ตอนที่ 180 มิใช่ปัญหาอะไรนี่นา

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 180 มิใช่ปัญหาอะไรนี่นา

หลังจากได้รับการเชื้อเชิญจากเย่ฉางชิง

จางเฉินจึงชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะยกชายชุดคลุมขึ้น และก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปในโถงด้านในอย่างระมัดระวัง

และต้องยอมรับว่าท่านเทพฉางชิงที่เดินนำหน้าเขาอยู่ในตอนนี้ ช่างแตกต่างจากที่เขาคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้มากทีเดียว

ในความคิดของเขายอดบุรุษเช่นนี้ จะต้องเย่อหยิ่งและน่าเกรงขามเป็นธรรมดา

แต่บัดนี้เขากลับคาดมิถึงว่า ท่านเทพฉางชิงกลับทำตัวตามสบายกับผู้น้อยเช่นเขาถึงเพียงนี้

มิน่าเชื่อ !

มิน่าเชื่อจริง ๆ !

“ท่านจาง เชิญนั่ง”

เย่ฉางชิงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวแรกสุด ก่อนจะเอ่ยกับจางเฉินพร้อมรอยยิ้ม

“ขอบคุณ… ท่านเย่”

จางเฉินชะงักเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ นั่งลง

เย่ฉางชิงเมื่อเห็นจางเฉินนั่งลงแล้วก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านจาง มิทราบว่าวันนี้ที่ท่านมาหาข้ามีเรื่องอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

จางเฉินได้ยินเช่นนั้นก็ลอบปรายตามองสตรีอายุน้อยทั้งสามที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม รวมทั้งเยี่ยนจิ่งหงที่นั่งอยู่ข้างเขา

เดิมทีเขาวางแผนเอาไว้ว่าวันนี้จะมาขอคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องมารยาท รวมทั้งประเด็นเรื่องสงครามของแคว้นต้าเยี่ยน

จากนั้นก็จะรีบจากไปทันที

เพราะในความคิดของเขา การเผชิญหน้ากับท่านเทพที่ลงมายังโลกมนุษย์เช่นนี้ เขาจะต้องได้รับแรงกดดันอย่างมากเป็นแน่

แต่ใครเลยจะคิดว่าท่านเทพฉางชิงผู้นี้กลับสุภาพอ่อนโยน อีกทั้งยังมิมากพิธีรีตรองอีกด้วย

ทว่าเมื่อมีคนตรงหน้าเหล่านี้อยู่ด้วย การจะขอคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องมารยาท ก็ดูจะเป็นการมิเหมาะมิควรเท่าไรนัก

แม้ท่านเทพฉางชิงท่านนี้จะมีนิสัยอ่อนโยน แต่สำหรับผู้น้อยและเป็นถึงบัณฑิตแห่งสำนักศึกษาตงหลัน เขาย่อมรู้ดีว่าจะทำอะไรล่วงเกินท่านเทพฉางชิงท่านนี้มิได้เป็นอันเด็ดขาด

จางเฉินไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ดวงตาจะเปล่งประกายขึ้น

‘จริงสิ ปรึกษาเรื่องนี้คงจะดีที่สุด ! ’

“ท่านเย่ หลายวันมานี้ข้าได้ยินมาว่าท่านสามารถแก้กลหมากปริศนาของหอสายลมจันทราได้ถึง 12 ภาพภายในวันเดียว ผู้น้อยเองก็หลงใหลในหมากล้อม วันนี้จึงต้องการมาขอคำชี้แนะเกี่ยวกับปัญหาในด้านหมากล้อมขอรับ”

จางเฉินเอ่ยกับเย่ฉางชิงอย่างนอบน้อม

‘หมากล้อม ? ’

‘ที่แท้ก็มิได้มาขออักษรพู่กันหรือภาพวาด แต่มาขอคำชี้แนะเกี่ยวกับหมากล้อมสินะ’

