บทที่ 118 ฆ่าปิดปาก
เว่ยเยวียนโบกมือให้บุตรบุญธรรมทั้งสองออกไปจากหอเฮ่าชี่

เจอแบบนี้ครั้งแรกอาจจะมีน้ำโห แต่ครั้งต่อไปก็ค่อยๆ ชินชา หนานกงเชี่ยนโหรวขี้เกียจเกินกว่าจะบ่นหรือเหน็บแนม จึงออกไปอย่างเงียบๆ

หยางเยี่ยนยืนอยู่ด้านล่างของอาคาร เพื่อรอให้การสนทนาระหว่างพ่อบุญธรรมกับสวี่ชีอันสิ้นสุดลง

เมื่อเหลือเพียงสองคนในห้องน้ำชา เว่ยชิงอีพลิกถ้วยชาที่คว่ำอยู่ขึ้นมา จากนั้นจึงรินชาให้สวี่ชีอัน “เรื่องพรรคฟ้าดินหรือ”

“อันที่จริงข้าน้อยได้รับข้อมูลในพรรคฟ้าดินมาจากเผ่าพันธุ์กู่ทางซินเจียงตอนใต้ขอรับ” สวี่ชีอันรับน้ำชาด้วยความปลื้มปริ่ม เมื่อดื่มเข้าไปจะมีรสขมเล็กน้อย ตามมาด้วยรสหวานกลมกล่อมที่ยังกรุ่นอยู่ในปาก

“หมายเลขห้าในพรรคฟ้าดินเป็นคนของเผ่าพันธุ์กู่และมีตำแหน่งบางอย่าง เมื่อวานได้ส่งสารผ่านหนังสือปฐพี กล่าวกันว่าปรากฏสัญญาณแห่งการฟื้นคืนชีพของเทพเจ้ากู่ที่อยู่ในเหวลึกขอรับ”

เว่ยเยวียนหยุดชะงักและกล่าว “ก่อนการกวาดล้างปีศาจหกสิบปี เทพเจ้ากู่ถูกเผ่าพันธุ์กู่และอาณาจักรหมื่นปีศาจกำราบลง ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ตอนนี้อาณาจักรหมื่นปีศาจกำลังจะพินาศ มาตุภูมิเต็มไปด้วยวัดวาอาราม อีกทั้งปรมาจารย์ยอดฝีมือก็ร่อยหรอ หากเทพเจ้ากู่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริง ลำพังแค่เผ่าพันธุ์กู่คงไม่อาจต้านทานได้”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของเขาก็ฉายแววโศกออกมา ผู้นำเต๋านิกายปฐพีตกสู่ทางมาร เทพเจ้ากู่ปรากฏสัญญาณแห่งการฟื้นคืนชีพ และปราณใสของสำนักอวิ๋นลู่พวยพุ่งสู่ท้องฟ้า…แต่ละสิ่งล้วนเป็นลางบอกเหตุว่าสิ่งเลวร้ายกำลังจะบังเกิดขึ้น

ความวุ่นวายรอบด้านมักหมายถึงขวบปีแห่งกลียุค

“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อำนาจของศศาสนาพุทธได้แผ่ขยายและเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ” เว่ยเยวียนถอนหายใจ

สวี่ชีอันหัวใจกระตุกวูบ “ศาสนาพุทธทำลายล้างอาณาจักรปีศาจเพื่อเผยแผ่ศาสนาหรือขอรับ”

เว่ยเยวียนหัวเราะเยาะ “คิดว่าทำเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ในใต้หล้าหรือไง”

เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวถาม “มีเรื่องอะไรจะรายงานกับข้า”

สวี่ชีอันกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าน้อยสืบรู้แน่ชัดถึงสิ่งที่ถูกผนึกอยู่ใต้ซังผอแล้วขอรับเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับเมื่อห้าร้อยปีก่อน ซึ่งอาจก่อให้เกิดภัยพิบัติขึ้นได้ ข้าน้อยไร้ความสามารถ จึงไม่กล้าปกปิดความจริงไว้…”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ดวงตาของเว่ยเยวียนฉายแววหลากอารมณ์ ทว่าเขากลับซ่อนความตกใจไว้อย่างดีและถามหยั่งเชิง “สิ่งที่ถูกผนึกงั้นหรือ”

