ปีกพัดโบกเกิดเป็นลมแรง นกปิดฟ้าร่อนลงห่างจากเมืองเผิงหลายสิบลี้

ต้นไม้ด้านล่างถูกลมพัดจนล้มไป ลู่ฝานจับขนของนกปิดฟ้าไว้อย่างแน่น อีกมือก็จับเจ้าดำไว้

ลู่หมิงกับฮ่วนเย่ว์ก็จับขนไว้ แต่สีหน้าของทั้งสองคนไม่เหมือนกัน

ลู่หมิงตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ลมที่กระโชกแรงพัดใส่หน้าของเขาจะเบี้ยวไป ส่วนฮ่วนเย่ว์ก็ร้องตะโกนไม่หยุด ตื่นเต้นผิดปกติ

ในที่สุด นกปิดฟ้าก็ร่อนลงพื้นอย่างมั่นคง แล้วเก็บปีกยักษ์ใหญ่ของมัน

พวกลู่ฝานกระโดดลงจากนกปิดฟ้า จนพื้นดินที่มั่นคงยุบลงไป

พอสามคนคงมายืนได้มั่นคงแล้ว นกปิดฟ้าก็กางปีกอีกครั้ง

ลมที่รุนแรงทำให้พวกของลู่ฝานลืมตาไม่ได้ แล้วก็มีเสียงร้องที่กังวานไปทั่วฟ้าดิน นกปิดฟ้าบินสูงขึ้นไป

พริบตา บนท้องฟ้าก็เหลือแค่เงาดำเล็กๆ

ลู่หมิงปัดเศษฝุ่นและใบไม้บนร่างกาย แล้วก็พูดว่า “ไปกันเถอะ ไปสถาบันสอนวิชาบู๊”

ลู่ฝานกับฮ่วนเย่ว์ก็มาครั้งแรก เลยไม่รู้ทาง

ลู่หมิงดูเหมือนว่าจะรู้ทางเป็นอย่างดี ไม่นานก็พาทั้งสองคนเดินลัดเลาะไปทางในป่า

เส้นทางที่เป็นพื้นกระดานหินทอดยาวออกไปไกล

ลู่หมิงเดินไปพูดไปว่า “สถาบันสอนวิชาบู๊ไม่ได้อยู่ในเมืองเผิง แต่อยู่ที่เทือกฉิงเทียนนอกเมืองเผิง แน่นอนว่า ถ้ามาครั้งแรก ก็สามารถเข้าไปถามในเมืองเผิงได้ แล้วก็จ่ายด้วยเหรียญเงินนิดหน่อย ก็จะมีคนนำทางมาให้เอง”

ฮ่วนเย่ว์ยิ้มพูดว่า “ตามตำนาน เทือกฉิงเทียนเคยเป็นสถานที่ที่ฉิงเทียนที่เป็นขุนพลังสุดเหนือฟ้านั่งสิ้นลมหายใจ หลังจากตายไปแล้ว ก็กลายเป็นเทือกเขา ของล้ำค่ามากมายของเขาล้วนอยู่ในเทือกเขา ถูกต้องไหม”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย ขุนพลังสุดเหนือฟ้า นี่มันคือระดับไหน? ไม่เคยได้ยินมาก่อน

ลู่หมิงก็พูดว่า “ถึงแม้ที่สถาบันจะมีตำนานนี้อยู่จริง แต่ฟังดูก็รู้ว่าไม่จริง มีใครกันที่ตายแล้วกลายเป็นเทือกเขา มันดูเกินจริงไปหน่อย คุณหนูฮ่วนเย่ว์ คุณคงจะไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องจริงหรอกนะ”

ฮ่วนเย่ว์เบะปากพูดว่า “กบในกะลา ไม่อยากจะคุยกับนาย”

ลู่หมิงโดนพูดแดกดันใส่ เลยหยุดฝีเท้าลง

ฮ่วนเย่ว์ก็เดินนำไป แล้วไม่พูดอะไรกับลู่หมิง

ลู่หมิงมองหลังของฮ่วนเย่ว์ แล้วบ่นว่า “ผู้หญิงคนนี้ พูดอย่างกับเคยเห็นคนที่ตัวใหญ่เท่าภูเขาเสียอย่างนั้น ว่าเราเป็นกบในกะลาอีก อย่างมากเธอก็เป็นได้แค่แม่คางคกนั่นแหละ”

