บทที่ 117 สิ่งที่ถูกผนึกอยู่ใต้ซังผอ

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 117 สิ่งที่ถูกผนึกอยู่ใต้ซังผอ
หนานกงเชี่ยนโหรวหยิบกระดาษขึ้นมาและกวาดตามองอย่างรวดเร็ว เนื้อความบนกระดาษคือการวิเคราะห์คดีตามสภาพการณ์โดยเจ้าหน้าที่จากกรมอาญาและเจ้าหน้าที่จากที่ทำการ

ไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก เขาจึงรีบอ่านผ่านๆ จากนั้นดวงตาของเขาก็หรี่ลง

ใบหน้าเริ่มจริงจังและอ่านอย่างละเอียด

ดินปืนที่ระเบิดวัดหย่งเจิ้นซานเหอมาจากเหมืองดินประสิวบนภูเขาต้าหวง…เจ้าหน้าที่ถือธงชั้นผู้น้อยถูกฆ่าปิดปาก และองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์สมรู้ร่วมคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ…บริบทของคดีซังผอทั้งหมดนั้นชัดเจนขึ้นในคราวเดียว

หนานกงเชี่ยนโหรวไม่อาจซ่อนความประหลาดใจไว้ได้ เขาไม่ได้ใส่ใจคดีนี้มากนัก แต่ก็คอยจับตาดูอยู่ห่างๆ สำหรับผู้รับผิดชอบคดีอย่างสวี่ชีอัน เขาไม่มีความคิดที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือแม้แต่จะช่วยเหลือด้วยซ้ำ

จากประสบการณ์ของฆ้องทองคำหนานกง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะพบเงื่อนงำของเรื่องนี้ทุกๆ สามถึงห้าวัน

และไม่คาดคิดว่าจะเห็นผลการสืบสวนภายในวันเดียว

“เป็นผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศในการจัดการคดีจริงๆ” ดวงตาดอกท้อหรี่ลง ในที่สุดเขาก็เกิดความมั่นใจในตัวสวี่ชีอันขึ้นมาได้บ้าง

“ผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศในการจัดการคดีงั้นหรือ” เสียงของหยางเยี่ยนดังมาจากนอกรถ เขามีท่าทีตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และกล่าวถาม “หมายถึงสวี่ชีอันหรือ”

ฆ้องทองคำหยางสนใจในตัวสวี่ชีอันเป็นอย่างมากและรู้สึกว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่คู่ควรแก่การอบรมสั่งสอน

หนานกงเชี่ยนโหรวกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าช่างโชคดีที่ได้ต้นกล้าดีๆ เช่นนี้ไป”

หยางเยี่ยนเปล่งเสียง “ฮ่า” อย่างพอใจและจดจ่อกับการขับขี่ต่อไป

เมื่อมาถึงยังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและกลับไปยังหอเฮ่าชี่ เว่ยเยวียนก็กล่าวขึ้น “ให้สวี่ชีอันมาพบข้า”

ในเวลานี้สวี่ชีอันหลบไปหาข้อมูลในคลังเอกสาร เป็นอย่างที่หมายเลขหนึ่งบอกเอาไว้ เมื่อห้าร้อยปีก่อนจักรพรรดิอู่จงลุกขึ้นมาแย่งชิงบัลลังก์จริงๆ ด้วย

นอกจากนี้เรื่องราวของราชวงศ์เมื่อห้าร้อยปีก่อน นอกจากข้อมูลขององค์จักรพรรดิผู้สถาปนาต้าฟ่งแล้ว บันทึกของบุคคลที่เหลือล้วนแต่คลุมเครือ น่าจะถูกทำลายทิ้งจนหมด เหลือเพียงชื่อของพวกเขา

ทว่าสิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือสิ่งที่ถูกผนึกใต้ซังผอไม่ใช่จักรพรรดิผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกลูกพี่ลูกน้องของเขาแย่งชิงบัลลังก์

เพราะจักรพรรดิพระองค์นั้นมีรัชทายาทตั้งแต่ทรงเจริญพระชนมพรรษาได้สิบสี่พรรษา

อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าก่อนที่นักรบจะเข้าสู่กระบวนการหลอมปราณ ต้องละเว้นกามกิจ…อืม ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่ยังไม่ถึงเวลาต่างหาก

“ไปค้นหารายชื่อปรมาจารย์ขั้นสามขึ้นไปเมื่อห้าร้อยปีก่อนมาให้ข้า ห้ามตกหล่นแม้แต่คนเดียว” สวีชีอันหันไปหากุญแจสำคัญดอกอื่นแทน โดยการสืบหาปรมาจารย์ผู้ทรงอำนาจจากอดีตราชวงศ์เมื่อห้าร้อยปีก่อน

“ขอรับ!”