“นั่นคือท่านโหราจารย์ ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งขอรับ” สวี่ชีอันแบ่งปันความลับอันยิ่งใหญ่ และกระซิบกระซาบด้วยความระมัดระวังไม่ให้ความลับรั่วไหล “ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งถูกผนึกอยู่ใต้ซังผอ ในปีนั้นอู่จงลุกขึ้นมาแย่งชิงบัลลังก์…โดยอ้างหลักคุณธรรมเพื่อครองบัลลังก์ แต่ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งกลับไม่สนับสนุนอู่จง หลังจากที่อู่จงขึ้นครองราชย์ จึงไม่เหลือบันทึกของท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งในตำราประวัติศาสตร์ขอรับ”

เว่ยเยวียนฟังด้วยท่าทีที่สงบจนจบพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย “วิเคราะห์ได้มีเหตุผล”

สวี่ชีอันรีบคว้าโอกาสไว้ “จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีแถลงการณ์จากจักรพรรดิหยวนจิ่ง ทุกคนกำลังถูกปิดบัง แต่ถ้าหากท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งเปิดศึกปะทะกับท่านโหราจารย์คนปัจจุบัน เมืองหลวงก็จะ…”

เขาไม่ได้พูดต่อเพราะเชื่อว่าด้วยสติปัญญาของเว่ยเยวียนสามารถเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังสื่อความหมายได้

เว่ยเยวียนบีบถ้วยชา ตาจ้องมองลายครามบนถ้วยเคลือบ แล้วก็เปลี่ยนเรื่องคุยเสียดื้อๆ “ช่วงนี้เจ้ารู้สึกปวดตรงบริเวณจุดตันเถียนใช่หรือไม่”

สวี่ชีอันตกตะลึง ในใจอยากถามเว่ยเยวียนว่ารู้ได้อย่างไร

ช่วงนี้เขาฝึกลมหายใจในการหลอมปราณและมักรู้สึกว่าบริเวณจุดตันเถียนของเขาปวดบวมอยู่เสมอ รู้สึกเหมือนมีไฟแผดเผาในท้องและอยากขับถ่ายบางอย่างออกมา ทว่ากลับทำไม่ได้ คิดอยากจะหาวันไปขอความช่วยเหลือจากแม่นางฝูเซียง แต่เพราะมีงานที่ต้องรับผิดชอบ จึงไม่มีเวลาว่างไปสำนักสังคีตสักที

“ใช่ขอรับ” เว่ยเยวียนพยักหน้า “แสดงว่าเจ้าได้เข้าสู่ระดับหลอมปราณขั้นสูงแล้ว หลังจากนี้ความเจ็บปวดจะไหลไปสู่จุดตันเถียนส่วนกลางและเคลื่อนไปยังส่วนบน เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับหลอมวิญญาณได้”

“ให้ข้าเรียนตำรายังพอไหว ทว่าให้ฝึกวรยุทธ์คงต้องยอมแพ้ แต่ข้าก็สั่งสมประสบการณ์มาบ้าง พอจะช่วยชี้แนะได้สักอย่างสองอย่าง”

“รอให้ความเจ็บปวดของเจ้าเคลื่อนไปยังจุดตันเถียนส่วนกลาง จากนั้นข้าจะขอให้ใครสักคนสร้างภาพตระหนักรู้ให้กับเจ้า จะได้ก้าวเข้าสู่ระดับหลอมวิญญาณเร็วยิ่งขึ้น”

“เมื่อถึงระดับหลอมวิญญาณแล้ว เจ้าจะต้องอดทนฝึกฝนร่างกายใหม่อีกครั้ง และมุ่งมั่นทำความเข้าใจในร่างกายของตนให้ถ่องแท้เหมือนกับหลังมือของเจ้าเอง…เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของอนาคต”

เว่ยเยวียนฉลาดเป็นกรด แต่ดันไม่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์ ฮ่าๆๆ สบายแล้วโว้ย…สวี่ชีอันรู้สึกซาบซึ้งใจ “ขอบคุณเว่ยกงที่ช่วยชี้แนะ ข้าน้อยติดหนี้บุญคุณท่านแล้ว ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ ข้าก็จะปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุดขอรับ”

เว่ยเยวียนหัวเราะ ‘หึ’ ออกมา “เจ้าไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น แต่บางครั้งบางคราเจ้าก็ทำอะไรไม่ยั้งคิด”

เขาไม่เรียกว่าหุนหันพลันแล่น เขาเรียกว่าหลักการและความศรัทธา ไปศึกษาลัทธิมากซ์-เลนิน[1] บ้างสิ…สวี่ชีอันค่อนแคะอยู่ในใจและในขณะเดียวกันก็มีความคิดที่น่าเศร้า นี่แหละหนาช่องว่างระหว่างข้ากับยุคสมัยนี้

“มีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าคิดว่าเจ้าควรรู้ไว้ ฝ่าบาททรงมีพระราชกฤษฎีกาวันนี้ ให้ยกเลิกคำสั่งปิดเมือง” เว่ยเยวียนมองสวี่ชีอัน รอยยิ้มบนใบหน้าดูแปลกประหลาด คล้ายว่ากำลังเยาะเย้ย ถากถางและล้อเลียนเขาอยู่

“???”

