บทที่ 136

“นายท่าน…”

“ไม่ต้องพูดมาก เพราะถ้าหากเมืองเฮิงแตกไป งั้นแล้วสิ่งที่ข้ากำลังจะทำต่อจากนี้มันก็จะสูญเปล่า ดังนั้นทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว อย่าทำให้ข้าผิดหวัง !” ถังหยินกล่าวอย่างจริงจัง

ชายหนุ่มไม่ยอมพาเฉิงจินและลู่ฟางไปด้วย ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากมองส่งเจ้านายของพวกเขาไป

การทำศึกในครานี้ ประกอบไปด้วยถังหยิน หลีเทียน และพี่น้องฉางกวงพร้อมด้วยพลทหารม้า 4 พันนาย พวกเขาตั้งขบวน ก่อนจะออกเดินทางจากเมืองเฮิง มุ่งตรงหน้าไปยังเมืองเบสซ่าอันเป็นเป้าหมายด้วยความมุ่งมั่นเต็มร้อย !

เส้นทางที่หลีเทียนบอกนั้นดูง่ายมากในช่วงแรก เพราะมันเพียงแค่เดินทางผ่านทุ่งพาบูไปก็เท่านั้นเอง หากทว่าเมื่อพวกเขาพ้นเขตทุ่งหญ้านี้ไป มันก็ได้กลายเป็นป่าลึกบนภูเขาเสียอย่างงั้น !

เนื่องด้วยตอนนี้อยู่ในกลางหน้าหนาวแล้ว และพื้นที่ของรัฐเบสซ่าเองก็หนาวเย็นกว่าแคว้นเฟิงมาก ดังนั้นเมื่อพวกเขาเดินทางฝ่าภูเขาและป่าลึกนั่น ความหนาวเย็นที่เข้ากระดูกดำเช่นนั้นก็พลันซึมลึกเข้ามาในพลัน !

ทว่าโชคยังดี ที่ก่อนหน้านี้พวกเขาเตรียมตัวมาพร้อมแล้ว ทหารทั้งหลายมาพร้อมกับชุดกันหนาวตัวหนา หากแต่ด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็นเกินทน จึงอดไม่ได้ที่พวกเขาจะตัวสั่นเทาในบางครั้ง

การข้ามทุ่งพาบูใช้เวลาเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น หากแต่พวกเขาต้องใช้เวลามากถึง 3 วันในการเดินทางข้ามเขาลูกนี้ และยิ่งพวกเขาเดินทางขึ้นเหนือไปมากเท่าไหร่ อากาศมันก็ยิ่งหนาวเย็นจนแม้แต่ม้าเองก็ตัวสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม

ลึกเข้าไปในเขตแดนของฝั่งศัตรูแบบนี้ การที่ม้าศึกตายมันก็เท่ากับชีวิตของทหารผู้เป็นเจ้าของด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงเอาเสื้อหนามาหุ้มตัวม้าเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้มันหนาวตาย

เมื่อเห็นท่าทีสิ้นหวังของทหารใต้บัญชา ถังหยินก็เริ่มหงุดหงิดจนต้องเรียกตัวหลีเทียนมาถาม “นานแค่ไหนกว่าที่พวกเราจะไปถึงเมืองเบสซ่า ?”

หลีเทียนตอบ “ไม่นานแล้วขอรับ”

ถังหยินได้ยินคำนี้มามากกว่า 50 ครั้งแล้ว เขาเริ่มเบื่อหน่ายมันมากเข้าไปทุกที “เจ้าพูดคำนี้ตั้งแต่ที่พวกเราเข้ามาในเขาลูกนี้แล้วนะ นี่มันก็ 3 วันเข้าไปแล้ว เจ้ายังจะพูดแบบนั้นอยู่อีกเหรอ ?”

หลีเทียนยิ้มแห้ง ๆ แล้วกล่าว “ครั้งนี้ข้าแน่ใจแล้วขอรับ”

ชายหนุ่มไม่ได้ถามอะไรแล้วมุ่งหน้าต่อไป

ถ้าหากไม่มีชุดกันหนาวเต็มยศแบบนี้ ทหารของพวกเขาน่าจะตายเพราะความหนาวไปแล้ว ขนาดเวลานอนพวกเขาก็ยังต้องนอนกอดกัน 3 ถึง 5 คนเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ดังนั้นอย่าว่าแต่สู้กับพวกมอร์ฟีสเลย แค่รอดจากที่แห่งนี้ก็ยากพอตัวแล้ว !