เจ้าหน้าที่เจ็ดถึงแปดคนขานรับคำสั่ง

ที่โต๊ะริมหน้าต่าง มีหญิงสาวในชุดกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อนวางมือหนึ่งบนแก้มของนาง และใช้มืออีกข้างยัดลูกชิ้นปลาทอดเข้าปากไม่หยุด ขาทั้งสองแกว่งไปแกว่งมาอยู่ใต้โต๊ะ เผยให้เห็นรองเท้าหนังปักลายของสตรีผลุบๆ โผล่ๆ

“แม่นางไฉ่เวย จู่ๆ ข้าก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้” สวี่ชีอันถือวิสาสะเอื้อมมือไปหยิบลูกชิ้นปลาทอด แต่กลับถูกคนงามตาไวใบหน้ารูปไข่ห่านฟาดมือใส่ทันที

สวี่ชีอันกระแอม “ลูกชิ้นปลาทอดอร่อยหรือไม่”

“อร่อย” ฉู่ไฉ่เวยพยักหน้า

“ข้าอยากกิน แต่ไม่ใช่อันนี้” สวี่ชีอันกล่าว

“เช่นนั้นอยากกินอะไรล่ะ” ฉู่ไฉ่เวยเอ่ยถาม

“อยากนั่งโง่ๆ มองเจ้ากินไปเรื่อยๆ” สวี่ชีอันส่งยิ้มตามฉบับผู้ชายอบอุ่น

ฉู่ไฉ่เวยหน้าแดง จากนั้นจึงขมวดคิ้ว อยากจะด่าว่าเขาเป็นเติ้งถูจื่อ[1] แต่ก็รู้สึกว่าคำพูดเมื่อครู่ฟังดูทะแม่งๆ แต่ก็ไม่เหมือนคำพูดหยาบโลนของพวกตัณหากลับเสียทีเดียว

ชั่วขณะหนึ่งนางไม่รู้ว่าควรจะโมโหดีหรือไม่ หากไม่ จะเอาศักดิ์ศรีของสาวพรหมจรรย์อย่างนางไปไว้ที่ไหน

สวี่ชีอันเปลี่ยนเรื่องอย่างชาญฉลาดและกล่าว “ข้ามีเรื่องอยากถามแม่นางไฉ่เวย”

ฉู่ไฉ่เวยกลืนลูกชิ้นปลาในปาก ทำให้ปากเล็กๆ สีแดงก่ำของนางมันเยิ้ม แวววาว เป็นประกายระยิบระยับ สีอมชมพูน่าดึงดูด นางเก๊กหน้าขรึม “เรื่องอะไร”

“มีวิธีใดที่จะป้องกันวิชามองปราณของสำนักโหราจารย์ได้บ้าง” สวี่ชีอันถาม

“ผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสามารถอำพรางกลิ่นอายของตัวเองได้ แต่ก็ต้องเปรียบเทียบกันก่อน อย่างข้าเป็นปรมาจารย์ฮวงจุ้ยระดับเจ็ด นักรบขั้นสูงที่สามารถอำพรางกายจากวิชามองปราณของข้าได้ อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในระดับห้า ระดับหกก็ไม่ได้” ฉู่ไฉ่เวยพูดอย่างภาคภูมิใจ

ข้าอยู่ในระดับหลอมปราณขั้นแปด ดังนั้นหากจะซ่อนตัวจากวิชามองปราณของข้า นายกองโจวก็ต้องอยู่ในระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดง แต่เห็นได้ชัดเขายังไปไม่ถึงขั้นนั้น…สวี่ชีอันพยักหน้าและถามต่อ

“นอกเหนือจากนี้ล่ะ”

“ก็ต้องใช้อาวุธเวทมนตร์” ฉู่ไฉ่เวยเป็นครูที่ดี ไม่ต้องรอให้สวี่ชีอันถาม นางก็อธิบายเจื้อยแจ้วเอง

“ในโลกนี้มีอาวุธเวทมนตร์สองประเภท ประเภทแรกคือให้ปรมาจารย์ยุทธแห่งสำนักโหราจารย์ของเราสลักค่ายกลและหลอมอาวุธเวทมนตร์ออกมา ประเภทที่สองคือได้รับของวิเศษโดยบังเอิญ”

