอักษรที่วัดเฉี่ยถิงได้อย่างไร

เขาส่ายหน้าแล้วยิ้ม

“อักษรงาม อักษรงาม ถึงแม้จะยังอ่อนหัดนัก แต่รูปแบบไม่เหมือนผู้อื่น ที่สำคัญคือแปลกใหม่” เขากล่าวชมเชยพลางยื่นมือไปชี้ถาดรอง “มา ลองชิมขนมดู ปั้นฉินทำของว่างได้เก่งนัก”

จางฉุนหยิบขึ้นมาชิมเล็กน้อย หลานชายกินไปสองอันอย่างไม่เกรงใจ

“อืม อร่อย ด้านในยังมีอะไรอยู่ด้วย” เขากล่าวชมเชยแล้วมองดูสาวใช้คนนี้ “นี่เรียกว่าอะไรหรือ”

“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ แค่ผลไม้ทอดเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวพลางอมยิ้ม

“ตอนที่พวกข้าอยู่ที่ตำบลซานหยางนั้นก็อาศัยฝีมือในการทำขนมของปั้นฉินหาเงินใช้ชีวิตในแต่ละวัน” นายใหญ่จางยิ้มกล่าว ตนก็หยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่ง

ที่แท้ก็เป็นแม่ครัวคนหนึ่ง หลานชายเข้าใจในทันใด

“ท่านพ่อ อาการวิงเวียนของท่านหายดีหรือยัง” จางฉุนนึกอะไรขึ้นได้แล้วเอ่ยถามขึ้น

“ดีมากแล้ว แทบจะไม่กำเริบเลย ต้องขอบคุณปั้นฉิน” นายใหญ่จางยิ้มกล่าว

พ่อลูกจางฉุนมองดูสาวใช้ผู้นี้

“นายใหญ่กินเยอะๆ จะได้ไม่ป่วยนะเจ้าคะ” สาวใช้ยิ้มกล่าว

กินเยอะๆ นี่รักษาโรคได้ด้วยหรือ

สาวใช้คนนี้ช่างพูดเก่งนัก พ่อลูกจางฉุนยิ้มแล้วปล่อยผ่านไป

เวลานี้ในเรือนตระกูลเฉิน นายใหญ่เฉินก็กำลังกินของว่างอยู่เช่นกัน ของทอดสีเหลืองทองทั้งกลิ่นและรสชาติล้วนหอมหวนชวนอร่อย เพียงแต่เสียดายเพราะขณะที่เมื่อนายใหญ่เฉินกำลังยื่นตะเกียบไปอีกครั้ง จานตรงหน้าก็ถูกคนแย่งไปเสียแล้ว

“ท่านปู่ นายหญิงเฉิงบอกว่า ไม่ให้ท่านกินของทอดมากเกินไปนะเจ้าคะ” ตันเหนียงกล่าว

“กินอีกอันเดียว ขอกินอีกอันเดียว” นายใหญ่เฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เฉินตันเหนียงไม่ยอมให้ต่อรองเลยสักนิด หันหน้าไปคว้าจานไว้แน่น

ขณะเดียวกันเฉินเซ่าก้าวเข้ามา นายใหญ่เฉินยิ้มพลางเก็บตะเกียบไว้

“ท่านพ่อ” ตันเหนียงตะโกนเรียกแล้วลุกขึ้น กางแขนออกแล้วหมุนตัว “ท่านดูสิ ท่านแม่เย็บเสื้อผ้าใหม่ให้ข้า”

เฉินเซ่าพยักหน้าแล้วเผยรอยยิ้มออกมา พ่อที่แสนเข้มงวดแสดงออกได้เพียงเท่านี้

“ทำตามแบบของเสื้อผ้าของนายหญิงเฉิงเจ้าค่ะ” เฉินตันเหนียงกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “หญิงสิบแปดก็มีหนึ่งตัว ข้ามีหนึ่งตัว ตอนออกไปข้างนอก หลายคนมุงล้อมพวกเราดูและถามไถ่ ข้ากับหญิงสิบแปดคุยกันไว้แล้ว ว่าจะไม่บอกพวกนาง”

แม่นมข้างๆ รอให้พวกเขาพูดจบก่อนจะลุกขึ้นแล้วพาเฉินตันเหนียงออกไป เพื่อให้สองพ่อลูกได้พูดคุยกัน

“ท่านพ่อ คำพูดของนายหญิงเฉิงช่วงนี้ ท่านได้ยินบ้างหรือไม่” เฉินเซ่าเอ่ยถาม

“คนไม่ถึงตายไม่รักษาให้” นายใหญ่เฉินกล่าว

“ท่านดูสิ นางพูดคำพูดเช่นนี้ได้อย่างไร อย่างไรเสียนางก็อายุยังน้อย” เฉินเซ่ากล่าวด้วยความกังวลเล็กน้อย