เมื่อหยุดพัก ถังหยินก็ได้เดินออกไปหาฟืนแล้วหักมันเอามาทำเป็นกองไฟ

ทหารทุกคนที่เห็นแม่ทัพตัวเองเดินเข้ามา พวกเขาก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพ “นายท่าน !”

ชายหนุ่มโบกมือแล้วพูดสั้น ๆ “นั่งลง ไม่ต้องยืนขึ้น ข้าขอแค่ให้พวกเจ้าอดทนกันอีกสักนิด ไม่นักนานหรอก เดี๋ยวพวกเราก็จะออกไปจากที่นี่ได้แล้ว”

“ถ้าข้ารู้ว่า…. มันจะหนาวแบบนี้… ข้าคงจะ… เอาเสื้อผ้าอุ่น ๆ มาให้มากกว่านี้…” ทหารหนุ่มวัย 20 พูดเสียงสั่น

“ใช่แล้ว… ถ้ารู้แบบนี้ข้าคงเอาเสื้อมามากกว่านี้แล้ว…” ทหารที่เหลือพูดเสริม

ถังหยินขบริมฝีปากแน่น ก่อนจะเข้าไปหาทหารที่กำลังตัวสั่นอยู่ ทำให้อีกฝ่ายนึกว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป ก็เลยพยายามพูดแก้ตัว “น่ะ นายท่าน…”

ชายหนุ่มยิ้มให้แล้วตบบ่า พร้อมกับปลดเอาผ้าคลุมตัวเองไปห่มให้อีกฝ่าย “พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว จะต้องฝ่าฟันออกไปด้วยกันให้จงได้” เขาพูดสำนวนยุคปัจจุบันออกมา ซึ่งมันก็ทำให้พวกทหารงุนงงในตอนแรก หากแต่ก็พอจะได้ผล เพราะพวกทหารดูจะมีกำลังใจเพิ่มขึ้นมาบ้าง

ทหารคนที่ได้รับผ้าคลุมไป เขาทำหน้าตะลึงอยู่สักพักก่อนที่จะคืนมันกลับไป หากแต่ถังหยินกลับดันมันไปเหมือนเดิม “ใส่ไปเถอะ ข้าไม่หนาวหรอก”

ทหารทุกนายตอนนี้ลุกขึ้นแล้วทำความเคารพเขาทันที “นายท่าน !”

มีแม่ทัพมากมายบนโลกนี้ แต่จะมีสักกี่คนกันที่ยอมร่วมทุกข์ร่วมสุขกับลูกน้องตัวเองแบบนี้ ? และการที่เขาทำตัวให้เป็นที่รักของผู้ใต้บัญชาเช่นนี้ จะไม่ให้ทหารอยากติดตามเขาไปจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตได้อย่างไรกัน !

นายทหารผ่านศึกเริ่มร้องเพลงประจำแคว้นเฟิงขึ้น ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มร้องตามกันจนเกิดเป็นเพลงปลุกใจดังก้องกังวานไปทั่วทั้งเขาแห่งนี้ จนก่อให้เกิดความรุ่มร้อนขึ้นภายในตัวและจิตใจของทหารเฟิง ที่แม้แต่ความหนาวไม่อาจรุกรานพวกเขาได้อีกต่อไป !

ถังหยินเองก็รู้สึกคึกคักขึ้นมาเช่นกัน เขายอมรับและนับถือพวกแคว้นเฟิงนี้จากใจจริง

ชายหนุ่มนั้งลงข้าง ๆ พวกทหารแล้วชี้ไปที่หลีเทียน “จำหน้าเขาไว้พวกทหารทั้งหลาย”

พวกทหารไม่เข้าใจและหันมามองกันและกัน “ทำไมหรือขอรับ ?”

“เจ้าหมอนั่นคือคนที่พาเรามาลำบากแบบนี้ ถ้าหากพวกเราตายไปพวกเราจะไม่ปล่อยเขาไว้แน่ แต่ถ้าพวกเราโชคดีและรอดตายออกไปได้ล่ะก็ อย่าลืมเตือนข้าให้มอบรางวัลกับเขาด้วยล่ะ” เขาพูดต่อ

พวกทหารต่างก็พากันหัวเราะให้กับคำมั่นสัญญานี้ ส่วนหลีเทียนที่ได้ยินก็ไม่รู้ว่าตนควรจะแสดงสีหน้าแบบไหนดี

