“เฉียนเฟิง ไม่เจอกันหลายเดือน สบายดีนะ”

เฉียนเฟิงยิ้มพูดว่า “สบายดี สบายดีมาก มีคนจะแนะนำให้รู้จัก นี่คือน้องชายของผม ชื่อเฉียนหยู่ ปีนี้เพิ่งผ่านการทดสอบของสถาบันสอนวิชาบู๊ เฉียนหยู่ นี่คือลู่หมิงฉายาเต่าขนเขียว ที่เคยเล่าให้ฟังตอนอยู่ที่บ้านไง ต่อไปถ้าเอ็งขาดเหลืออะไร หรืออยากได้คนไปช่วยเก็บสมุนไพร ก็ไปหาเขาได้เลย หรือถ้าขาดคนซักผ้า ก็ไปหาเขาได้”

เฉียนหยู่อ้าปากยิ้ม รอยยิ้มดูร้ายกาจมาก แล้วพูดว่า “เข้าใจแล้วครับพี่”

เฉียนเฟิงเดินขึ้นไปข้างหน้า แล้วเอามือตีที่แก้มของลู่หมิง ดูเหมือนจะตีเบาๆ แต่มันแรงเหมือนกัน ตีจนแก้มของลู่หมิงแดงไปเลย แล้วพูดว่า “ลู่หมิง เอ็งจะมาช่วยทุกอย่างเลยใช่ไหมล่ะ”

ลู่หมิงกัดฟันไม่พูดจา ตอนนี้ลู่ฝานก็ทนดูต่อไปไม่ได้ เลยพูดออกมาว่า “เขาจะช่วยหรือไม่ช่วย มันก็ใช่ว่าคุณจะมาสั่งการได้”

เฉียนเฟิงหันหน้ามามองลู่ฝาน สองคนจ้องหน้ากัน บนตัวของลู่ฝานก็อารมณ์ขึ้นจะเอาเรื่อง

เฉียนเฟิงดูเหมือนจะสัมผัสได้ว่าลู่ฝานไม่ธรรมดา เลยเลิกราไป แล้วพูดว่า “อ้าว ลู่หมิง เอ็งหาพวกมาหรอวะ เป็นคนในตระกูลเหมือนกันงั้นสิ? เหอะๆ เห็นแก่ที่มีคนของตระกูลแกอยู่ด้วย จะไม่ทำให้เอ็งขายหน้าก็แล้วกัน เดี๋ยวกลับเข้าไป เราต้องมาคุยกันหน่อย”

เฉียนเฟิงพูดจบก็พาน้องชายตนเองจากไป เอาป้ายหยกให้ชายแก่ดู แล้วก็ผ่านทางเข้าไป

ลู่ฝานหันไปมองลู่หมิง เหมือนว่าลู่หมิงอยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊จะมีชีวิตที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก

นิ่งเงียบไปสักพัก ลู่ฝานก็พูดว่า “ลู่หมิง มีอะไรให้ช่วยไหม?”

ลู่หมิงกัดฟันพูดว่า “ไม่ต้องการ นี่มันเป็นเรื่องของฉัน นายไม่ต้องยื่นมือเข้ามายุ่ง สนใจแต่เรื่องตัวเองก็พอ”

พูดจบ ลู่หมิงก็หยิบป้ายหยกออกมา แล้วเดินเข้าไป

ฮ่วนเย่ว์ก็พูดว่า “พี่น้องของนายคนนี้ นิสัยแย่มาก ถ้าฉันเป็นนายนะ ฉันคงเกลียดตั้งแต่เด็กแล้ว”

ลู่ฝานยิ้มเบาๆ พูดว่า “เธอพูดถูกต้อง ผมไม่ค่อยชอบเขาตั้งแต่เด็กแล้ว”

ฮ่วนเย่ว์ไม่เข้าใจความหมายที่ลู่ฝานพูดมา ลู่ฝานก็ขี้เกียจจะอธิบาย

รีบเดินขึ้นหน้าไป ลู่ฝานก็เอาป้ายหยกมาให้ชายแก่ดู

ชายแก่ก็พูดนิ่งๆ ว่า “เข้าไปได้”

ลู่ฝานเก็บป้ายหยกแล้วก็เดินเข้าไป ฮ่วนเย่ว์ที่อยู่ด้านหลังก็บุกเข้ามาเลย แล้วก็ถูกชายแก่ขวางไว้

“นักเรียนคนนี้ กรุณาแสดงป้ายหยกของเธอด้วย”

ชายแก่พูดอย่างสงบนิ่ง ฮ่วนเย่ว์ก็โยนป้ายเหล็กไปตรงหน้าของชายแก่

“ฉันไม่มีป้ายหยก”

ฮ่วนเย่ว์พูดอย่างเย่อหยิ่ง เหมือนกับว่าการไม่มีป้ายหยกก็ไม่ได้เป็นเรื่องขายหน้าอะไร

พอได้ยินคำของฮ่วนเย่ว์ คนทางด้านหลังก็หัวเราะกันหมด

“ไม่มีป้ายหยกแล้วจะมาสถาบันสอนวิชาบู๊ทำไม มาเยี่ยมชมเฉยๆ งั้นสิ”

“สมองมีปัญหารึไง สถาบันสอนวิชาบู๊ไม่ใช่สถานที่ที่เธอจะเข้ามาได้ง่ายๆ รีบกลับไปกินยาเถอะไป”

…….