นายใหญ่เฉินหัวเราะออกมา

“นางไม่ได้พูดอะไรผิดนี่” เขากล่าวแล้วยื่นมือมาชี้ตนเอง “ตอนนั้นข้าก็เป็นคนที่ใกล้ตายเช่นกัน”

เฉินเซ่ายิ้มอย่างขมขื่น

“แต่ว่ามีกฎเกณฑ์เช่นนี้ที่ไหนกัน คำพูดเช่นนี้พูดออกมาได้อย่างไร” เขากล่าว “หรือไม่ ก็รักษาก่อนแล้วค่อยพูดก็ได้”

นายใหญ่เฉินส่ายหน้า

“ไม่ ไม่ ข้ากลับรู้สึกว่าเช่นนี้สิดี” เขายิ้มกล่าวพลางนับนิ้ว “เจ้าดูนะ รักษาคนใกล้ตายอย่างข้า เริ่มมีชื่อเสียง

ข้าช่วยนางปล่อยข่าวเรื่องพบกับเซียน ชื่อเสียงแพร่ออกไป บ้านตระกูลโจวปล่อยข่าวเรื่องกฎที่ว่าไม่รักษาถึงที่ ชื่อเสียงก็แพร่ออกไปอีก คนไม่ถึงตายไม่รักษา ชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาอีก เวลานี้ทุกอย่างเตรียมพร้อม ขาดก็แค่ลมบูรพาแล้ว”

เฉินเซ่าชะงักไปเล็กน้อย

แสดงว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนที่นายหญิงน้อยคนนั้นเตรียมการไว้ที่ละขั้นอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่เพราะอายุน้อยไม่รู้ความจึงพูดจาเหลวไหลออกมาหรือ

เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ หรือเป็นเพียงความบังเอิญ

เฉินเซ่าเงียบไปไม่พูดอะไร

“สำหรับเด็กสาวกำพร้าที่แม่เสียพ่อทิ้ง อีกยังถูกครหาว่าเป็นคนสติไม่สมประกอบอีก ไม่มีที่พึ่งพิง หากไม่มีญาติพี่น้องก็ไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้” นายใหญ่เฉินกล่าวต่อแล้วถอนหายใจ

เฉินเซ่าพยักหน้า จากข่าวคราวที่สืบมานายหญิงน้อยคนนี้ชีวิตช่างเต็มไปด้วยอุปสรรคและน่าสงสารนัก

นายใหญ่เฉินยิ้มขึ้นมาอีก

“นอกเสียจากว่านางจะมีชื่อเสียง” เขากล่าว

“ชื่อเสียงหรือ” เฉินเซ่ามองดูท่านพ่อพลางขมวดคิ้ว

“อย่างเช่น ชื่อเสียงว่าสามารถชุบชีวิตคนได้” นายใหญ่เฉินกล่าว “ตอนนี้ชื่อเสียงนั้นมีพร้อมแล้ว ขาดเพียงคนใกล้ตายมาหาถึงที่เท่านั้น หากได้ลมบูรพามาช่วย หญิงสาวผู้นี้ก็จะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงไม่น้อยในเมืองหลวงแล้ว”

พูดถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มอีก

“เข้าเมืองหลวงมาไม่กี่เดือน ก็สามารถทำได้ถึงขนาดนี้ ก็นับว่าเป็นบุคคลมีชื่อคนหนึ่งแล้ว” เขากล่าว

“แต่ว่าจะมีคนเช่นนั้นหรือ หรือว่าถ้าหากรักษาไม่หายเล่า” เฉินเซ่าเอ่ยถาม

เขาเป็นคนชอบความรอบคอบแน่นอน ก่อนจะทำการใดต้องคิดให้รอบคอบก่อน หากมีข้อบกพร่องใดก็จะไม่ทำการบุ่มบ่ามเด็ดขาด

นายใหญ่เฉินหัวเราะขึ้นมา

“ถึงได้บอกว่านายหญิงน้อยผู้นี้จะต้องเป็นบุคคลมีชื่อเป็นแน่” เขากล่าว “มีความสามารถ มีความหลักแหลม ทั้งยังกล้าหาญกล้าเสี่ยง หาได้ยากนัก”

คนที่ฉลาดมาตลอดจะรักชีวิตมากกว่าใครๆ ฉะนั้นจะไม่ทำการเสี่ยง นายหญิงผู้นี้กลับกล้าทำเช่นนั้น

หากรักษาไม่หาย ชื่อเสียงก็หายไปหมด ก่อนหน้านี้หากไม่ทำเรื่องเช่นนี้ เพียงแค่เรื่องที่รักษาตนหายได้ ถึงแม้จะรับประกันนางไม่ได้ตลอดชีวิต แต่อย่างน้อยตอนออกเรือนก็ช่วยได้ไม่มากก็น้อย