เย่ฉางชิงพยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้ม “มิมีปัญหา”

ทว่าเยี่ยนจิ่งหงที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินคำตอบของจางเฉินเช่นนั้น กลับมีสีหน้าเปลี่ยนไป

‘การหาที่นี่พบแสดงว่าบัณฑิตแห่งสำนักศึกษาตงหลันจางเฉินผู้นี้ รู้ตัวตนที่แท้จริงของท่านเย่แล้วสินะ’

‘แต่สุดท้าย ? ’

‘การขอเข้าพบมิใช่เพื่อแผ่นดินต้าเยี่ยน แต่เพื่อสนองความต้องการของตัวเองเยี่ยงนั้นหรือ’

‘จางเฉินเอ๋ยจางเฉิน ! ’

‘เจ้าทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก ! ’

‘คาดมิถึงว่าบัณฑิตจางผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ มีลูกศิษย์มากมายทั่วทุกหนแห่ง กลับมีความคิดตื้นเขินถึงเพียงนี้ ! ’

เยี่ยนจิ่งหงเวลานี้แม้ภายในใจจะรู้สึกโมโหเพียงใด แต่อยู่ต่อหน้าท่านเทพฉางชิง เขาจึงทำได้เพียงนั่งนิ่ง ๆ อยู่บนเก้าอี้เท่านั้น

จากนั้นพวกเย่ฉางชิงก็ได้พากันมายังศาลาหลังหนึ่ง

เขานั่งลงตรงข้ามกับจางเฉิน ตรงหน้าของคนทั้งคู่มีกระดานหมากล้อมที่แกะสลักจากไม้จินสื่อหนานกระดานหนึ่งวางอยู่

ส่วนคนอื่น ๆ นั้นกำลังยืนชมอย่างเงียบ ๆ ทั้งสองฝั่ง

หลังจากต่างฝ่ายต่างเกรงใจกันอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดทั้งสองคนก็เริ่มเดินหมากแล้ว

มินาน หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป จางเฉินก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ไป

หลังจากนั้น ผ่านไปอีกมิถึงหนึ่งก้านธูป จางเฉินก็ขอยอมแพ้อีกครั้ง

เวลามิถึงหนึ่งชั่วยาม ปรากฏว่าจางเฉินต้องขอยอมแพ้ไปถึง 7 ครั้ง

เพียงแต่บัณฑิตจางที่ดูหัวแข็งผู้นี้ มีท่าทางเหมือนจะมิยอมแพ้ง่าย ๆ

ทุกครั้งเมื่อขอยอมแพ้เองแล้ว ต่างฝ่ายต่างเก็บหมากบนกระดาน จากนั้นก็วางหมากใหม่อีกครั้ง ซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น

จางเฉินมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา เพียงแค่จ้องเขม็งไปที่กระดานและวางหมากลงไปมิหยุด

ส่วนเย่ฉางชิงเองวันนี้ก็มีความอดทนมากกว่าปกติอย่างมิทราบสาเหตุ

จางเฉินขอยอมแพ้จากนั้นก็เก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าเมื่อจางเฉินวางหมากใหม่ เขาก็วางหมากตาม มิได้มีท่าทีหงุดหงิดแต่อย่างใด

สุดท้ายเมื่อถึงตาที่สิบเอ็ด หลังจากที่จางเฉินยอมแพ้แล้ว

ในที่สุดเยี่ยนปิงซินก็ทนมองต่อไปมิไหว จึงใช้ข้ออ้างว่าจะไปซื้อสุราก่อน ก็รีบเดินจากไป

ขณะเดียวกัน ถานไถชิง เสวี่ยและมู่หรงลี่จูเองก็เหมือนจะทนดูต่อไปมิได้เช่นกัน จึงอ้างว่าจะไปเป็นเพื่อนเยี่ยนปิงซินและจากไป

นั่นหมายความภายในศาลาตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่เย่ฉางชิง จางเฉิน และเยี่ยนจิ่งหงเท่านั้น