ใบหน้าของสวี่ชีอันแข็งทื่อ

นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย เป็นไปไม่ได้!

ความคิดของจักรพรรดิหยวนจิ่งมีปัญหาเสียแล้ว ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งหลุดจากผนึกคนแรกที่ต้องประสบภัยพิบัติคือท่านโหราจารย์คนปัจจุบันกับราชวงศ์ สถานการณ์เช่นนี้ ปกติต้องรับมือด้วยการปิดประตูตีแมวเพื่อยุติเภทภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตไม่ใช่หรือ

หรือการเปิดประตูเมืองยังมีนัยยะอื่น เพื่อแสดงไมตรีจิตต่อท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง และให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสันติงั้นหรือ

เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งจะเป็นจักรพรรดิที่ไร้ความสามารถ ทว่าพระองค์ไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญา นอกจากนี้ท่านโหราจารย์คนปัจจุบันคงไม่เห็นด้วยกับการก่อกบฏทรยศจักรพรรดิหยวนจิ่งเป็นแน่

นั่นสิ ความคิดของเฒ่าชั่วร้ายผู้เป็นโหราจารย์นั้นก็แปลกพอกัน อาจารย์ของตนลุกขึ้นมาจากโลงศพแล้ว เจ้าก็ควรจะเกณฑ์พวกโหรในสังกัดของเจ้ามาช่วยกันตอกฝาโลงสิ น่าจะยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบฝาโลงศพ แล้วตะโกนเรียก “หนุ่มๆ มาช่วยอาจารย์กดฝาโลงศพเก่าๆ นี่หน่อยสิ!”

แต่ดันมาแกล้งป่วยเสียอย่างนั้น!

หรือบางทีอาจจะมีจุดประสงค์ที่ลึกซึ้งกว่านั้น อย่างเช่น ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งที่ถูกผนึกอยู่เป็นเวลาห้าร้อยปีนั้นไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดอีกต่อไป และอาจซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อพักฟื้นพลังก็เป็นได้

การจงใจเปิดประตูเมืองก็เพื่อล่อเสือออกจากถ้ำ และถือโอกาสเคลื่อนย้ายสนามรบออกจากเมืองหลวงงั้นหรือ

“ไอ้หนุ่ม เจ้าคงมีคำถามมากมายสิท่า” สวี่ชีอันที่ออกมาจากหอเฮ่าชี่ยิ้มอย่างขมขื่น “ใช่ขอรับ”

สวี่ชีอันระดมพลและออกคำสั่งไปสามข้อ ข้อแรกคือฉู่ไฉ่เวยจากสำนักโหราจารย์มีหน้าที่รับผิดชอบในการค้นหาอาวุธเวทมนตร์ที่ใช้อำพรางกลิ่นอาย

ข้อที่สอง สองฆ้องเงินหมิ่นซานกับหยางเฟิงรับผิดชอบตรวจสอบการผลิตดินปืนและบันทึกการใช้งานของโยธาต่อไป

ข้อที่สาม มุ่งหน้าไปยังที่ว่าการเมืองและสอบปากคำนายอำเภอไท่กัง

สองข้อแรกไม่ได้มีปัญหาอะไร ทว่าทุกคนกลับข้องใจในคำสั่งที่สาม

สวี่ชีอันอธิบายว่า “พวกเจ้าไม่คิดว่ามันแปลกหรือ เผ่าพันธุ์ปีศาจรู้ได้อย่างไรว่ามีเหมืองดินประสิวอยู่ที่ภูเขาต้าหวง”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นทุกคนจึงตกตะลึง

“ใช่แล้ว คิดว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจซุ่มอยู่เฉยๆ ก็เจอเหมืองหรือไง” สวี่ชีอันแค่นหัวเราะ “ต้องมีบางคนสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจแน่นอน ภูเขาต้าหวงอยู่ในเขตการปกครองของมณฑลไท่กัง นายอำเภอต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่”