สำหรับหญิงสาวคนหนึ่งแล้ว การได้คู่ครองที่ดี ชีวิตนี้ก็ไร้กังวลไปครึ่งหนึ่งแล้ว

แต่หญิงสาวผู้นี้เหมือนว่าไม่ได้หวังเพียงแค่นี้ หรือจะพูดว่านางไม่อยากนำความหวังไปฝากไว้กับคนอื่น

แต่อยากจะพึ่งตนเองมากกว่า

หากพูดตามตรงแล้วคนเช่นนี้คือที่ไม่เชื่อใจผู้อื่น พวกเขาชอบควบคุมเรื่องทั้งหมดด้วยตนเอง

อาจเป็นเพราะไม่สบายแต่เด็กแล้วถูกทอดทิ้งกระมัง นายใหญ่เฉินคิดถึงจุดนี้แล้วก็รู้สึกหดหู่

“อยากรู้เสียจริง นายหญิงผู้นี้พบปราชญ์ท่านใดกันแน่” เขาถอนใจแล้วมองดูเฉินเซ่า “ไปสอบถามที่ปิ้งโจวได้ความอย่างไรบ้าง”

“นักพรตเหล่านั้นกระจัดกระจายไปแต่ละที่ ตอนนี้ที่หาเจอก็เป็นคนที่ปกติแล้วไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับนายหญิงผู้นั้นนัก ถามได้ความก็เป็นเรื่องเดิมๆ คนอื่นๆ กำลังตามหาเพื่อสอบถามอยู่ ตอนนี้จึงยังไม่รู้ว่านายหญิงผู้นี้พบเจอคนประหลาดอะไรมา” เฉินเซ่ากล่าว

นายใหญ่เฉินพยักหน้า

“เช่นนั้นก็ค่อยๆ ถามแล้วกัน” เขากล่าว

ปั้นฉินนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น

“ทำไมเจ้าถึงให้นางไปห้องซักล้างเล่า” ท่านชายฉินขมวดคิ้วเอ่ยถามท่านชายโจวหกแล้วเหลือบมองสาวใช้

ปั้นฉินเก็บมือที่เต็มไปด้วยรอยแผลจากความเหน็บหนาวเข้าไปในแขนเสื้อ

“ไม่เกี่ยวกับท่านชายหกเจ้าค่ะ บ่าวยินดีไปทำเองเจ้าค่ะ” นางกล่าวเสียงแผ่วเบา

ท่านชายโจวหกไม่ได้สนใจ

“จะถามอะไรก็รีบถาม” เขากล่าว ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความเกลียดชังอย่างเปิดเผย

ปั้นฉินก้มหน้าต่ำลงไปอีก

“ปั้นฉิน เรื่องเป็นเช่นนี้” ท่านชายฉินจ้องเขาเขม็งแล้วมองไปทางสาวใช้ สีหน้าอ่อนโยน “นายหญิงเจ้าพูดคำพูดที่ทำให้ทุกคนไม่อาจเชื่อ ทำให้ทุกคนต่างก็กังขา เช่นนี้ไม่ดีนัก ฉะนั้นจึงอยากถามเจ้าว่าเป็นการเข้าใจผิดกันหรือไม่…”

“เข้าใจผิด เข้าใจผิดแน่ๆ นายหญิงข้าไม่เคยโกหกเจ้าค่ะ” ไม่รอให้ท่านชายฉินพูดจบ ปั้นฉินก็รีบกล่าวอย่างร้อนรน

ไม่เคยโกหก…

ท่านชายโจวหกที่อยู่ข้างๆ เก็บอาการเยาะเย้ยเอาไว้

หรือไม่ก็ โกหกเก่งเกินไปล่ะสิ

“นายหญิงเจ้ารักษาคน มีกฎเกณฑ์อะไรหรือไม่ อย่างเช่น ไม่…” ท่านชายฉินเอ่ยถาม

ยังคงไม่รอให้เขาพูดจนจบ ปั้นฉินก็แย่งพูดขึ้นมา

“มีเจ้าค่ะ นายหญิงข้านั้น หนึ่งคือไม่รักษาถึงที่ สองคือไม่รับรักษาโรคที่ไม่ถึงตายเจ้าค่ะ” นางกล่าวอย่างลังเล

เป็นจริงดั่งว่า

ท่านชายฉินชะงักไปเล็กน้อย

หากดูให้ดีแม้ผู้หญิงผู้นี้จะทำการเหมือนไม่เป็นเรื่องเป็นราว แต่ความจริงแล้วมีกฎเกณฑ์ทุกอย่าง ฉะนั้นทุกการกระทำทุกคำพูด เหมือนจะเหิมเกริมแต่สุดท้ายกลับหาข้อผิดพลาดไม่พบ

“หลีโหลวสายตาดี กงซูปานฝีมือดี แต่หากไม่มีวงเวียนและไม้บรรทัด ก็วาดวงกลมและสี่เหลี่ยมออกมาไม่ได้ ” เขากล่าวอย่างช้าๆ “เป็นเช่นนี้นี่เอง”

………………………………………………….