เมื่อเห็นว่าในที่สุดพวกมู่หรงลี่จูจากไปแล้ว จางเฉินก็เหลือบมองเยี่ยนจิ่งหงเล็กน้อย จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น พร้อมยิ้มออกมาอย่างฝืดเฝื่อน “ความแตกฉานในวิถีหมากของท่านเย่เรียกได้ว่าไร้เทียมทานจริง ๆ เช่นนั้นหมากตานี้ผู้น้อยขอยอมแพ้แล้วจริง ๆ ขอรับ”

เย่ฉางชิงพยักหน้ายิ้ม ๆ

เมื่อเห็นว่าจางเฉินยอมแพ้ และมิได้มีท่าทีว่าจะเก็บหมากบนกระดาน เย่ฉางชิงก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างโล่งอก

ความจริงแล้วความแตกฉางในวิถีหมากของบัณฑิตจางแห่งสำนักศึกษาตงหลันผู้นี้ ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก

หากมิใช่เพราะต้องการสานสัมพันธ์กับจางเฉิน เพื่อเข้าไปสอนในสำนักศึกษาตงหลันหาเลี้ยงชีพ

อีกทั้งตั้งแต่มายังโลกเซียนแห่งนี้ เขาก็ได้พบเรื่องที่น่าเอือมระอามามากมาย จนสามารถอดทนอดกลั้นได้แล้วล่ะก็

เกรงว่าเย่ฉางชิงคงจะลุกหนีไปนานแล้ว

อย่าว่าแต่ฝีมือการเดินหมากที่มิเอาไหนเลย แต่ทุกครั้งที่แพ้อยู่ดี ๆ ก็เก็บหมากออกเสียเองจากนั้นก็วางหมากใหม่ซ้ำไปซ้ำมา ช่างน่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก

มิรู้สึกละอายบ้างเลยหรืออย่างไร ?

นี่เหมือนการขอคำชี้แนะปัญหาเรื่องหมากที่ไหนกัน เกรงว่าจะมาหาเรื่องกันเสียมากกว่า !

ตอนนั้นเองเยี่ยนจิ่งหงก็เหมือนจะทนมองต่อไปมิได้เช่นกัน จึงได้ลุกขึ้นพร้อมกล่าวว่า “ท่านเย่ ท่านจาง ก่อนหน้านี้ข้าซื้อชารสเลิศมา ข้าจะไปหยิบมาให้นะขอรับ”

“ก็ดีเหมือนกัน ! ”

เย่ฉางชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ดวงตาของเยี่ยนจิ่งหงฉายแววผิดหวังออกมา ก่อนจะพยักหน้ารับเบา ๆ

หลังจากเยี่ยนจิ่งหงจากไปแล้ว จางเฉินก็ได้กลั่นกรองคำพูดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับเย่ฉางชิงว่า “ท่านเย่ ผู้น้อยมีบางเรื่องที่มิเข้าใจ ขอท่านเย่ได้โปรดช่วยไขความกระจ่างให้ผู้น้อยด้วยขอรับ”

เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งอึ้งไป จากนั้นมุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนขึ้นมา

ที่แท้จุดประสงค์ที่บัณฑิตจางผู้นี้มาขอพบ หาใช่เพื่อฝึกฝนหมากล้อมไม่ แต่มีแผนการอื่น

การกระทำก่อนหน้านี้ที่อีกฝ่ายทำไปทั้งหมด ก็เพื่อให้คนอื่น ๆ รู้สึกเบื่อหน่ายจนต้องจากไปนี่เอง

แล้วมันเรื่องอะไรกันเล่า ถึงต้องลำบากลำบนทำถึงเพียงนี้

“ท่านจาง มีเรื่องอันใดเชิญเอ่ยมาได้เลย หากข้าทราบย่อมบอกท่านทุกอย่างอยู่แล้ว”

