ตอนที่ 179 สมแล้วที่เป็นยอดฝีมือ

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 179 สมแล้วที่เป็นยอดฝีมือ

นอกประตูเรือนจิ่งหลันหยวน

จางเฉินบัณฑิตแห่งสำนักศึกษาตงหลันกำลังยืนอย่างนอบน้อมอยู่หน้าบันได

เขาคอยชำเลืองมองเข้ามาด้านในประตู ก่อนจะส่งยิ้มให้แก่คนรับใช้ที่ยืนตระหง่านอยู่ด้านบนบันได

ต้องยอมรับว่าเวลานี้เขาที่แม้จะเป็นบัณฑิตที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองหลวง ยังอดมิได้ที่จะรู้สึกทั้งตื่นเต้นและดีใจ ที่จะได้พบท่านเทพฉางชิงที่ลงมายังโลกมนุษย์

เพราะหลายวันมานี้เขาท่องไปทั่วทางใต้ของเมืองหลวง เพื่อตามหาท่านเทพฉางชิงท่านนี้ก็เพื่ออนาคตของแคว้นต้าเยี่ยน เพื่อราษฎรทั่วทั้งใต้หล้า

แต่สุดท้ายก็มิเป็นผล

แต่เพราะภาพวาดที่อยู่ชั้นบนสุดของหอจุ้ยเซียน เขาจึงได้พบเบาะแส

สุดท้ายจึงสืบรู้ได้ว่าท่านเทพฉางชิงท่านนี้พำนักอยู่ที่เรือนจิ่งหลันหยวน จากคนที่หอสายลมจันทรา

แน่นอนว่าหลังจากที่สืบรู้ที่อยู่ของท่านเทพฉางชิงแล้ว เขามิได้รีบร้อนมาขอเข้าพบทันที

แต่ได้ลองใคร่ครวญอยู่สองวันเต็ม ๆ ก่อนตัดสินใจมาขอเข้าพบในวันนี้

แต่เมื่อเขามาถึงที่นี่แล้ว กลับอดมิได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา

เยี่ยงไรเสียเขาก็กำลังจะได้พบกับท่านเทพ

ทวยเทพที่ลงมาท่องยังโลกมนุษย์ !

จางเฉินคิดถึงตรงนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองลง

จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งก้านธูป คนรับใช้ที่เข้าไปรายงานก่อนหน้านี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกคราอย่างรีบร้อน

“น้องชายท่านนี้….”

จางเฉินเห็นเช่นนั้นก็เผยสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันที อดมิได้ที่จะก้าวเข้าไปหา แต่กลับเผยท่าทางอึดอัดออกมา

คนรับใช้ผู้นี้ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน พลางเบี่ยงกายเชื้อเชิญ “ท่านจาง ท่านเย่ให้มาเชิญขอรับ”

จางเฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่จะเผยสีหน้ายินดีออกมา มือทั้งสองข้างยกชายเสื้อคลุมขึ้น ก่อนรีบก้าวขึ้นบันไดไป

เมื่อเขาเดินมาถึงหน้าประตูก็หยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน เพื่อจัดอาภรณ์และผมเผ้าของตัวเองเล็กน้อย

ขณะเดียวกันก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองลงอีกครา

ตอนนั้นเองคนรับใช้ก็ได้เอ่ยเตือนด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านจาง ท่านเย่มิชอบให้ผู้อื่นเรียกเขาว่าผู้อาวุโส เช่นนั้นเมื่อท่านได้พบกับเขาก็ให้เรียกแค่ท่านเย่ก็พอนะขอรับ”

‘ท่านเย่ ? ’

จางเฉินอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ข้าทราบแล้ว”

เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป

คนรับใช้ผู้นั้นก็เดินนำจางเฉินมายังหน้าโถงรับแขกโบราณหลังหนึ่งด้วยความคุ้นเคย

“ท่านเย่ ท่านบัณฑิตจางมาถึงแล้วขอรับ”

คนรับใช้หยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู พร้อมโค้งตัวลงเพื่อรายงานให้ทราบ

“เชิญเขาเข้ามาได้”

เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน พร้อมกับลุกขึ้นยืนทันที

คนอื่น ๆ จึงได้ลุกขึ้นตาม

มินาน จางเฉินที่อยู่ในชุดบัณฑิตมีผมและหนวดขาวโพลนก็ได้ปรากฏตัวขึ้น

“จางเฉินคารวะท่านเย่”

จางเฉินโค้งคำนับด้วยท่าทางนอบน้อมทันทีที่มาถึงหน้าประตู

เขาถึงขนาดมิทันสังเกตว่าภายในห้องรับแขกนั้นมีใครอยู่บ้าง

ใครกันคือท่านเทพฉางชิงท่านนั้น !