“อย่างหลังยังแบ่งได้อีกหลายประเภท เช่น ต้นไม้อายุพันปีที่ถูกฟ้าผ่า ไม้ที่เหลือจากการถูกฟ้าผ่าจะมีอานุภาพอันทรงพลังที่สุด หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือ สิ่งของที่ถูกครอบครองโดยผู้แข็งแกร่งขั้นสูง ได้รับการหล่อเลี้ยงจากลมปราณเป็นเวลานานแรมปี จนทำให้เกิดเวทมนตร์บางอย่างขึ้น แต่ของจำพวกนี้ ส่วนใหญ่เป็นส่วนเสริมความสามารถบางอย่างของผู้แข็งแกร่งขั้นสูงผู้นั้น”

“ในเมืองหลวงมีอาวุธเวทมนตร์ไว้อำพรางกลิ่นอายหรือไม่” สวี่ชีอันถามอย่างตรงไปตรงมา

“ที่สำนักโหราจารย์ของเราน่ะมี แต่ที่อื่น…” ฉู่ไฉ่เวยเอียงศีรษะคิดครู่หนึ่ง “ข้าต้องกลับไปถามศิษย์พี่ซ่ง”

“…เรื่องนี้ให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน”

ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังสนทนากัน เจ้าหน้าที่ทั้งหลายก็ได้รวบรวมรายชื่อบุคคลที่อาจจะเคยเป็นทหารระดับสูงเมื่อห้าร้อยปีก่อนออกมา

รายชื่อมีไม่มากนัก เพียงสิบกว่าคนเท่านั้นเอง และทั้งหมดเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเคยเป็นทหารระดับสูง

ในบันทึกทางการไม่ระบุว่าใครเป็นผู้แข็งแกร่งในระดับใด ดังนั้นเหล่าเจ้าหน้าที่จึงต้องอนุมานลำดับขั้นการฝึกตนจากวีรกรรมของนายทหารชั้นสูงที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะจารึกลงในประวัติศาสตร์เมื่อห้าร้อยปีก่อน

ตัวอย่างเช่นอ๋องสยบแดนเหนือที่ปกป้องดินแดนทางตอนเหนือมาเป็นเวลาหลายสิบปีและผ่านการต่อสู้มาแล้วหลายร้อยครั้งในชีวิต จึงเป็นที่ประจักษ์ว่าเขาคือผู้แข็งแกร่งขั้นสูง

สวี่ชีอันชำเลืองมองและรู้สึกผิดหวังที่พบว่ามีรายชื่อทหารระดับสี่มากที่สุด มีระดับสามเพียงไม่กี่คน ไม่มีระดับสองและไม่ต้องพูดถึงระดับหนึ่ง

“คนที่ถูกผนึกไว้ใต้ซังผออย่างน้อยก็ต้องอยู่ในระดับสอง มิฉะนั้นลำพังแค่ท่านโหราจารย์ระดับหนึ่งก็จัดการได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องผนึก หรือว่าข้าคิดผิด ความจริงแล้วไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นวัตถุที่ถูกผนึกไว้หรือ”

“เดี๋ยวก่อน…ท่านโหราจารย์งั้นหรือ” สวี่ชีอันรู้สึกเย็นวาบ จนจังหวะการหายใจกระชั้นขึ้น

เขานึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง หน้าที่ของท่านโหราจารย์คือประจำการอยู่ที่เมืองหลวงและเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของต้าฟ่ง อย่างน้อยท่านโหราจารย์ยุคนี้ก็เป็นเช่นนั้น

ดังนั้นเมื่ออู่จงต้องการแย่งชิงบัลลังก์ พระองค์จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับท่านโหราจารย์ได้

การสันนิษฐานสุดเฉียบคมที่ก่อตัวขึ้นในใจของสวี่ชีอัน ทำให้เขาอดสั่นกลัวไม่ได้

“ไฉ่เวย ท่านอาจารย์ของเราเป็นท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งใช่หรือไม่” สวี่ชีอันคุมตัวเองไม่ให้เสียงสั่นเครือ

“ไม่ใช่ ท่านอาจารย์เป็นท่านโหราจารย์รุ่นที่สอง” คำตอบของฉู่ไฉ่เวยทำให้สวี่ชีอันรู้สึกถึงเลือดที่กำลังเลือดพล่าน

ข้ารู้แล้วว่าใครถูกผนึกอยู่ใต้ซังผอ…สวี่ชีอันกลืนน้ำลาย “ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งตายได้อย่างไร”

ฉู่ไฉ่เวยส่ายหัว “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้ ท่านอาจารย์ไม่เคยพูดถึงอดีตของอาจารย์”

ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง สิ่งที่ถูกผนึกอยู่ใต้ซังผอคือท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งนั่นเอง!!