ฆ้องเงินทั้งสามและฆ้องทองแดงอีกนับโหลพากันตกตะลึง

ฆ้องทองแดงสวี่เป็นผู้สุขุมรอบคอบ มากประสบการณ์ สมแล้วที่ได้รับพระราชทานตราทองคำ

ทั้งสามฝ่ายแยกย้ายกันที่หน้าที่ทำการเพื่อไปทำภารกิจของตนให้ลุล่วง

สวี่ชีอันมองดูแผ่นหลังของฉู่ไฉ่เวยที่เด้งไปตามจังหวะควบม้า แล้วจู่ๆ ก็เกิดความคิดที่ว่า หากวันหนึ่งตนได้อยู่ใต้ร่างของนางคงจะมีความสุขไม่น้อย

“หัวหน้า เหตุไฉนฝ่าบาทถึงไม่ทรงเชิญโหรจากสำนักโหราจารย์ไปสอบปากคำเจ้าหน้าที่ศาลทีละคนล่ะ”

“เจ้าเพิ่งขอให้แม่นางไฉ่เวยไปตรวจสอบอาวุธเวทมนตร์ที่ใช้ปิดกั้นวิชามองปราณนี่” หลี่อวี้ชุนเหลือบมองผู้ที่เคยเป็นลูกน้องของเขา ทว่าตอนนี้เขากลับกลายเป็นผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของลูกน้องตนเสียเอง

หลังจากหยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวเสริมเป็นนัยๆ “โหรก็เป็นคนเหมือนกัน”

เป็นคนก็แสดงว่าใช้เงินฟาดหัวได้ พวกคดีเล็กๆ ทั่วไปน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าเป็นคดีใหญ่ที่เกี่ยวพันกับขุนนางระดับสูง คงไม่สามารถพึ่งพาปากคำของโหรเพียงอย่างเดียว จักรพรรดิหยวนจิ่งทั้งขี้ระแวงและกระหายอำนาจเสียขนาดนั้น…สวี่ชีอันพยักหน้าเล็กน้อย

ซ่งถิงเฟิงที่อยู่ข้างๆ สบโอกาสจึงเอ่ยถาม “หนิงเยี่ยน เจ้ากับแม่นางไฉ่เวยของสำนักโหราจารย์สนิทกันมากใช่หรือไม่”

สวี่ชีอันพยักหน้า

ซ่งถิงเฟิงกล่าวด้วยถ้อยคำว่า “ข้ามีสหายคนหนึ่งที่ช่วงนี้สุขภาพของเขาไม่ค่อยสู้ดีนัก…ข้าอยากช่วยเขาด้วยการขอยาบำรุงไตและเสริมสมรรถภาพทางเพศสักหน่อย”

ปั้นน้ำเป็นตัว…สวี่ชีอันไม่คิดจะเผยไต๋คนโกหก แต่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “บอกสหายของเจ้าให้เพลาๆ เรื่องเล่นรัสเซียนรูเล็ต[2] เสียบ้างนะ”

หลี่อวี้ชุนขมวดคิ้ว ใบหน้างุนงง “อะไรรัสๆ เล็ตๆ นะ”

สวี่ชีอัน จูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิงมองหน้ากันแล้วยิ้ม

ณ สำนักอวิ๋นลู่ เจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่วเลิกชั้นเรียนสองชั่วโมงอันยาวนาน หลังจากตักเตือนลูกศิษย์หลายคนให้มุมานะและขยันหมั่นเพียร เขาก็สะบัดแขนเสื้ออย่างนุ่มนวล “มาทางไหน ก็กลับไปทางนั้น”

และร่างนั้นก็หายวับไปในพริบตา

ลูกศิษย์หลายคนเห็นภาพเหล่านี้จนชินตา ไม่มีความประหลาดใจใดๆ พากันสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเมื่อไม่นานมานี้

“ซังผอถูกระเบิดได้อย่างไร สถานที่ที่องค์จักรพรรดิผู้สถาปนาต้าฟ่งได้ตรัสรู้ถูกคนชั่วทำลายไปจนสิ้น นึกแล้วว่าต้องเป็นฝีมือพวกเศษเดน และหากสำนักอวิ๋นลู่ของเราตั้งอยู่ในเมืองหลวง เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน”

“ทนไม่ไหวแล้ว”

