บทที่ 135

“เยี่ยมมาก !” เมื่อได้ยินคำอธิบาย ถังหยินก็ชื่นชมเขาแล้วกล่าว “พวกเราเอาเส้นทางนี้ได้เลย… ว่าแต่พวกมอร์ฟีสมันมาจะถึงเราตอนไหน ?”

“ถ้าว่ากันตามความเร็วพวกมัน ข้าคิดว่าไม่เกิน 5 วันแน่นอนขอรับ”

“เร็วเกินไปแล้ว ! แล้วถ้าพวกเราไปตามเส้นทางนี้จะใช้เวลากี่วันกว่าจะไปถึงเมืองเบสซ่า ?”

“ประมาณ 5 – 6 วันขอรับ…” หลีเทียนคำนวณก่อนจะตอบกลับ

“นานขนาดนั้นเชียวหรือ ? เพราะเมื่อดูจากระยะทางแล้ว ถ้าให้พวกเราขี่ม้าไปก็น่าจะไม่เกิน 3 วันด้วยซ้ำ !” ถังหยินชี้ลงในแผนที่แล้วถามกลับ

หลีเทียนหัวเราะอย่างขมขื่น “นายท่าน ถ้าพวกเราไม่ต้องซ่อนตัวจากพวกมันก็จะไปถึงได้รวดเร็วตามที่ท่านบอก แต่ทว่าถ้าพวกเราถูกพบตัวก่อนทุกอย่างจะต้องพังทลายไม่เป็นท่าแน่ ๆ ขอรับ”

พวกมอร์ฟีสจะมาที่นี่ในอีก 5 วัน ส่วนพวกเขาต้องใช้เวลา 6 วันในการเดินทางไปยังเมืองเบสซ่า เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้พวกเขาทำสำเร็จก็อาจจะเสียเมืองเฮิงไปอยู่ดี

ช่วงตลอด 2 วันที่ผ่านมาถังหยินไม่ได้สนใจที่จะเพิ่มกำลังป้องกันเมืองเลย ดังนั้นจึงทำให้สถานการณ์ดูจะลำบากเข้าไปอีก เหตุนี้เขาจึงเรียกชิวเจิ้นเพื่อขอความช่วยเหลือ

“ในขณะนี้มูฉิงได้ใช้กำลังพลทั้งเมืองเพื่อสร้างกำแพงชั้นในแล้วขอรับ”

“กำแพงชั้นใน ?”

“ถูกต้องขอรับ มูฉิงบอกว่ากำแพงด้านนอกเพียงอย่างเดียวไม่อาจป้องกันได้เป็นแน่แท้ ดังนั้นพวกเราจึงต้องเพิ่มความหนาแน่นของกำแพงให้มากขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งเพื่อตัดทอนกำลังพวกต่างแดน” ชิวเจิ้นกล่าวถึงจุดแข็งของกลยุทธ์นี้ให้ฟัง

ถังหยินพยักหน้าให้ เขาเห็นด้วยกับแผนนี้ หากแต่พวกมอร์ฟีสกำลังจะมาถึงอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่มั่นใจว่ามูฉิงจะทำตามแผนสำเร็จทันเวลาหรือไม่ ซึ่งตอนนี้เขาไม่สามารถออกความเห็นใด ๆ ได้แล้ว เพราะได้มอบสิทธิ์การป้องกันเมืองทั้งหมดให้กับมูฉิงไปเรียบร้อย

เขาถามชิวเจิ้น “เจ้าส่งคนไปขอกำลังเสริมแล้วหรือยัง ?”

เด็กหนุ่มลังเลที่จะตอบ ก่อนจะพยักหน้าให้ “แน่นอนขอรับ” จริง ๆ แล้วเขาส่งคนออกไปขอความช่วยเหลือเรียบร้อย หากแต่เด็กหนุ่มก็ได้ส่งคนที่ดูไม่มีฐานะไป เพื่อให้หยูเฮอดูแคลนคนจากที่นี่และตัดสินใจไม่ส่งกำลังเสริมมาช่วย …มันคือแผนที่เขาวางเอาไว้ เพื่อผลลัพธ์ 2 ข้อ

ข้อแรกคือมันคงจะดีมาก ถ้าหากหยูเฮอไม่ได้ส่งคนมาช่วยจริงจัง ซึ่งถ้าเป็นตามที่วางเอาไว้ และสมมุติว่าพวกเขาป้องกันเมืองเฮิงสำเร็จ ทางวังหลวงก็อาจจะมอบรางวัลให้กับพวกเขาอย่างมากมายในฐานะของวีรบุรุษก็เป็นได้

ส่วนข้อถัดมาก็คือกลยุทธ์สร้างขวัญและกำลังใจ เพราะถ้าหากกองทัพปิงหยวนกำลังต่อสู้อยู่แล้วมีข่าวว่ากองหนุนกำลังเดินทางมา พวกทหารที่ได้ยินก็จะมีกำลังใจในการต่อต้านมากขึ้น !