ฮ่วนเย่ว์ก็หันไปทำตาโตใส่คนพวกนี้ แล้วก็โยนป้ายเหล็กใส่ตรงหน้าของชายแก่ “มองดูให้ดี แล้วอย่าบอกว่าฉันเข้าไปไม่ได้”

ชาแก่มองอย่างสงสัย พอเห็นชัดเจนแล้วบนป้ายเหล็กมีคำว่า บู๊ ชายแก่ก็สีหน้าเปลีย่นทันที

แล้วก็รีบเอาป้ายเหล็กคืนให้กับฮ่วนเย่ว์อย่างเคารพ “ที่แท้คุณหนูฮ่วนเย่ว์มาถึงนี่เอง เชิญเลยครับๆ”

ฮ่วนเย่ว์ส่งเสียงไม่พอใจเบาๆ แล้วก้าวขายาวๆ เดินเข้าไป คนด้านนอกก็อึ้งไปกันไปหมด

เกิดอะไรขึ้น ให้เข้าไปได้เลยหรือ?

ลู่ฝานพอเดาได้ว่าป้ายเหล็กอันนั้นน่าเป็นของที่อาจารย์ของฮ่วนเย่ว์ให้มา มีอาจารย์ระดับแดนหยินหยางนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ

เส้นทางที่มืดมิดมีเสียงน้ำหยอดลงมา เส้นทางคับแค้นลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายเหลือช่องว่างให้สองคนเดินเรียงกันเท่านั้น

พอเดินเข้ามาลึกเรื่อยๆ ก็เห็นว่าด้านหน้ามีแสงสว่าง

ในที่สุดก็เดินมาถึงจุดที่มีแสง สว่างขึ้นมาทันที แสงอาทิตย์แยงตา จ้องมองไปสุดสายตา

ทันใดนั้นเอง ทิวทัศน์สวยงามดั่งภาพวาดก็ปรากฏขึ้นในสายตาของลู่ฝาน

ตำหนักหลังหนึ่งที่ไกลออกไป มีขนาดใหญ่มาก ดูโอ่อ่ามาก เหมือนกับกำลังล่องลอยอยู่ในก้อนเมฆ มองออกไปไกลๆ ก็เห็นเป็นงานแกะสลักไม้ หลังคาสีเหลืองทองประกาย

ด้านบนของตำหนัก ตั้งหินที่ลอยกลางอากาศไว้ ด้านบนเขียนไว้ว่า วิถีบู๊ สะท้อนจิตใจคนอย่างมาก

มีภูเขาเขียวน้ำใสแต่งเติมโดยรอบ วิหคบินไปมา เมฆขาวล้อมรอบ

ในตำหนัก มีสนามบู๊ขนาดใหญ่ มีนักบู๊กลุ่มหนึ่งกำลังฝึกวิชาอยู่ด้านใน เสียงฝึกซ้อม หึ ห่ะ ดังออกมา ดูมีกำลังกันมาก

ทั้งสี่ทิศถูกภูเขาล้อมรอบ บนหน้าผาหิน ยังมีสิ่งก่อสร้างอีก คดเคี้ยวไปตามน้ำตก

ศาลาหรือตึกในรูปแบบโบราณมีให้เห็นมากมาย มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่านด้านนอกของตำหนัก จนสามารถมองเห็นปลากระโดดขึ้นมาได้

มีกลิ่นอายของความเป็นสถานที่แห่งเทพเซียน

ลู่ฝานมองดูจนละสายตาไม่ได้ กระทั่งฮ่วนเย่ว์ไปชนตัวเขา แล้วพูดว่า “อย่ามาขวางทาง รีบเดินต่อไป”

ลู่ฝานจึงตั้งสติขึ้นมาได้ เลยรีบเดินลงไปด้านล่าง

ด้านหลังมีเสียงตื่นเต้นดังขึ้นไม่หยุด แล้วทุกคนก็ค่อยๆ เดินลงไปบนทางเดินที่เป็นกระดานหิน

ถนนกระดานหินสายนี้เหมือนลอยอยู่บนอากาศ มุ่งตรงไปยังประตูหลักของตำหนัก

พอเข้ามาใกล้ ถึงจะรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตำหนักยิ่งใหญ่แค่ไหน กินพื้นที่เป็นพันลี้

ในที่สุด ก็มาถึงยังประตูหลักของสถาบันสอนวิชาบู๊ อาจารย์หลายคนก็มารอนานแล้ว เลยพูดกับทุกคนว่า “นักเรียนที่มาใหม่ เข้าไปพักที่เรือนตงเซียงกันให้หมด อีกสามวัน จะเริ่มการประลอง”

ลู่ฝานก็รู้อยู่แล้วว่าการประลองแบ่งห้องเป็นอย่างไร แต่ก็ยังมีบางคนไม่รู้ ได้ยินดังนั้นก็เริ่มคุยกัน

พอตามอาจารย์คนหนึ่งเข้าไปทางประตูหลัก ก็เดินไปทางทิศตะวันออก

ลู่ฝานก็มองหินที่อยู่เหนือหัวเขาขึ้นไปไม่หยุด

คำว่า วิถีบู๊ ที่ยิ่งใหญ่ ทำให้ลู่ฝานรู้สึกชอบมาก ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าพลังฟ้าดินโดยรอบเข้มข้นขึ้นอย่างผิดปกติ

ที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการฝึกวิชาอย่างที่สุด

เขามาถูกที่แล้ว

ลู่ฝานกำมือแน่น อีกสามปีหลังจากนี้ เขาจะอยู่ที่นี่ เขาตัดสินใจจะสร้างตำนานของตนเองไว้ที่นี่