สวี่ชีอันรู้สึกสั่นสะท้านกับการคาดเดานี้

ไม่แปลกใจที่มีเพียงจักรพรรดิหยวนจิ่งเท่านั้นที่ล่วงรู้ความลับนี้ ไม่แปลกใจที่ท่านโหราจารย์ต้องแสร้งเจ็บป่วย และไม่แปลกใจที่เผ่าพันธุ์ปีศาจทางตอนเหนือวางแผนจัดฉากเล่นละครเช่นนี้

หากท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งหลุดจากผนึกไปได้ เมืองหลวงคงได้โกลาหลแน่…ไม่สิ ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งหลุดจากผนึกแล้วนี่หว่า

วินาทีนี้ สวี่ชีอันเริ่มคิดหาวิธีหลบหนีออกจากเมืองหลวง

ต้องหนี รีบหนีไปดีกว่า…พาท่านอารองกับอาสะใภ้ไปด้วย…หากผนึกของท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งถูกปลดออก จะต้องเกิดโศกนาฏกรรมนองเลือดเป็นแน่ นั่นมันระดับหนึ่งเชียวนะ เมืองหลวงทั้งเมืองต้องกลายเป็นสมรภูมิรบแน่…

เมื่อนึกถึงตรงนี้สวี่ชีอันก็ขจัดความคิดที่จะหลบหนี

จักรพรรดิหยวนจิ่งให้เขาทำความดีเพื่อชดใช้ความผิด ดังนั้นเว่ยเยวียนจึงมีหน้าที่คอยจับตาดูเขาในฐานะนักโทษประหารชีวิต หากเขาหนีไปเว่ยเยวียนก็จะตกอยู่ในอันตราย

แต่ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด

สวี่ชีอันหนีไปได้ถ้าคิดจะหนีจริงๆ ทว่าชาวบ้านตาดำๆ ในเมืองหลวงคงหนีไม่พ้น หากปรมาจารย์ระดับหนึ่งสองคนเปิดศึกชี้ชะตาขึ้นในเมืองหลวง จะมีคนตายสักกี่ศพ

คำตอบคือทุกชีวิต

“จักรพรรดิหยวนจิ่งตาเฒ่ามหาประลัยนั่นยังอยู่ในพระราชวัง มีปรมาจารย์ยอดฝีมือคุ้มกันหลายคน แต่พวกคนธรรมดาที่อยู่ในเมืองล่ะทำอย่างไร”

ความแค้นระหว่างผู้แข็งแกร่งระดับหนึ่ง ข้าไม่ขอมีส่วนร่วม…ต้องเปิดเผย นำเรื่องนี้ออกไปเปิดเผยออกไป เดี๋ยวก็มียอดฝีมือไปจัดการต่อเองแหละ

เขาตัดสินใจทันที!

เจอเรื่องลังเลเมื่อไร ให้ไปหาเว่ยเยวียน

แม้ไม่อยากยอมรับ แต่เว่ยเยวียนก็เป็นนักวางกลยุทธ์อันเลื่องชื่อ ที่ทำให้คนอุ่นใจได้จริงๆ

หากเว่ยเยวียนเป็นเพียงข้าราชการธรรมดา สวี่ชีอันคงต้องวิ่งแจ้นไปหาท่านโหราจารย์ที่สำนักโหราจารย์เท่านั้น

และในตอนนั้นเองก็มีเจ้าพนักงานคนหนึ่งตรงเข้ามา พอเห็นสวี่ชีอัน ก็ดีใจเป็นอย่างมาก “ข้าน้อยกำลังตามหาใต้เท้าสวี่อยู่เลย เว่ยกงต้องการพบท่านขอรับ”

บังเอิญจริงๆ ข้ากำลังอยากพบเขาอยู่เช่นกัน…สวี่ชีอันอำลาฉู่ไฉ่เวยและตามเจ้าพนักงานไปที่หอเฮ่าชี่

