ตอนที่ 178 บัณฑิตจางขอเข้าพบ

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 178 บัณฑิตจางขอเข้าพบ

ในเมื่อภาพวาดวันนี้กลับดีกว่าภาพวาดเมื่อวานในทุกด้าน

เช่นนั้นก็มิสามารถที่จะให้มู่หรงลี่จูประเมินราคาได้แล้ว

ด้วยเหตุนี้หลังจบมื้อกลางวัน เย่ฉางชิงจึงได้พาทุกคนไปยังศาลาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับความเห็นด้านดนตรีของตนเองอีกครา

เพียงแต่วันนี้มิเหมือนเมื่อวาน

เย่ฉางชิงได้เชิญมู่หรงลี่จูให้อยู่ต่อ ซึ่งอีกฝ่ายย่อมยินดีอยู่แล้ว

ผู้อาวุโสเย่เชิญให้อยู่ต่อ ผู้น้อยเช่นนางจะกล้าปฏิเสธได้เยี่ยงไร ?

อีกอย่างการได้อยู่กับผู้อาวุโสเย่ ทุกคำพูดเเละการกระทำล้วนแต่สามารถได้รับโอกาสและวาสนามากมาย เรื่องดี ๆ เช่นนี้นางจะปฏิเสธได้เยี่ยงไรกัน ?

ส่วนพวกราชวงศ์ของเยี่ยนเทียนซานนั้น หาได้อยู่ในสายตาของนางมู่หรงลี่จูไม่

อีกอย่างเยี่ยนเทียนซานอยากให้นางรับเยี่ยนปิงซินเป็นศิษย์ หากนางอยู่ต่อ เยี่ยนเทียนซานย่อมต้องยินดีอยู่แล้ว

จนเวลาผ่านไปเกือบ 2 ชั่วยาม

เย่ฉางชิงจึงให้พวกมู่หรงลี่จูนั่งทวบทวนทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาอธิบาย ก่อนจะหาข้ออ้างปลีกตัวออกมา

เมื่อกลับมาถึงเรือน เย่ฉางชิงก็ได้ปิดประตูลง ก่อนจะหยิบกระดาษซวนออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ และเริ่มวาดภาพใหม่อีกคราทันที

เขามั่นใจว่าภาพวาดที่ยอดเยี่ยมในวันนี้ เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น !

เขามิเชื่อหรอกว่าภาพที่เขามิได้ตั้งใจแม้แต่น้อยจะดีกว่าภาพอื่นที่เขาตั้งใจวาดได้เยี่ยงไร

หลังจากนิ่งเงียบและไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เริ่มจรดพู่กันและเริ่มวาดภาพอีกครา

จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม เย่ฉางชิงก็ได้ถอนหายใจออกมา พลันดึงสติของตัวเองออกมาจากภาพวาด

แต่มิรู้เพราะเหตุใด

เขารู้สึกว่าแม้ตนเองจะตวัดพู่กันอย่างรวดเร็ว แต่เหมือนกับมีบางสิ่งเกิดขึ้นอีกแล้ว

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ?

“คงมิได้เกิดเรื่องบังเอิญอะไรขึ้นอีกหรอกนะ ? ”

เย่ฉางชิงขมวดคิ้วมุ่น ลังเลเล็กน้อยก่อนจะจ้องไปที่ภาพวาดภาพใหม่ของเขา

มินานเขาก็พบปัญหาบางอย่างเข้า

ภาพวาดที่อยู่ตรงหน้าของเขาภาพนี้ เรียกว่าเป็นภาพนกกระเรียนเหินก็ว่าได้

ในภาพมีทั้งต้นไผ่ ป่าอันเขียวชอุ่ม ภูเขาหิน ก้อนเมฆ นกกระเรียนเหิน และองค์ประกอบอื่น ๆ

แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว มิว่าจะเรื่องแนวความคิดของภาพหรือองค์ประกอบของภาพ กลับดูเหมือนว่าจะดีกว่าภาพวาดเมื่อเช้านี้เสียอีก

‘นี่… นี่มัน… นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ’

‘ภาพที่มิได้ตั้งใจ ทั้งยังวาดอย่างลวก ๆ แทบจะเรียกได้ว่าเสร็จภายในชั่วอึดใจ เหตุใดถึงได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้ได้ ? ’

‘หรือว่าความแตกฉานในด้านนี้ของข้าจะสูงส่งเกินไป ? ’

เหมือนกับมือกระบี่ที่มีฝีมือสูงส่ง หลังจากฝึกกระบี่ถึงขั้นสูงสุดแล้ว แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าก็สามารถกลายเป็นกระบี่ได้

ส่วนภาพวาดของเขาเพียงแค่วาดขึ้นลวก ๆ ก็สามารถกลายเป็นผลงานชิ้นเอกได้แล้ว

เย่ฉางชิงนิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้นขณะพิจารณาภาพวาดตรงหน้า รู้สึกสมองมึนงงไปหมด

เดิมเขาคิดที่จะอาศัยการขายภาพวาดแลกเงิน เพื่อลงหลักปักฐานในเมืองหลวง

แต่ใครจะไปคิดว่าความแตกฉานในการวาดภาพของเขากลับสูงเกินไป มิสามารถวาดผลงานที่ได้ราคา 180,000 ตำลึงทองเช่นอาจารย์ปี้เหลียนได้

เช่นนี้แล้วก็หมายความว่าภาพของเขาก็มิสามารถที่จะขายได้น่ะสิ

เย่ฉางชิงคิดถึงตรงนี้ก็ค่อย ๆ กางมือทั้งสองข้างออก พลางเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าชอกช้ำ “อยู่ในโลกเซียนเช่นนี้โดยไร้รากวิญญาณ ก็หมายความว่าชั่วชีวิตนี้มิอาจบำเพ็ญเพียรได้ แต่ข้ากลับมีความสามารถที่ไร้ประโยชน์พวกนี้”

“ที่สำคัญกว่านั้นเพราะความแตกฉานในการวาดภาพสูงส่งเกินไป จะวาดภาพแลกเงินก็มิอาจทำได้อีก ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี ! ”

วินาทีนี้นับเป็นครั้งแรกที่เย่ฉางชิงรู้สึกหงุดหงิด เพราะความสามารถเหล่านี้ของตน

หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เย่ฉางชิงก็ได้ไตร่ตรองดูอีกครา

‘แล้วความแตกฉานในด้านอักษรพู่กันของเราเล่า จะเป็นเช่นนี้ด้วยหรือไม่นะ ? ’

คิดได้เช่นนั้นแล้ว เขาก็เพ่งสมาธิ หยิบกระดาษซวนอีกแผ่นออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ ก่อนจะจรดพู่กันลงไปอย่างรวดเร็ว

‘คืนยามวสันตฤดูลมพัดเนิ่นนาน ดอกสาลี่บานสะพรั่งนับพันหมื่น’

ตัวอักษรโบราณทั้งหมดถูกตวัดอย่างรวดเร็วเพียงชั่วอึดใจ

อีกทั้งยังเขียนออกมาอย่างมิได้ตั้งใจ เพียงแต่เขียนขึ้นตามความรู้สึกเท่านั้น

ยิ่งมิตั้งใจเขียน ทว่าทั้งพลังและมุมมองของอักษรพู่กันนี้ กลับดีกว่าที่ตั้งใจเขียนก่อนหน้านี้หลายเท่า

เย่ฉางชิงมองอักษรโบราณที่อยู่บนโต๊ะตัวยาวด้วยความตกใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

ขณะที่เย่ฉางชิงเหม่อลอยอยู่เพียงลำพังนั้น อารามฉางชิงบนเขาตะวันออกของเมืองหลวง พลันปรากฏนิมิตขึ้นอีกครั้ง