แผนของทั้งสองคนนี้มีรูปแบบต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ถังหยินเลือกที่จะใช้แผนและมุมมองในแบบของคนโลกปัจจุบัน แต่ชิวเจิ้นก็มีมุมมองในแบบของเขาเหมือนกัน ทว่าสำหรับแผนของถังหยินนั้น ถ้าหากขาดคนที่มีความทะเยอทะยานแบบชิวเจิ้นก็คงไม่สามารถสำเร็จลุล่วงได้

ถังหยินเตรียมตัวลอบโจมตีเมืองเบสซ่าเรียบร้อย แต่ก่อนที่เขาจะออกไปกลับได้ยินข่าวที่เป็นดั่งเช่นที่ชิวเจิ้นได้กล่าวไว้ก่อนหน้า ซึ่งนั่นก็คือพวกหนิงได้ทำการฉีกสนธิสัญญาแล้วจับอาวุธมุ่งหน้าเข้าใส่แคว้นเฟิงอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้งแล้ว !

ในครั้งนี้แคว้นหนิงส่งแม่ทัพใหญ่อย่าง จานอู่ฉาง และ จานอู่ตี้ โดยทั้งสองพี่น้องเข้ารุกรานเขตหน้าด่านประตูตงและจับเหยาจี้หลีไว้เป็นเชลยศึก

หลังจากได้เขตหน้าด่านประตูตงมาแล้ว กองทัพหนิงกว่า 4 แสนนายก็มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของแคว้นเฟิงด้วยความรวดเร็ว จนทำให้ทางวังหลวงเรียกกองทัพเฟิงจากทั่วทุกสารทิศให้กลับมาประจำการที่เมืองหยานเพื่อป้องกัน ในเมื่อสถานการณ์ของทางนั้นวุ่นวายขนาดนี้ แล้วพวกเขาจะเอาเวลาที่ไหนมาส่งกองทัพเสริมให้ที่นี่กัน ?

ข่าวนี้ทำให้ทั้งแคว้นเฟิงตกอยู่ในความวุ่นวายอย่างถึงที่สุด เพราะการสูญเสียประตูตงไปนั่นหมายถึงทางเข้าสู่แคว้นเฟิงได้ถูกเปิดอย่างเป็นทางการ !

ถ้าไม่มีการรุกรานของพวกมอร์ฟีสละก็ ป่านนี้ถังหยินเองก็คงพากองทหารเข้าไปช่วยด้วยแล้วเช่นกัน

เมื่อฟานหมินทราบข่าวนี้ นางก็พลันรู้สึกหวั่นใจและกระวนกระวายจนรีบเข้ามาหาเขา

ในขณะที่นางเข้าไป ชายหนุ่มก็กำลังเตรียมตัวอย่างเต็มรูปแบบ เพราะเขาเกรงว่าจะทำให้ล่าช้าจนเวลาล่วงเลยไปถึงฤดูหนาว ดังนั้นจึงได้เตรียมการไว้พร้อมเป็นอย่างดี

เมื่อเห็นแบบนั้น ฟานหมินก็เข้ามาช่วยเขาจัดการตระเตรียมให้

เพราะเกรงว่าทางเมืองเฮิงจะปั่นป่วน ข่าวการรุกรานของพวกมอร์ฟีสจึงถูกปิดเอาไว้ แม้แต่ฟานหมินเองก็ไม่ทราบถึงมัน

หญิงสาวพูดอย่างแผ่วเบา “ทำไมเจ้าถึงไปบุกเมืองหลวงของพวกมันแบบนี้ล่ะ ?”

ริมปากของถังหยินยิ้มออกมา เขารีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ข้ามีเหตุผลของข้า ไม่ต้องห่วงหรอก”

ฟานหมินไม่เข้าใจการศึกอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่เข้าใจความสำคัญของเมืองหลวงที่มีต่อทั้งรัฐ

นางพูดต่อ “ครั้งนี้เจ้าจะเจอกับกองทหารมากมายใช่ไหม ?”

“ไม่รู้สินะ คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่จะกำหนดมันได้” ถังหยินตอบกลับไปแล้วมองนาง “ฟานหมิน เจ้าคิดจะอยากจะเปิดกิจการใหม่สินะ ? งั้นแล้วข้าก็อยากให้เจ้าไปที่จุนโจวเพื่อลองดูทำเลแถวนั้นเสียหน่อย”

ชายหนุ่มนั้นแทบไม่สนใจเรื่องการค้าขายอยู่แล้ว ดังนั้นการที่เขาพูดขึ้นมาจึงทำให้ฟานหมินประหลาดใจมาก หากแต่นางก็ฉลาดที่รู้ทันว่ามันมีความหมายแฝงอยู่ “ที่เมืองนี้… กำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม ?”

ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก ด้วยไม่อาจปกปิดความลับนี้ได้แล้ว ดังนั้นจึงพูดไปว่า “ครั้งนี้พวกมอร์ฟีสจากรัฐเบสซ่ากว่า 2 แสนนายกำลังกรีฑาทัพเข้ามาหาเรา ไม่รู้ว่าพวกเราจะต้านมันไหวไหม หากแต่ข้าจะลองไปจู่โจมเมืองหลวงของพวกมันดูเพื่อสร้างทางถอย ดังนั้นข้าจึงแนะนำให้เจ้าออกไปที่อื่นเสีย”

พูดอีกนัยนึงก็คือถังหยินจะใช้โอกาสนี้ในการบีบให้พวกมอร์ฟีสยอมถอยทัพกลับ และการเดินทางครั้งนี้มันก็อันตรายมาก ดังนั้นเมื่อฟานหมินได้ฟัง นางก็แทบใจสลาย เอาแต่ส่ายหัวระรัวก่อนพูด “ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่ที่เมืองนี้เพื่อรอท่านกลับมา”

ความดื้อด้านแบบนี้ทำให้ถังหยินเริ่มคล้อยตาม ยิ่งด้วยความงามระดับนี้ด้วยแล้ว ใครเล่าจะปฏิเสธลงได้ หากทว่าเขาก็กดความรู้สึกเอาไว้แล้วโอบกอดฟานหมินเพื่อกล่าวคำสาบาน “ข้าจะกลับมาแน่นอน”

ฟานหมินปล่อยให้เวลาไหลผ่านไป เกราะของถังหยินนั้นเย็นเฉียบแต่หัวใจของเขากลับร้อนรุ่ม

“นายท่าน แม่ทัพหลีมารอแล้วขอรับ”

ถังซ่งตะโกนเรียกเขาจากนอกห้องแต่ไม่ได้เคาะประตู

ชายหนุ่มรีบผลักนางออกจากอ้อมกอด หากแต่หญิงสาวกลับเลือกที่จะกอดไว้แน่นกว่าเดิม

เขากระซิบตอบ “ถ้าข้าบอกว่าจะกลับมา ข้าจะกลับมาอย่างแน่นอน…”

ก่อนจะพูดจบ ฟานหมินก็เอามือขึ้นมาปิดปากของเขา

นางไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เพราะสีหน้าของนางได้แสดงออกมาหมดแล้ว หญิงสาวเพียงแค่เช็ดชุดเกราะของถังหยินด้วยผ้าเช็ดหน้าในมือ แล้วจึงยัดมันใส่ในมือของเขาก่อนก้าวถอยกลับมา

ฟานหมินยิ้มให้ด้วยหัวใจที่ปวดร้าวไปทั้งหมด

ถังหยินกำผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือ มันอ่อนบางและน่าจับอย่างทะนุถนอมยิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเก็บมันไว้ในเกราะส่วนอก ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง “ไปกันเถอะ”

ฟังจากเสียงแล้ว เหมือนกับว่าเขากำลังจะไปงานเลี้ยงแทนไปออกรบเสียอย่างนั้น

หญิงสาวจะจดจำคำพูดเอาไว้จนกว่าเขาจะกลับมา

ก่อนที่ถังหยินจะเดินออกมาจากจวน ก็พบว่าเฉิงจินและลู่ฟางเดินเข้ามาหาเขา ชายหนุ่มจึงถามไป “มีอะไรหรือเปล่า ?”

“นายท่าน ให้ข้าไปกับนายท่านเถิด !” ทั้งสองพูดพร้อมกัน

ถังหยินส่ายหัว “ข้าน่ะไม่เป็นอะไรหรอก แต่เมืองนี้ต่างหากที่ต้องการกำลังพลจริง ๆ ดังนั้นข้าจึงอยากให้พวกเจ้านำกองทหารเข้าต่อสู้อย่างห้าวหาญและปกป้องแผ่นดินนี้จากพวกต่างแดนแทนข้า”

ลู่ฟางพูดอย่างจริงจัง “นายท่าน สำหรับข้าแล้วนั้น ข้าไม่สนหรอกว่าที่เมืองจะเป็นเช่นไร ด้วยเพราะข้าอยากจะไปกับท่าน !”

ถังหยินเข้าใจดีถึงเหตุและผลของคำพูดดังกล่าว เพราะยังไงเสีย ถ้าหากชายหนุ่มตายไป พวกเขาที่เป็นผู้ฝึกศาสตร์มืดก็จะไม่มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งอีกต่อไป

“ฮ่า ฮ่า ข้าดีใจที่เจ้าอยากจะช่วยข้าน่ะ แต่เมืองเฮิงคือที่ตั้งมั่นของข้า ดังนั้นข้าจึงหวังว่าลู่ฟางจะช่วยข้าปกป้องเมืองนี้” ถังหยินหัวเราะเบา ๆ แล้วโค้งคำนับให้เล็กน้อย