เขาเข้าไปยังตัวอาคารที่สูงที่สุดของที่ทำการ ขึ้นไปถึงชั้นเจ็ด สวี่ชีอันก็เห็นเว่ยเยวียนที่แต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าสีน้ำเงิน พร้อมกับชายผมข้างหูขาวสะอาดราวกับหิมะ

พร้อมด้วยฆ้องทองคำทั้งสองนาย

“คดีคืบหน้าไปได้ด้วยดี น่าเสียดายที่เบาะแสขาดหายไปอีก ราชสำนักออกหมายจับโจวชื่อสวงแล้ว แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะหาเขาเจอภายในครึ่งเดือน” เว่ยเยวียนจิบชาและพูดอย่างอ่อนโยน

“เจ้าวางแผนจะทำอย่างไรต่อไป”

สวี่ชีอันยืนอยู่หน้าสำนวนคดี เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวอย่างสุขุม “ข้าน้อยสันนิษฐานว่ามีผู้ชักใยโจวชื่อสวงอยู่เบื้องหลัง แต่ยังไม่มีเบาะแสขอรับ”

คดีนี้ซับซ้อนและยุ่งยากกว่าคดีเงินภาษี เพราะเขาไม่ใช่ผู้รับผิดชอบโดยตรงในคดีเงินภาษี ดังนั้นจึงมีหน้าที่แค่หาช่องโหว่และเสนอแนวคิด ส่วนงานที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกับที่ทำการไปจัดการเอง

แม้ว่าเบาะแสจะขาดหาย ทว่าสวี่ชีอันก็มีทิศทางคร่าวๆ ในการสอบสวนและติดตามผลแล้ว

วิธีแรก เริ่มสืบจากอาวุธเวทมนตร์ที่ใช้อำพรางจากวิชามองปราณ

วิธีที่สอง สืบหาจากรายชื่อคนที่มีช่องทางและความสามารถมากพอที่จะลักลอบขนย้ายดินประสิวเข้ามาในซังผอได้

วิธีที่สองจำเป็นต้องทุ่มเทแรงกายและความพยายาม แต่ไม่อาจรับประกันผลลัพธ์ได้

“เว่ยกง…” สวี่ชีอันถามลองเชิง “ถ้าผ่านไปครึ่งเดือน และข้าน้อยยังไขความจริงไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ”

“ถึงเวลานั้นข้าจะให้เจ้าแกล้งตายแล้วหนีไปเสีย จากนั้นเจ้าก็ไปท่องยุทธภพเป็นสายลับให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลซะ” เว่ยเยวียนจิบชาและกล่าว

“เครือข่ายข่าวกรองของที่ทำการปกครองกระจายไปทั่วสิบสามมณฑล รวมถึงกองกำลังสำคัญๆ ในยุทธภพ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีสายลับใต้บัญชา”

“บุคลิกของเจ้าไม่เหมาะกับเส้นทางขุนนาง ยุทธภพต่างหากคือโลกของเจ้า แท้จริงแล้วหากไม่มีคดีซังผอ ป่านนี้เจ้าคงได้ออกจากเมืองหลวงด้วยคำสั่งของข้าแล้ว”

ท่องยุทธภพงั้นหรือ…สวี่ชีอันคิดอยู่ในภวังค์

“การเป็นดาบในมือของข้า ดาบที่ไร้เกียรติต้องหลบซ่อนในมุมมืด คงจะรู้สึกไม่ยุติธรรมละสิ” เว่ยเยวียนคลี่ยิ้มราวกับอาจารย์ผู้อ่อนโยนและสดใส

“บุคลิกของเจ้าเป็นคนอ่อนนอกแข็งใน แม้จะสุดโต่งไปบ้าง ข้าก็นับถือในตัวเจ้า แต่ก็ไม่ถูกใจตัวเจ้าที่เป็นแบบนี้เช่นกัน ข้อเสียหลายประการของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ข้ารู้ดีแก่ใจ ทว่ามนุษย์ก็เป็นเช่นนี้อยู่เสมอ ดีชั่วประสานกัน คนอย่างหลี่อวี้ชุนจะมีสักกี่คนเชียว หากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทั้งหมดเป็นเหมือนหลี่อวี้ชุน ก็คงไม่สามารถปราบปรามขุนนางแม่ทัพทั้งหลายในราชสำนักได้”

สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “ข้าเข้าใจความจริงข้อนี้ ดังนั้นมนุษย์จึงจำเป็นต้องฟาดฟันกันเป็นครั้งคราว ต้องข่มขวัญกันบ้างถึงจะควบคุมพวกขุนน้ำขุนนางให้อยู่ในระเบียบได้ แต่ท่านเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เกินไปหรือเปล่าเว่ยกง”