ลู่ฝานอ้าๆ ปาก ตอนนี้เขาอยากจะบอกลู่หมิงเสียจริงๆ ว่าอาจารย์ของฮ่วนเย่ว์เป็นขุนพลังแดนหยินหยาง เรื่องความรู้ ฝั่งนั้นน่าจะมากกว่าพวกเขาเยอะเลย แต่ว่า ลู่ฝานก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดออกไป แต่ละคนล้วนมีความลับของตนเอง ในเมื่อตลอดทางมานี้ฮ่วนเย่ว์ไม่ได้พูดเรื่องอาจารย์ของตนเอง เช่นนั้นฮ่วนเย่ว์ก็ไม่ควรพูดอะไรมาก

สามคนเดินมุ่งหน้ากันต่อไป แล้วก็ค่อยๆ เจอกับเพื่อนร่วมทาง

บนเส้นทางที่ปูพื้นด้วยหิน ค่อยๆ เจอกับคนอื่นๆ เดินกันเข้ามา ไม่ต้องแปลกใจเลย คนพวกนี้ล้วนจะไปสถาบันสอนวิชาบู๊ ลู่หมิงก็เหมือนจะเห็นเพื่อนร่วมสำนักที่รู้จัก เลยโบกมือทักทายกันไป

แต่ว่าทำไม คำที่ใช่เรียกลู่หมิง เหมือนจะไม่ค่อยถูก แต่ละคนล้วนเรียกว่า “เต่าขนเขียว”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจว่าในสถาบันสอนวิชาบู๊จะมีกฏที่คิดฉายาให้ด้วย แต่พอคิดดู คำว่าเต่าขนเขียว ก็ไม่ได้จะน่าฟังอะไร

อีกอย่าง จากที่คนพวกนั้นตะโกนเรียกไปด้วย ท่าทางหัวเราะไปด้วย ฉายานี้คงจะต้องเป็นการพูดประชดแน่นอน

เขาสูงด้านหน้าเริ่มมองเห็นชัดเจนขึ้น ยอดเขาสูง เมฆหมอกปกคลุมไปทั่วทั้งเขา

ในที่สุด หลังจากเดินกันมาเกือบสองชั่วยาม ก็มาถึงตีนเขาแล้ว

ต่อให้ยืนอยู่ตรงนี้ ก็ยังมองลักษณะของภูเขาทั้งลูกไม่ชัดเจน มองเห็นได้แค่ระหว่างภูเขานั้น มีเส้นทางที่ให้คนเดินไปได้

นอกเส้นทาง มีตาแก่คนหนึ่งนั่งอยู่ เสื้อผ้าขาดวิ่น ไม่ใส่รองเท้า เส้นผมและหนวดเคราเต็มไปด้วยฝุ่นดิน

ลู่หมิงหันไปพูดว่า “หยิบป้ายหยกของทุกคนออกมา ให้ชายชราคนนั้นดูแล้วก็เข้าไป”

ลู่ฝานได้ยินดังนั้นก็หยิบป้ายหยกออกมา แต่ฮ่วนเย่ว์กลับไม่อยากจะหยิบออกมา

ลู่หมิงก็ขมวดคิ้วพูดกับฮ่วนเย่ว์ว่า “ป้ายหยกของคุณล่ะ?”

ฮ่วนเย่ว์พูดนิ่งๆ ว่า “ป้ายหยกอะไร ฉันไม่มีป้ายหยก ฉันมีแค่ป้ายเหล็กอันเดียว”

พูดไป ฮ่วนเย่ว์ก็หยิบป้ายเหล็กเก่าๆ อันหนึ่งออกมา ด้านบนเขียนคำว่า บู๊ ตัวใหญ่ๆ ลู่หมิงก็สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยพูดว่า “คุณหนูฮ่วนเย่ว์ ถ้าไม่มีป้ายหยก จะเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ไม่ได้นะ เอาป้ายเหล็กเก่าๆ ออกมาจะมีประโยชน์อะไร?”

ฮ่วนเย่ว์พูดว่า “นายรู้ได้ไงว่าไม่มีประโยชน์ ป้ายเหล็กของฉันมีประโยชน์กว่าป้ายหยกของพวกนายเยอะเลย เชื่อไหมล่ะ”

ลู่หมิงก็มีสีหน้าไม่เชื่อ และในตอนนี้เอง ก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามา

“เต่าขนเขียวลู่หมิง กลับมาแล้วหรือ ฮ่าๆ ปีนี้จะได้แกล้งนายอีกแล้วนะ”

เสียงนั้นฟังแล้วก็น่ารำคาญ ชายรูปร่างผอม ตารูปสามเหลี่ยม สวมชุดเผาบู๊สีม่วงเดินเข้ามา

อยู่ข้างๆ ชายคนหนึ่ง แล้วก็มีชายสวมชุดนักบู๊สีขาว สองคนนี้เหมือนจะหน้าตาเหมือนกัน

สายตาของลู่หมิงมีความเยือกเย็นสาดออกมา มือก็กำหมัดแน่น