ทันทีที่เห็นบัณฑิตจางแห่งสำนักศึกษาตงหลัน ผู้เฒ่าแปลกหน้าผู้นี้

เย่ฉางชิงก็ถึงกับตกตะลึงทันที

‘นี่… มันอะไรกัน ? ’

‘ก่อนหน้านี้เคยพบกันมาก่อนเยี่ยงนั้นหรือ ? ’

‘เหตุใดเพียงพบกันคราแรก ถึงได้ดูนอบน้อมเพียงนี้ ! ’

‘หรือว่าเขาจะหลงไหลในอักษรพู่กันหรือภาพวาดมากเยี่ยงนั้นหรือ ? ’

‘มีความเป็นไปได้ ! ’

‘คงจะเป็นเช่นนั้น ! ’

หลังจากที่ได้สติ

เย่ฉางชิงก็ส่ายหน้าไปมาพร้อมยิ้มออกมา ก่อนจะเดินเข้าไปประคองจางเฉินขึ้น

“ท่านจาง พวกเรามิเคยพบกันมาก่อน มิจำเป็นต้องเกรงใจถึงเพียงนี้หรอก”

เย่ฉางชิงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน และเอ่ยขึ้นช้า ๆ ว่า “อีกอย่างต่อไปหากพบหน้ากันอีกก็มิจำเป็นต้องมากพิธีเช่นนี้หรอก”

แน่นอนว่าแม้จะพูดเช่นนั้น แต่ความจริงสิ่งที่เย่ฉางชิงคิดกลับมิใช่เรื่องนั้น

‘บัณฑิตจาง ท่านแก่แล้วก็อย่าได้เกรงใจข้าถึงเพียงนี้เลย’

‘หากท่านชอบอักษรพู่กันหรือภาพวาด ขอเพียงท่านต้องการก็บอกมาได้เลย’

‘จริงสิ สำนักศึกษาตงหลันของท่านยังขาดอาจารย์อยู่หรือไม่ กลอน อักษร มารยาท ดนตรี เรื่องเหล่านี้ ข้าล้วนแต่รอบรู้ทั้งสิ้น’

‘ส่วนเรื่องเบี้ยหวัดข้าเป็นคนคุยง่าย และพอใจง่าย ๆ…’

จางเฉินได้ยินเช่นนั้นก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น

ทันใดนั้น ใบหน้าอันผุดผ่องหล่อเหลาก็ปรากฏสู่สายตา

โดยเฉพาะท่าทางสุภาพอ่อนโยนที่แผ่ออกมาจากภายใน ช่างโดดเด่นยิ่งนัก

‘มิผิดแน่ ! ’

‘บุรุษหนุ่มที่ดูอ่อนเยาว์และหล่อเหลาตรงหน้าผู้นี้ ต้องเป็นท่านเทพฉางชิงท่านนั้นแน่ ! ’

แน่นอนว่าท่านเทพที่ลงมายังโลกมนุษย์เช่นนี้ ย่อมมิอาจมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอกได้

หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะก็ ท่านเทพฉางชิงท่านนี้เกรงว่าคงมีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานมากแล้ว

หลังจากที่ได้สติ

จางเฉินก็ฉีกยิ้มออกมา

“ท่านเย่กล่าวเกินไปแล้ว ทว่ากฎมิอาจละเลย มารยาทมิอาจเมินเฉย กฎและมารยาทถือเป็นรากฐานของราชวงศ์ ทั้งยังเป็นพื้นฐานของคนในการอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้ เช่นนั้นมิว่าจะด้วยเหตุใดล้วนมิอาจที่จะเสียมารยาทได้”

จางเฉินเอ่ยอย่างนอบน้อมกับเย่ฉางชิง

เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับนิ่งอึ้งไป

“ดูสิ ! ”

‘ช่างสมกับเป็นบัณฑิตแห่งยุคของสำนักศึกษาตงหลันจริง ๆ ’

‘มุมมองความคิดของเขา แค่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ยังหยิบยกกฎระเบียบและมารยาทขึ้นมาพูด มิหนำซ้ำยังไปไกลถึงเรื่องรากฐานบ้านเมืองและผู้คนได้’

คิดถึงตรงนี้แล้ว มุมปากของเย่ฉางชิงก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม

แต่ได้ยินจางเฉินเอ่ยเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าแคว้นต้าเยี่ยนคงใกล้ที่จะหลอมรวมกฎระเบียบและมารยาทให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้แล้ว

เช่นนี้แล้วเย่ฉางชิงจึงอดคิดอยู่ในใจมิได้ว่า ‘แคว้นต้าเยี่ยนแห่งนี้มิธรรมดาเลยจริง ๆ ! ’

แน่นอนว่าในเมื่ออยากที่จะเข้าไปในสำนักศึกษาตงหลัน เพื่อเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษา รับเบี้ยหวัดสูง ๆ

เวลานี้เขาก็ควรแสดงความรู้ของตัวเองออกมาเช่นกัน

ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“ท่านจางกล่าวได้มีเหตุผลแล้ว”

เย่ฉางชิงยิ้มออกมา ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ดังคำกล่าวที่ว่า คุณธรรมและศีลธรรมเป็นพื้นฐานของการปกครอง การลงโทษเป็นตัวช่วยในการปกครอง จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปมิได้ ดังเช่นกลางวันและกลางคืน หรือฤดูทั้งสี่ที่มิอาจขาดฤดูใดฤดูหนึ่งไปได้”