เหล่าบัณฑิตผู้เต็มไปด้วยความแค้นเคืองต่อความอยุติธรรม โทษดินโทษฟ้าเป็นนิสัย และดูหมิ่นดูแคลนผู้ที่ไม่ใช่นักปราชญ์ทั้งหมด

สวี่ซินเหนียนเก็บหนังสือเรียบร้อยเตรียมตัวจะออกไป บัณฑิตที่อยู่ด้านหลังเขาก็ตะโกนขึ้น

“ฉือจิ้ว อีกเดี๋ยวไปขึ้นเขาเดินป่ากันไหม”

‘เดินป่าในฤดูหนาวเดือนสิบสองเนี่ยนะ หิวก็หิว หนาวก็หนาว’ สวี่ซินเหนียนส่ายหัว หันกลับมากล่าวเตือน

“ผมดำไม่รีบขยันหมั่นเพียร ผมขาวเสียดายอยากเรียนก็สายไป”

ขณะที่พูดจบและกำลังจะจากไป ก็ได้ยินเสียงพูดแปลกๆ ดังมาจากด้านหลัง “ตอนนี้สวี่ฉือจิ้วอยู่ในระดับบำเพ็ญตน เขามันคนละชั้นกับพวกเราเสียแล้ว คงรังเกียจไม่อยากคบค้าสมาคมกับคนอย่างเราๆ อีกแล้วล่ะ”

สวี่ซินเหนียนหันกลับไปมอง และคนที่กำลังพูดอยู่นั่นคือจูทุ่ยจือ ในวันนั้นที่ส่งฆราวาสจื่อหยางไปชิงโจว เดิมทีคนที่ควรได้รับจี้หยกของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จื่อหยางก็คือคนคนนี้

แต่น่าเสียดายที่ถูกเขาโฉบเอาไปแทน

นอกจากนี้เขากับคนคนนี้ไม่เคยญาติดีต่อกัน เจอหน้าก็คอยแต่จะปะทะฝีปากกันตลอดหลายปีมานี้

สวี่เอ้อร์หลางยิ้มเยาะและกล่าว “กลางวันแสกๆ อย่ามัวแต่จับผิดคนสิ แล้วข้าเคยคบค้าสมาคมกับเจ้าตอนไหน”

จูทุ่ยจือโมโห “สวี่ซินเหนียน อย่าคิดว่าอยู่ในระดับแปดแล้วจะทำตัวอวดดีได้นะ เจ้านำหน้าไปเพียงก้าวเดียวเท่านั้น”

เรื่องที่สวี่ซินเหนียนที่ก้าวเข้าสู่ระดับบำเพ็ญตนก่อนใครเพื่อน ทำเอาบรรดาศิษย์ของสำนักพากันอิจฉาริษยา

สวี่เอ้อร์หลางกล่าวอย่างไม่แยแส “ข้าก้าวเข้าสู่ระดับบำเพ็ญตนได้อย่างสบายๆ ข้ามันอวดดีหรือ เมื่อวันก่อนข้าไปเข้าเฝ้าองค์หญิงใหญ่มาและได้รับการชื่นชมจากพระองค์ ข้ามันอวดดีสินะ ข้าจะไปขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ในภายหลัง เพื่อรวบรวมการฝึกฝนและตั้งใจฟังเวทมนตร์ของระดับเจ็ด ข้ามันอวดดีหรือ”

เขามองใบหน้าของจูทุ่ยจืออย่างพิจารณา และยิ้มเยาะในทันใด

“เจ้ายิ้มอะไร” จูทุ่ยจือจ้องเขาตาถลนด้วยความโกรธ

สวี่ฉือจิ้วกล่าวอย่างดูถูก “ใบหน้าของบางคนน่าเกลียดพอๆ กับความอยุติธรรม”

…ทำให้นักเรียนคนอื่นๆ รู้สึกขุ่นเคืองไปด้วย

จูทุ่ยจือฉุนเฉียวในทันใด ตรงปรี่เข้าไปหาเรื่องสวี่ซินเหนียน ทว่าถูกสหายร่วมชั้นห้ามไว้

“พอเถิด ไม่ต้องไปทะเลาะกับเจ้านั่นหรอก”

“ฝีปากสวี่ฉือจิ้วร้ายกาจพอๆ กับมีดดาบของทหาร เราอย่าไปสู้มันเลย”

“…อย่าใจร้อนไป จะฝีปากหรือทักษะวรยุทธ์ เจ้าก็สู้มันไม่ได้หรอก”