ถังหยินเป็นคนที่จริงจังแทบตลอดเวลา หายากมากที่เขาจะเล่นมุกแบบนี้ จึงทำให้เขาดูแปลกมากในสายตาของทุกคน

ทันใดนั้นก็มีเสียงม้าควบเข้ามาจากระยะไกล ทำให้ทุกคนจับอาวุธขึ้นมาเตรียมพร้อมรับมือ

หากแต่ชายหนุ่มไม่ได้ลุกไปไหน เพราะเขาเคยได้ยินเสียงเช่นนี้มาก่อน ทำให้รู้ได้ในทันทีว่าเสียงเกือกม้าที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามานั้น คือม้าของกลุ่มเนตรเวหาของหลีเทียนนั่นเอง !

แม้ว่าพวกเขาจะแต่งตัวเหมือนพวกมอร์ฟีสก็จริง แต่นั่นก็เพื่อการปลอมตัวเท่านั้น

ในทันทีพวกเขาลงจากหลังม้ามา คนพวกนั้นก็ได้เข้าไปกระซิบบอกบางอย่างกับหลีเทียนในทันที

“นายท่าน ข่าวดีขอรับ !” เขารีบวิ่งเข้ามาหาถังหยินแล้วร้องบอก

“อะไรเล่า ? พวกเราจะออกจากเขาได้แล้วหรือไง ?” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเขา

หลีเทียนยิ้มออกมาแล้วเกาหัว “ก็ไม่เชิง แต่ว่าใกล้ ๆ นี้ทางตะวันตกเฉียงเหนือมีหมู่บ้านพวกมอร์ฟีสอยู่ ซึ่งมันก็น่าจะเพียงพอสำหรับทหารพวกเราเข้าพักผ่อนได้ขอรับ”

ถังหยินตะลึง รีบลุกขึ้นยืนมองไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ดวงตาของเขามองเห็นแต่หิมะและไม่มีหมู่บ้านหรืออะไรทั้งนั้น ดังนั้นจึงถามออกไปเพื่อความมั่นใจ “ข้าว่าเจ้าอาจจะฝั่นเฝือนไปก็ได้ มันจะไปมีหมู่บ้านในที่แบบนี้ได้ยังไงกัน !”

หลีเทียนยิ้มแห้ง ๆ ออกมา

แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้าไม่ไปก็คงไม่รู้ ! ดังนั้นถังหยินขึ้นควบม้าแล้วพุ่งทะยานออกไปข้างหน้า “ไปกันเถอะสหาย พวกเราจะเข้าไปในหมู่บ้านนั่นกัน !”

“น้อมรับบัญชา !”

พวกทหารต่างก็มีจิตวิญญาณที่ลุกโชนขึ้นมาทันที พวกเขารีบขึ้นม้าแล้วพุ่งทะยานตามการนำทางของหลีเทียน

ไม่นานนักพวกเขาก็พบกับหมู่บ้านขนาดเล็ก ๆ ท่ามกลางหิมะ ซึ่งมันก็มีบ้านเพียงแค่ 3 หลังเท่านั้น ส่วนผู้คนภายในนั้นก็มีประมาณ 20 ครอบครัวได้ โดยที่ส่วนใหญ่ก็เป็นนายพรานที่ใส่ชุดจนสัตว์หนาป้องกันความหนาวเหน็บได้เป็นอย่างดี

แม้ว่ามันจะดูเล็ก แต่สำหรับกองทัพเฟิงในขณะนี้ ที่นี่เปรียบเสมือนสวรรค์เลยทีเดียว

ทหารม้าทั้ง 4 พันนายไม่รอช้า พุ่งเข้าไปในหมู่บ้านอย่างรวดเร็วก่อนเข้าล้อมทั้งหมู่บ้านเอาไว้

เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านเห็นว่ามีคนจำนวนมากมายขนาดนี้เข้ามา เขาก็ได้เดินออกมาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง โดยที่มีพวกลูกบ้านเดินออกมาดูด้วย

“พวกท่านมาทำอะไรในที่แบบนี้กัน ? หลงทางหรือเปล่า ? สนใจจะเข้าพัก…”

ถังหยินไม่ตอบอะไร เขาเพียงโบกดาบตัดหัวของหัวหน้าหมู่บ้านลอยกระเด็นจนเลือดพุ่งขึ้นฟ้าไหลท่วมหิมะ

“ฆ่าทุกคนซะ !” ถังหยินชี้ดาบไปยังฝูงชนที่มารุมล้อมแล้วตะโกนบอกเป็นสัญญาณ !