เมื่อทอดมองออกไป

จะเห็นลำแสงสีขาวราวกับหิมะกระเพื่อมราวกับระลอกคลื่น ก่อนทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า

นิมิตที่เห็นนั้นงดงามราวกับปาฏิหาริย์

มินานประกายไฟอันระยิบระยับมากมายก็ร่วงลงมาราวกับสายฝน

ทำให้ด้านล่างเขาตะวันออกเต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัดอีกครั้ง

หลังจากที่เห็นภาพตรงหน้าทุกคนต่างก็เผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความศรัทธาออกมา พร้อมคุกเข่าลงคำนับกับพื้น

ในจำนวนนั้นมีอยู่มิน้อยที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียร หลังจากที่พวกเขาสัมผัสได้ถึงไอพลังวิถีกระบี่อันบริสุทธิ์ ก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นและโค้งคำนับด้วยความเคารพเช่นกัน

เนื่องด้วยหลายวันมานี้อารามฉางชิงแห่งนี้เกิดนิมิตขึ้นมิเว้นแต่ละวัน

ที่สำคัญที่สุดก็คือ ล้วนแต่เป็นสัญญาณมงคลทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อารามฉางชิง มีผู้ศรัทธาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

บางคนถึงขนาดบูชาท่านเทพฉางชิงผู้นี้ไว้ในห้องโถงของบ้านตัวเองด้วยซ้ำ

สำหรับมนุษย์ธรรมดาแล้ว การนับถือหรือการบูชาเทพนั้น บ้างก็เพื่อต้องการบรรลุในสิ่งที่ตนเองปรารถนา บ้างก็เพื่อได้รับการปกป้องคุ้มครองเท่านั้น

เช่นนั้นสาเหตุที่อารามฉางชิงมีผู้ศรัทธามากมายภายในระยะเวลาสั้น ๆ มิใช่เพียงเพราะนิมิตที่เกิดขึ้นบ่อยคราในช่วงนี้ แต่เป็นเพราะความปรารถนาของหลายคนกลับสามารถเป็นจริงได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

เช่นนั้นจึงมีผู้ศรัทธาเพิ่มขึ้นมากมายได้ถึงเพียงนี้

หลายวันผ่านไป

นับตั้งแต่วันนั้นมาเย่ฉางชิงก็มิได้เขียนอักษรพู่กันหรือวาดภาพอีก

ยอมรับความจริง

ต้องบอกว่าหลายวันมานี้อารมณ์ของเขาหดหู่ลงอย่างมาก มีเพียงช่วงพลบค่ำที่จะดีดพิณเพื่อคลายความขมขื่นภายในจิตใจ

หลังจากไตร่ตรองตลอดหลายวันมานี้ เขาก็ได้เข้าใจในหลาย ๆ เรื่อง

ในเมื่อมิอาจอยู่ที่เมืองหลวงต่อได้ เช่นนั้นเขาก็จะกลับไปเมืองเสี่ยวฉือ ใช้ชีวิตอันเงียบสงบของเขาต่อไป

อีกทั้งการที่คนในเมืองหลวงเคารพนอบน้อมเขาถึงเพียงนี้ ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก

เทียบกันแล้วเขากลับชอบชาวเมืองเสี่ยวฉือที่ซื่อ ๆ เหล่านั้นมากกว่า

ส่วนบุญคุณที่ติดค้างตระกูลเยี่ยนเอาไว้

พวกเขาหลงใหลในอักษรพู่กันและภาพวาดมิใช่หรือ เช่นนั้นก่อนที่เขาจะจากไปก็มอบภาพอักษรพู่กันและภาพวาดพู่กันให้พวกเขาแทนก็แล้วกัน