สวี่ซินเหนียนจากไปด้วยความทะนง

คนพวกนี้พอเมินไปสักระยะหนึ่ง ก็รู้สึกเหมือนจะชักดิ้นชักงอกันใหญ่เชียวนะ

ถ้าพูดถึงการทะเลาะวิวาท ทั้งชีวิตสวี่ฉือจิ้วไม่เคยรองใคร

เมืองจิงจ้าวปกครองสิบห้าอำเภอที่อยู่รอบๆ เมืองหลวง นายอำเภอไท่กังถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินของที่ว่าการเมือง

สวี่ชีอันนำคนเข้าไปในที่ว่าการและตรงไปยังห้องโถงของเจ้าเมืองเซ่า ทว่าเจ้าเมืองเซ่าไม่ได้อยู่ที่นั่น ผู้ดูแลที่อยู่ในห้องโถงข้างหลังขมวดคิ้วและถามขึ้น “ทุกท่าน มีเหตุอันใดหรือขอรับ”

ซ่งถิงเฟิงกล่าว “เรามาสอบปากคำผู้กระทำความผิด นายอำเภอจ้าวแห่งอำเภอไท่กัง”

ผู้ดูแลถามขึ้นอีก “มีหนังสือจากท่านเจ้าเมืองหรือไม่ขอรับ”

ซ่งถิงเฟิงส่ายหัว

ผู้ดูแลเปลี่ยนท่าทีไม่รับแขกในทันใด “เชิญกลับไปเถิด”

ไม่มีหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรยังจะกล้าขอเบิกตัวนักโทษอีก หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมันโอหังเกินไปแล้วกระมัง ถ้าอยู่ข้างนอกก็พอจะหยวนๆ ให้ได้ แต่ที่นี่เป็นถึงที่ว่าการเมืองเชียวนะ คิดจะมาเอาตัวนักโทษก็มาลากไปดื้อๆ แบบนี้หรือ

“ไอ้ระยำเอ๊ย!”

เจ้าเมืองเซ่าที่เพิ่งกลับมาถึง และได้ยินบทสนทนาเข้า หน้าถอดสีไปเล็กน้อย รีบปรี่เข้ามาตำหนิอย่างรุนแรง

จากนั้นเขาจึงสั่งให้คนพาสวี่ชีอันและคนอื่นๆ ไปยังคุกใต้ดิน

“ท่านเจ้าเมืองเซ่า…” ผู้ดูแลมีท่าทีอึกอัก “แบบนี้มันผิดกฎนะขอรับ”

“งี่เง่าสิ้นดี ชีวิตจะหาไม่อยู่แล้วยังจะห่วงเรื่องพวกนี้อยู่อีก”

“ใต้เท้าหมายความว่าอย่างไร”

เจ้านั่นชื่อสวี่ชีอัน สวี่ชีอันที่ฆ่าคนบนถนนหน้ากรมอาญา มันก็คนบ้าดีๆ นี่แหละ เจ้าอยากโดนมันจับฝังดินหรือไง”

“…ขอบพระคุณใต้เท้าที่ช่วยชีวิตข้าน้อยไว้”

สวี่ชีอันเคยอยู่ในคุกใต้ดินของที่ว่าการมาก่อน และผูกไมตรีกับเจ้าหนูเจอร์รี่และแมลงสาบที่นี่บ้าง

ผู้คุมเรือนจำนำทางมาจนถึงคุกใต้ดินที่นายอำเภอจ้าวถูกคุมขังอยู่

“ลุกขึ้น มีใต้เท้าอยากสอบปากคำ” ผู้คุมเรือจำใช้ไม้ตะพดตีไปที่ลูกกรง

นายอำเภอจ้าวที่สวมชุดนักโทษกำลังนอนอยู่บนเสื่อฟางที่ขาดรุ่งริ่ง โดยหันหลังให้กับทุกคนไม่ไหวติง ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินเสียง

……………………………………

[1] ลัทธิมากซ์-เลนิน เป็นหนึ่งในอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ มีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงรัฐทุนนิยมให้เป็นรัฐสังคมนิยมเพียงพรรคเดียว เพื่อสร้างอำนาจเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ

[2] เกมรัสเซียนรูเล็ต คือ เกมที่เดิมพันด้วยชีวิต โดยการใช้ปืนที่มีกระสุนนัดเดียว ซึ่งผู้เล่นจะจ่อปากกระบอกปืนไปที่ขมับและลั่นไกปืน