“มันก็แล้วแต่โอกาสด้วย” เว่ยเยวียนไม่มีท่าทีโกรธเคือง และอธิบายอย่างสบายๆ “ระบบราชการของต้าฟ่งมันเน่าเฟะไปแล้ว ความเสื่อมถอยก็อุบัติขึ้นแล้วเช่นกัน หากเจ้าต้องการเปลี่ยนแปลงวิถีเหล่านี้ จำต้องเก็บซ่อนเขี้ยวเล็บ จากนั้นค่อยๆ ทำลายศัตรูทีละคน เมื่อใดไร้อุปสรรคขวางกั้น เมื่อนั้นเจ้าจะได้สยายปีกทะเยอทะยาน”

ความหมายของเว่ยเยวียนคือ ในวันข้างหน้าเมื่อเขาเอาชนะศัตรูการเมือง กำจัดเสี้ยนหนามจนสิ้นซาก เขาจะวางมือ เพื่อหันมาแก้ไขจัดระเบียบสังคมที่เสื่อมทรามสินะ…สวี่ชีอันคิดอยู่ครู่หนึ่งและรู้สึกว่าสมเหตุสมผลดี

“เจ้าอยู่ในราชสำนัก ถูกกฎเกณฑ์พันธนาการ จำเป็นต้องทำตัวกลมกลืน มิฉะนั้นจะต้องเดือดร้อนไม่จบไม่สิ้น หรือไม่ก็ถูกขัดเกลาความเฉียบแหลมจนหมดคม และสูญเสียความทะนงของชายชาติทหารไป ดูอย่างไรก็ได้ไม่คุ้มเสีย แต่ถ้าเข้าสู่ยุทธภพ เจ้าก็ไม่ต้องกังวล” เว่ยเยวียนชี้แนะอย่างจริงใจ

“สิ่งใดก็ตามที่ยั่วยุ ปิดกั้น หรือบดบังดวงตาของเจ้า แค่ใช้ดาบกรีดมันออกและทำตามหัวใจของเจ้าก็พอ ไม่ต้องกลัวทั้งกฎเกณฑ์และกฎหมาย สิ่งที่เรียกว่าการละเมิดกฎด้วยกำลัง ก็มีตรรกะเช่นนี้ล่ะ”

“ทหารหลายคนหลงทางจากปณิธานเดิมในระหว่างทาง และกลายเป็นเพชฌฆาตเลือดเย็น นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องระวังเอาไว้”

สวี่ชีอันนิ่งเงียบเป็นเวลานาน “ข้าน้อยยังไม่อยากไปสู่ยุทธภพ ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุด”

เขาไม่ได้คำนึงถึงอำนาจ เพียงแต่คำนึงถึงคนในครอบครัว ท่าอารอง อาสะใภ้ เอ้อร์หลางและน้องสาว

เหมือนกับตอนที่ยังเป็นทาสบริษัทเมื่อชาติภพก่อน ถ้าเจ้านายพูดว่า “ผมจะส่งคุณไปต่างจังหวัดเพื่อขยายตลาดและให้ประจำการในต่างประเทศระยะยาว”

แล้วเจ้าบอกว่า “ผมไม่อยากไป”

เจ้านายก็จะพูดว่า “ไม่ คุณอยากไป”

โชคดีที่เว่ยเยวียนไม่ใช่เจ้านายประเภทที่ชอบเอารัดเอาเปรียบ เขาไม่บังคับ พร้อมกับยิ้มอย่างไม่ถือสาและกล่าว “ถ้าไม่มีเรื่องอันใด เจ้าก็กลับไปเถอะ”

ไม่ได้ ข้ามีบางอย่าง…สวี่ชีอันประสานมือคารวะ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เว่ยกงโปรดให้บริวารของท่านออกไปก่อน ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญจะรายงานขอรับ”

‘ไล่พวกข้าอีกแล้วหรือ?!’

หนานกงเชี่ยนโหรวและหยางเยี่ยนเหลือบมองสวี่ชีอันด้วยสีหน้าว่างเปล่า

……………………………………

[1] เติ้งถูจื่อ เป็นขุนนางในยุครณรัฐ ขึ้นชื่อเรื่องมักมากในกาม ต่อมาในภายหลังเติ้งถู่จื่อจึงกลายเป็นคำสรรพนามใช้เรียกแทนผู้ที่มักมากในกาม