“เพียงแต่ในบางสถานการณ์นั้น กฎระเบียบและมารยาทเหล่านี้ก็สามารถคลายลงได้ มิเช่นนั้นอาจทำให้กลายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ ยิ่งไปกว่านั้นมีคนที่มีความคิดเหมือนกันมาเยี่ยมจากแดนไกล มิใช่เรื่องที่น่ายินดีหรอกหรือ ? ”

ทันทีที่สิ้นเสียง มิเพียงแต่จางเฉินที่นิ่งอึ้งอยู่กับที่ แม้แต่เยี่ยนจิ่งหงที่ยืนอยู่ด้านหลังเย่ฉางชิงเองก็อดมิได้ที่จะมีสีหน้าเปลี่ยนไป

ส่วนมู่หรงลี่จูและถานไถชิง เสวี่ยรวมทั้งเยี่ยนปิงซิน กลับมิได้มีท่าทีเปลี่ยนไปเท่าไรนัก

มู่หรงลี่จูถือกำเนิดจากตระกูลโบราณ อีกทั้งยังเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับแดนเทวาขั้นกลาง

สำหรับนางแล้ว กฎระเบียบและมารยาทของโลกมนุษย์จึงมิอาจควบคุมนางได้ เช่นนั้นนางจึงหาได้สนใจเรื่องพวกนี้ไม่

ส่วนถานไถชิง เสวี่ยนั้นบำเพ็ญเพียรในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงมาตั้งแต่เด็ก และเป็นถึงผู้สืบทอดหญิงย่อมมิเห็นเรื่องพวกนี้ของพวกมนุษย์อยู่ในสายตาเช่นกัน

ส่วนเยี่ยนปิงซินนั้น ด้วยความโปรดปรานของท่านบรรพบุรุษ อีกทั้งพรสวรรค์ของนาง ภายภาคหน้าย่อมต้องเดินบนวิถีการบำเพ็ญเพียรอย่างแน่นอน กฎระเบียบและมารยาทเหล่านี้จึงมิอาจควบคุมนางได้อยู่แล้ว

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้พวกนางสามคนรู้สึกคาดมิถึงก็คือ ยอดฝีมือเช่นผู้อาวุโสเย่กลับคุ้นเคยกับสิ่งที่เรียกว่ากฎระเบียบและมารยาทของโลกมนุษย์ได้มากถึงเพียงนี้

‘สมแล้วที่เป็นยอดฝีมือ ! ’

‘ช่างเก่งกาจเกินกว่าที่พวกเราจะคาดเดาได้จริง ๆ ! ’

ส่วนคำพูดเมื่อครู่ของเย่ฉางชิงเมื่อดังขึ้นในโสตประสาทของจางเฉินและเยี่ยนจิ่งหง กลับมิต่างอะไรกับสายฟ้าที่ฟาดลงมา

ความจริงแล้วคำพูดนี้มิได้ยากที่จะทำความเข้าใจ

ความหมายก็คือมารยาทเป็นพื้นฐานของการตรัสรู้ ส่วนการลงโทษจึงเปรียบเสมือนเครื่องมือที่ช่วยในการตรัสรู้ เมื่อทั้งสองมาเติมเต็มซึ่งกันและกัน เสมือนกลางวันและกลางคืนประกอบกันเป็นหนึ่งวัน ฤดูทั้งสี่ประกอบกันเป็นหนึ่งปี

ทว่าเพียงแค่ประโยคสั้น ๆ ประโยคหนึ่ง กลับสามารถอธิบายเรื่องกฎระเบียบและมารยาทได้อย่างเฉียบแหลมยิ่งนัก

อีกทั้งยังมอบทางสว่างนับอนันต์ให้แก่พวกเขาอีกด้วย

ดูก็รู้ว่าประโยคนี้กระแทกใจคนทั้งสองมากเพียงใด !

‘สมแล้วที่เป็นท่านเทพฉางชิง มุมมองและความคิดมิใช่สิ่งที่พวกเราจะเทียบเคียงได้เลยจริง ๆ ’

จางเฉินและเยี่ยนจิ่งหงคิดขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน

ตอนนั้นเองจางเฉินได้เหลือบมองเยี่ยนจิ่งหงเล็กน้อย ก่อนจะโค้งคำนับให้แก่เย่ฉางชิงอย่างนอบน้อม “จางเฉินขอบคุณท่านเย่ที่สั่งสอน”

เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความดีใจขึ้นมาทันใด

‘เพียงแค่พูดพล่ามประโยคสองประโยค บัณฑิตจางผู้นี้ถึงกับคาราวะอย่างนอบน้อมเพียงนี้เชียวหรือ’

‘เช่นนั้นแล้วขอเพียงข้าสามารถเข้าไปในสำนักศึกษาตงหลันได้ มิเท่ากับจะได้เป็นท่านบัณฑิตเย่หรอกหรือ ? ’

‘ดูท่าการอ่านหนังสือเยอะที่ผ่านมาจะพอมีประโยชน์อยู่บ้างเหมือนกัน’

“ท่านจาง เข้าไปคุยกันข้างในดีกว่า”

เย่ฉางชิงเอ่ยเชื้อเชิญด้วยรอยยิ้ม