วันนี้หลังจากเย่ฉางชิงและคนอื่น ๆ ทานมื้อเที่ยงเสร็จ และออกมาจากห้องทานอาหารแล้ว

คนรับใช้ร่างกายกำยำผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน

เขาลอบสบตากับเยี่ยนจิ่งหงเล็กน้อย ก่อนจะรายงานเย่ฉางชิงอย่างนอบน้อมว่า “เรียนท่านเย่ บัณฑิตจางแห่งสำนักศึกษาตงหลันขอเข้าพบขอรับ”

คนรับใช้เหล่านี้ล้วนแต่เป็นทหารองครักษ์ที่เยี่ยนจิ่งหงเลือกมาด้วยตัวเองทั้งนั้น เช่นนั้นจึงรู้จักบัณฑิตจางแห่งสำนักศึกษาตงหลันเป็นอย่างดี

จึงจำต้องมารายงานให้ทราบ

‘สำนักศึกษาตงหลัน ? ’

‘บัณฑิตจาง ? ’

‘หรือว่าจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบอักษรพู่กัน ? ’

“เช่นนั้นก็เชิญบัณฑิตจางท่านนั้นเข้ามาเถิด”

เย่ฉางชิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบสั่งออกไป

ในเมื่ออีกฝ่ายมาพบเขา แม้มิหวังว่าจะได้ขายอะไรให้ แต่อย่างน้อยก็ยังต้องรักษามารยาทเอาไว้

หลังจากที่คนรับใช้ผู้นั้นเดินจากไปแล้ว

เย่ฉางชิงก็ได้หันไปถามเยี่ยนจิ่งหงว่า “คุณชายเยี่ยน สำนักศึกษาตงหลันในเมืองหลวงถือว่าเป็นเช่นไรบ้าง ? ”

เยี่ยนจิ่งหงตอบกลับอย่างมีมารยาท “เรียนท่านเย่ สำนักศึกษาตงหลันเป็นหนึ่งในสองสำนักศึกษาที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวง เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในการฝึกฝนผู้ที่มีความสามารถของแคว้นต้าเยี่ยน เกือบครึ่งหนึ่งของขุนนางแคว้นต้าเยี่ยนล้วนมาจากสำนักศึกษาทั้งสองแห่งนี้ เช่นนั้นสำนักศึกษาตงหลันจึงถือว่ามีความสำคัญต่อเมืองหลวงอย่างมากขอรับ”

เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงทันที ก่อนที่จะเกิดความยินดีขึ้น

นี่คือโอกาส !

ตอนที่อยู่อีกโลกหนึ่ง เขาก็เกิดในตระกูลบัณฑิต ทั้งยังเรียนสายศิลป์มา เช่นนั้นการสอนคนคงมิใช่ปัญหาใหญ่อะไร

หากวันนี้สามารถเชื่อมไมตรีกับบัณฑิตจางท่านนี้ได้ จากนั้นหากเขาได้เข้าไปอยู่สำนักศึกษาตงหลัน อาจจะกลายเป็นอาจารย์หรือนักปราชญ์ก็ได้

อีกทั้งสำนักศึกษาตงหลันแห่งนี้ยังสำคัญกับแคว้นต้าเยี่ยนอย่างมาก เช่นนั้นเบี้ยหวัดย่อมมิใช่น้อย ๆ อย่างแน่นอน

‘เอาล่ะ’

‘ในเมื่อมิสามารถขายภาพวาดและอักษรพู่กันเพื่อหาเลี้ยงชีพในเมืองหลวงได้ เช่นนั้นก็เริ่มจากการเข้าสู่สำนักศึกษาตงหลันก่อนก็แล้วกัน’

เย่ฉางชิงคิดถึงตรงนี้ก็ส่งยิ้มให้กับเยี่ยนจิ่งหง “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นข้าขอทำความรู้จักกับบัณฑิตจางท่านนี้อย่างละเอียดเสียหน่อย”

เยี่ยนจิ่งหงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มแห้ง ๆ