เย่ฉางชิงเอ่ยกับจางเฉิน

“ท่านเย่ บัดนี้ดินแดนอันกว้างใหญ่ของจงหยวนถูกแบ่งเป็นสี่แคว้นใหญ่”

จางเฉินขมวดคิ้วน้อย ๆ พลางเอ่ยอย่างเคร่งเครียด “นับแต่อดีตมา ปณิธานสูงสุดของฮ่องเต้ทุกพระองค์ของทั้งสี่แคว้นก็คือการรวมจงหยวนให้เป็นหนึ่ง แต่การจะรวมจงหยวนให้เป็นหนึ่งนั้นย่อมทำให้เกิดการนองเลือด ผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นอย่างมาก”

“ผู้ที่เรียกตัวเองว่าผู้บำเพ็ญเพียรล้วนแต่อยู่ภายนอก เฝ้ามองอยู่ไกล ๆ หากเกิดสงครามขึ้นจริง ผู้ที่ต้องพบกับความลำบากมากที่สุดก็คือราษฎร”

จางเฉินเอ่ยถึงตรงนี้ก็ลุกขึ้นยืนแล้วคารวะให้แก่เย่ฉางชิง “เช่นนี้… ผู้น้อยจึงอยากถามท่านเย่ว่า การที่จักรพรรดิทำเพื่อสนองความต้องการของตนเองเช่นนี้ คุ้มค่าจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”

เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็กะพริบตาปริบ ๆ

‘ให้ข้ามาตอบคำถามนี้เนี่ยนะ ? ’

‘เจ้าเป็นถึงบัณฑิตจางแห่งสำนักศึกษาตงหลัน เหตุใดเจ้าต้องวิ่งมาถามคำถามที่เคร่งเครียดเช่นนี้กับข้าด้วยเล่า ? ’

‘นี่เป็นเรื่องที่ข้าต้องคำนึงถึงด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ’

‘อีกอย่างนี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริง ที่เจ้ามาหาข้าในวันนี้เยี่ยงนั้นหรือ ? ’

‘บัณฑิตจาง ท่านประเมินข้าเย่ฉางชิงสูงไปแล้วกระมัง’

‘เวลานี้ข้ายังมีปัญหาในการหาเลี้ยงชีพในเมืองหลวงอยู่เลย จะเอาเวลาที่ไหนมาคิดถึงปัญหาของราษฎรกัน ! ’

ทันใดนั้นเย่ฉางชิงก็อดที่จะพร่ำบ่นอยู่ภายในใจมิได้

ทว่าพร่ำบ่นไปก็เท่านั้น เพื่อเข้าสู่สำนักศึกษาตงหลันอย่างราบรื่น

เย่ฉางชิงจำต้องไตร่ตรองอย่างละเอียด

“ท่านจาง ก่อนหน้านี้เนิ่นนาน ก่อนที่จะกำเนิดสี่แคว้น จงหยวนแห่งนี้คงมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่านั้นใช่หรือไม่ ? ”

เย่ฉางชิงถามจางเฉินด้วยสีหน้าจริงจัง

จางเฉินพยักหน้ารับ “ก่อนที่จะกำเนิดสี่แคว้นโบราณ อาณาจักรทั้งเจ็ดแย่งชิงอำนาจกัน เรียกว่ายุคเจ็ดแคว้นขอรับ”

เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

‘ยุคเจ็ดแคว้น ? ’

ในโลกที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ ก็มียุคจั้นกั๋วเกิดขึ้นในอดีตเช่นกัน

อีกทั้งก็ยังมีเจ็ดแคว้นเหมือนกันด้วย

เด็กสายศิลป์อย่างเย่ฉางชิงจึงเข้าใจประวัติศาสตร์อย่างทะลุปรุโปร่ง

ในเมื่อเป็นเช่นนั้นนี่ก็มิใช่ปัญหาที่ยากอะไรสำหรับเขา